สวัสดีปีใหม่ เอาล่ะได้เวลาเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ กันแล้ว !
หนึ่งในปณิธานของหลาย ๆ คนที่มักจะตั้งไว้ในช่วงปีใหม่ก็คือ การลดน้ำหนักและอยากให้ตัวเองมีสุขภาพที่ดีขึ้น จนถึงขั้นที่ว่าออกไปซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าสำหรับออกกำลังกายเซ็ตใหม่เลยทีเดียว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับ ‘ฉันจะเริ่มต้นใหม่แล้วนะ’ ‘ฉันจะเอาจริงแล้วนะ’ ‘ปีนี้แหละผอมแน่ คอยดูเลย’
และแบรนด์ที่เรามักเห็นว่ามีคนถ่ายรูปรองเท้าเหล่านั้นลงในโซเชียลมีเดียบ่อย ๆ ก็คือ Adidas นั่นเอง แล้วทำไมเวลาที่จะไปออกกำลังกาย คนมักจะนึกถึงและเลือกซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าของแบรนด์นี้เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกกัน เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกับเรื่องนี้เอง
Adidas เป็นแบรนด์ผู้ผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาทั้งอุปกรณ์และเสื้อผ้า ส่งจำหน่ายทั่วโลก แต่สิ่งที่มีคนรู้จักมากที่สุดคือรองเท้ากีฬานั่นเอง สำหรับปี 2019 ที่ผ่านมา Adidas มีรายได้อยู่ที่ 23,640 ล้านยูโรและกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,976 ล้านยูโร และปัจจุบันมี CEO คือ Kasper Rørsted
กว่าจะมาเป็น Adidas เหมือนทุกวันนี้ มีจุดเริ่มต้นมาอย่างไร?
Adidas เป็นยี่ห้อของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์กีฬา ต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ผู้ที่คิดค้นและเริ่มผลิตคือ Adolf (Adi) Dassler เขาได้เริ่มผลิตรองเท้ากีฬาคู่แรกของเขาเองในห้องซักผ้าภายในบ้าน ในปี 1920 หลังจากที่พี่ชาย Rudolf (Rudi) Dassler กลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งสองพี่น้องก็ช่วยกันผลิตรองเท้ากีฬาที่มีชื่อแบรนด์ว่า Dassler ซึ่งมาจากนามสกุลของทั้งสองคนนั่นเอง และได้เปิดกิจการอย่างเป็นทางการในปี 1924 โดยมีชื่อว่า Gebrüder Dassler Schuhfabrik (Dassler Brothers Shoe Factory)
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae5723fd6221428c631c_tBvhNQfvV1rUgaDrfqZVX13zVaejF1lOJmviuJn7LqmzCnDW_6nDzovlocT87RK06O3VIBxG6n-FkOCsmMKWnYLTz_lL915fyi_Bc3hwTG_Z2s1i6jZeAsxH23QAhomNInCVBp9P.png)
Adolf Dassler (ซ้าย) และพี่ชาย Rudolf Dassler (ขวา)
Adidas เป็นที่รู้จักของผู้คนอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ Adi ขอให้ Jesse Owens นักวิ่งชาวอเมริกันใส่รองเท้าตะปูของ Dassler ลงแข่งวิ่งระยะสั้นในกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1936 และเขาก็ได้เหรียญทองถึง 4 เหรียญในการแข่งขันในครั้งนั้น จนทำให้รองเท้า Dassler มียอดขายมากกว่าสองแสนคู่ต่อปี
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae5688457f9598782c9e_0ZhrlWIHfyHjeiwsCZH7zAv5TwkL_yf6Vk_SnsU4u8PDwBZIwgRYkMd8FmFDNeIIqdBLch9VwzPwrnOWk5QGhXzEFoMjybBO3tke2CaXapvSQzYSDSIBeTj03D_jaQ1qddjk2_YX.png)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสองพี่น้องก็มีเรื่องหมางใจกัน กิจการของพวกเขาถูกแทรกแซงโดยทหาร และถูกสั่งให้ผลิตรองเท้าให้กับทหาร Rudi พี่ชาย ถูกเรียกกลับไปประจำการที่กองทัพ เมื่อสงครามยุติลงในปี 1948 ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ถึงจุดแตกหัก Rudi แยกตัวออกไปตั้งโรงงานผลิตรองเท้าและสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาชื่อ Ruda และต่อมาเปลี่ยนเป็น Puma ในภายหลัง ส่วน Adi ก็เปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก Dassler ให้กลายมาเป็น Adidas ซึ่งมาจากชื่อและนามสกุลของเขานั่นเอง
ทั้งสองแบรนด์ Puma และ Adidas แข่งขันกันอย่างดุเดือดยาวนานนับ 60 ปี จนกระทั่งปี 2009 สงครามระหว่างทั้งสองแบรนด์ก็สิ้นสุดลง เมื่อทั้งคู่หันมาจับมือกันในการแข่งขันกีฬาขององค์กร One Day Peace
ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1949 ซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกๆ ที่มีการผลิตรองเท้าของ Adidas จะสังเกตเห็นว่ารองเท้าของ Adi นั้น มีลักษณะเด่นไม่เหมือนใคร เนื่องจากพื้นของรองเท้ามีลักษณะเป็นเดือยแหลมยื่นออกมาคล้าย ๆ กับตะปู จนกลายเป็นจุดเด่นของรองเท้า Adidas เลยก็ว่าได้
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae570f6b4a5300f6a85f_7QvjBQx2SW3SF_sqyDtFfF9sLQ2Gi8IAyPv_icDc-M_zfA9V3OkPSbOEjr4t5UaeEm-UicTws4r18aI9d6rOKpVfoNhNbnmzCkEzYoj8mTmYWsi7l8kMK6IYnvwVpmYbTkaTduRj.png)
ทำไมโลโก้ของ Adidas ถึงมีหลายแบบ?
หลายคนอาจจะเคยเห็นโลโก้ Adidas แล้ว เป็นแบบที่มี 3 แถบบ้าง เป็นรูปใบไม้บ้าง เป็นรูปวงกลมบ้าง แล้วสรุปว่าโลโก้ของแบรนด์จริง ๆ มันคืออันไหนกันแน่ วันนี้เราจะมาอธิบายให้ฟังว่าโลโก้มีความเป็นมายังไงบ้าง
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae56efcd07a2eab60538__gX9j2us9YI6SIG4SQPLrfKRZPDdmjKMogUSPlGBze3Ojs16k_lcLoKdFehccmTrk2xHKHzQi-KNpVugjRa33DmaARFKKsugfYVJML2L4ZJKWn343KWIkCNxAYs-HP54X-yIdZhw.png)
จริง ๆ แล้วโลโก้แรกของ Adidas ตั้งแต่ปี 1949 เป็นรูปรองเท้าที่มีตะปูห้อยอยู่ระหว่างปลายหางทั้งสองด้านของตัวอักษร ‘d’ แต่ต่อมาได้เกิดการรีแบรนด์ขึ้นในปี 1967 Adi Dassler ต้องการมีโลโก้แบบทางการและเป็นหนึ่งเดียวที่จะทำให้ทุกคนจดจำแบรนด์ของเขาได้ เขาจึงออกแบบใหม่เป็นรูป 3 แถบ (The Three Stripes) แต่ปรากฎว่า Karhu Sports ซึ่งเป็นแบรนด์รองเท้าวิ่งรายใหญ่ของฟินแลนด์ใช้แบบเดียวกันไปแล้ว เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงข้อพิพาทและสามารถใช้เป็นเครื่องหมายการค้าได้อย่างถูกกฎหมาย Adi Dassler ผู้ก่อตั้ง Adidas จึงได้ไปซื้อมาในราคา 1,600 ยูโรและวิสกี้อีก 2 ขวด
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae570f47ba46f8d0baf8_qYZRk8TptMrsdM1mJ_mCnrAOHGpM3wOnCrKHRRe_gikIedctxIMHwDNvMVTiUI3t2t7YA8QZzz6sNaMykNdp_je1ssdkxdk2abHUzv9kp1BxkoEU3ZXxiLUcPmz9qbnjaL7WrPNv.png)
ต่อมาในปี 1971 'The Trefoil' ที่เป็นโลโก้รูปคล้ายกับใบไม้ 3 ใบได้ถูกสร้างขึ้น และถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1972 ในงาน Munich Olympics ปัจจุบันโลโก้นี้ถูกนำมาใช้กับคอลเล็กชันเสื้อผ้า แฟชั่น หรือผลิตภัณฑ์อย่าง Superstar ซึ่งเป็นซีรีส์ที่อยู่มานานแล้ว และเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในชื่อของ Adidas Original Collection
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae57af5c5054fadb1a98_lVYYpdkJQZeiXY7jLhwFJnv25ccdfQo2nLlvy9F98zaSv1YAvvdqW4h5PYos-IYr3FCHMH9ycM4iw6zfctTzlT-EjH8KMgkpJQxXrOEMfJv_vth4mbI75qefUOe9rkdxaI9fbw2A.png)
The Triangle หรือ Adidas performance ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1990 ซึ่งผู้ออกแบบ คือ Peter Moore ได้สร้างสรรค์โลโก้ใหม่ที่ดูเหมือนรูปสามเหลี่ยม แต่ถ้ามองดี ๆ จะเหมือนรูปภูเขา ที่เขาต้องการจะสื่อถึงความท้าทายเพื่อไปสู่เป้าหมายของนักกีฬาแต่ละคน ปรากฎว่า Adolf Dasler ชอบความคิดของเขามาก เป็นผลให้โลโก้ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ Adidas และจนกระทั่งในปี 1997 โลโก้ The Triangle ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท Adidas
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae579204bd4a7c2c0732_QKxMltT4xWfsZc80ONGXw59aR3zZJEn-2FGPVgiV4LDjlVll-aSKa6QoKNx1dMyQvcLUCFEIBJ-zJnAomqsUb0fD4hWnujEQPxWYKOg2Is-5BFeAJ8j__p4lvNNF8nbE0kocuPrR.png)
ในปัจจุบันเราจะเห็นโลโก้ของ Adidas ว่ามี 4 แบบ คือ
1. The Triangle หรือ Adidas performance : เน้นสินค้าที่เกี่ยวกับกีฬาเป็นหลัก
2. Adidas Original สีฟ้า : ใช้กับสินค้าที่เป็นเสื้อผ้า แฟชั่น หรือที่เป็นคอลเล็กชันโดยเฉพาะ
3. Adidas NEO ที่เป็นรูปกลม ๆ : ใช้กับสินค้าแบรนด์วัยรุ่น ที่มีการใส่ลูกเล่นน่ารัก สดใส สนุกสนาน ทันสมัยเหมาะกับไลฟ์สไตล์วัยรุ่น
4. Adidas Silver โลโก้สีเงิน : ใช้กับสินค้าในกลุ่ม High End สินค้าที่มีราคาสูงหรือสินค้าที่ไป Collaborate กับ Designer ชื่อดัง
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae57c2cd3fe40d84c2d4_YhISrBUwpkaDk3De5WWFZ3Lv6YalU5bdoxvtO2GOu7Rr5bN3nbY1X8aMu_8PEPf1vKAeZ-ysU4T5C53ZF56LxL9Wi-rLLctaMhhaLQ87ISs9fIULsvxnQTBCBdCEo_SL9ZGkLG_c.png)
ส่องรายได้และผลกำไรของ Adidas แบรนด์กีฬาที่มัดใจใครหลายคน
ในช่วงระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า Adidas มีการเติบโตขึ้นทุกปี ๆ การเติบโตพุ่งขึ้นจาก 5,800 ล้านยูโรในปี 2000 สู่ 23,640 ล้านยูโรในปี 2019 ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับแบรนด์ที่ทำธุรกิจมาเกือบร้อยปี
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae576956ca6419ff8e73_DVVc8bwSZN_uZ5UI_hMealZWI9MiVWbn7Ea6dt9MBGscTYKC-oWvhURC9lcQkxX-jid-WnNOZMN-qCDQPgzYmpRaIt48zi9PFTJ55W6XjSn2KW3-nzcKVQG3hKnN1yTjSBJ_V5hw.png)
ส่วนในปี 2020 Adidas กล่าวว่า บริษัทมีรายได้ลดลงจากการจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2020 เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทั่วโลก ทำให้ต้องมีการปิดร้านเป็นจำนวนมาก
ในขณะที่ยอดขายผ่านช่องทาง E-Commerce ของบริษัทเองเพิ่มขึ้น 93% ในช่วงไตรมาสดังกล่าว แต่รายได้รวมในไตรมาสที่สองกลับลดลง 35% คิดเป็น 3.579 พันล้านยูโร (4.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
Kasper Rorsted CEO ของ Adidas กล่าวว่า “ในไตรมาสที่ผ่านมาทำให้เกิดความท้าทายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับ Adidas เอง เนื่องจากโลกตกอยู่ในภาวะหยุดชะงัก เราจัดการกับความท้าทายและดำเนินตามโอกาสดังที่สะท้อนให้เห็นในธุรกิจ E-Commerce ของเราเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในไตรมาสที่ 2 ตอนนี้เรากำลังเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และในขณะนี้การเปิดร้านค้ากลับมาทำได้ปกติแล้ว จึงทำให้ธุรกิจสามารถเดินทางไปต่อได้”
เจาะลึกกลยุทธ์ Adidas ที่งัดออกมาต่อสู้กับคู่แข่ง
วันนี้ The Growth Master จะพาทุกคนไปดูกลยุทธ์การเติบโตของ Adidas ว่ามีความก้าวหน้า และมีอะไรที่น่าจับตามองในการบุกตลาดโลกและเอาชนะคู่แข่งกันบ้าง หากพร้อมแล้วไปอ่านกันต่อเลย
1. ร่วมมือกับคนดังหรือแบรนด์ดังระดับโลก
การ Collaboration กับคนดังหรือแบรนด์อื่นมักเป็นการตลาดที่มีผลดีต่อแบรนด์เราเอง เพราะว่าเราจะได้ทั้งฐานลูกค้าของเราเองและลูกค้าฝั่งของแบรนด์ที่เราไป Collaborate ด้วย
Adidas ได้ออกรองเท้ารุ่น ‘Yeezy’ มา ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างนักร้องฮิปฮอปชาวอเมริกาชื่อดังระดับโลก ‘Kanye West’ ผู้หลงใหลการแร็ปและแฟชั่น ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา แต่จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ Kanye เคยออกแบบรองเท้า ‘Yeezy’ ให้กับ Nike มาก่อน แต่เกิดปัญหาไม่ลงรอยกันในเรื่องส่วนแบ่ง ทำให้ Kanye ได้หันมาจับมือกับ Adidas ในการออกแบบรองเท้าภายใต้แบนเนอร์ของ Adidas Originals จนขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ส่วนในเรื่องราคานั้นก็ไม่ได้ถูกจนทุกคนสามารถจับต้องได้ เพราะมีราคาตั้งแต่หลักพันบาทปลาย ๆ ไปจนถึงหลักแสนบาทเลยก็มี
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae597c7c0a4cc6d1832f_lLVK6wMNeo1osyGR-cNs0plDc_s6jSqYOJ7_yHc78YAeepLhfMYBBZWzbDL19vBqVSiP0cO_wgwlqmeTCYTliyQkjOI2SaQVvkovh5vIzWUvCwi_R_jPs3iVYrvcYWOqoCVAAOua.png)
แล้วทำไม ‘Adidas Yeezy’ ถึงมีราคาแพง?
นั่นก็เป็นเพราะว่าเป็นรองเท้าผ้าใบที่มีกลยุทธ์การผลิตแบบจำนวนจำกัด ทำให้เหล่าคนรัก Sneaker ต่างรอคอยจับจองกันเป็นเจ้าของให้ได้ แต่การจะได้มาครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ Yeezy แต่ละรุ่นจะผลิตออกมาจำนวนไม่มาก ทำให้สินค้าหมดในระยะเวลาอันรวดเร็ว ต้องอาศัยการ Raffle หรือสุ่มผู้ที่จะได้สิทธิ์ซื้อจาก Shop ตัวแทนจำหน่าย
ส่วน Yeezy ล่าสุดที่ออกมาในปี 2020 นั่นก็คือรุ่น Adidas Yeezy Boost 350 V.2 ที่มี lineup ออกมาตามด้านล่างนี้
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae5888457fa8d3782caa_m4o38bSetrTQt-cQt7Y0AYykdGr1HiGApiBJb0QkV8sO33gOcFGj2dgU6dUw7rXoMW4RSIoNktBfpoOPK2uxnwCjZ77KvW9YGh1bkJbXkNViWfLtrAGj7DeZZkjm7xsXxzB_2xXv.png)
นอกจากนั้น Adidas ก็ได้ไป Collaborate กับแบรนด์ดังอื่น ๆ ด้วยกัน เช่น ในปี 2019 ได้ไป Collaborate กับ แบรนด์หรูสัญชาติอิตาลี Prada ซึ่ง Adidas ก็ได้ออกไอเท็มมา 2 อย่างด้วยกัน คือ รองเท้ารุ่น Superstar และกระเป๋ารุ่น Bowling
โดยรองเท้า Superstar จะจัดจำหน่ายจำนวนเพียง 700 คู่เท่านั้น และจะมีความพิเศษ คือ จะมีโลโก้ทั้ง 2 แบรนด์ Adidas และ Prada อยู่ และสลักตัวเลข 1-700 ไว้บนรองเท้าด้วยว่ารองเท้าคู่นี้เป็นคู่ที่เท่าไร ส่วนกระเป๋าก็ใช้วัสดุการตัดเย็บอย่างดีและทำสีออกมาให้เข้ากับรองเท้าอีกด้วย การจัดจำหน่ายจะจำหน่ายบนเว็บไซต์ของ Adidas และ Prada และหน้าร้าน Prada บางสาขาเท่านั้น
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae57d37bfacafe981e68_G2xXC_XrjU6ol2AlI7StLLCoJaONJliThikWJDIoFKLHqJPX0UWkzlQzI1yIf-yMqtrL85HUirtnDAdTJaz0WDML5S9OgLqZq810RfFQpn60qr5KAyEZ18BM2u6E5E-3-SLxsx3z.png)
และจากผลตอบรับที่ดีของคอลเล็กชันแรก จึงมีซีรีส์ 2 ออกมาในเดือนกันยายน 2020 ด้วยเช่นกัน มีสีเพิ่มขึ้นมาอีก คือ สีดำล้วน สีขาว-ดำ และสีเงิน-ขาว ในราคา 500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 15,000 บาท) แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีความพรีเมียมเท่ารอบแรก เพราะไม่ได้ระบุจำนวนที่แน่นอนออกมาว่าจะผลิตกี่คู่ แต่จะจัดจำหน่ายที่ทั้งเว็บไซต์และหน้าร้านของ Adidas และ Prada
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae587c079316cbb73a78_jl_Z_iED51xdXepD3V8esS-n_If_2ORzk_PKRosbzoTt-AW-a22QAd06dcoJs9up_4yfbMlxi6uvjEGIJaEmMGa0GJJYBWFmdZD7WtSSMtFWWNAkdk92IYDJ_Q2d-i7lH6OUSS1_.png)
และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สินค้าที่ไป Collaborate กับแบรนด์หรือคนดังอื่น ๆ มีราคาสูงมาก นอกจากจะเป็นเพราะมูลค่าของตัวแบรนด์เองแล้ว ก็ยังมีเรื่องการผลิตในจำนวนที่จำกัดและเมื่อขายหมดทาง Adidas ก็ไม่ผลิตเพิ่มด้วย แต่ความต้องการของตลาดยังคงสูงอยู่ จึงทำให้เกิดการเอามาขายต่ออัปราคาขึ้น
2. เจาะตลาดผู้หญิง
เนื่องจาก Adidas เป็นแบรนด์ที่ผลิตเกี่ยวกับอุปกรณ์กีฬาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเหมาะสำหรับผู้ชาย แต่ในตอนนี้ผู้หญิงหลายคนก็หันมาใส่ใจรักสุขภาพและเล่นกีฬามากขึ้นไม่แพ้กัน และเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะมีส่วนในการพัฒนาด้านการเติบโตในยอดขาย อีกทั้ง Adidas ก็ได้มีการออกแบบให้สินค้าผนวกกับแฟชั่น เทคโนโลยีการวิ่งแบบใหม่ และนำเสนอทุกอย่างให้เหมาะกับผู้หญิง
Adidas จึงได้มีการตีตลาดผู้หญิงโดยการใช้วิธีเป็นพาร์ทเนอร์กับ Beyoncé นักร้องสาวและซูเปอร์สตาร์ชื่อดังระดับโลกที่มีจำนวนผู้ติดตามใน Instagram ของเธอถึง 155.6 ล้านคน (ติดอันดับ 1 ใน 10 ของผู้ที่มียอด Followers เยอะที่สุดในโลก) จากการร่วมมือกันครั้งนี้ เรียกได้ว่าเธอคนเดียวก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลกได้เลย จากการเพิ่มการรับรู้ (Brand Awareness) กระตุ้นยอดขาย และเข้าถึงกลุ่มผู้หญิงมากขึ้น
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae59f0456c6672ec86e7_0Xxz9YluCrrybJMXoBB0A_Ydo17EsdyaocKQS-NRc4ck1PdIVkseAGdsXqt3f16szOoProZEd9pd9RTz-6os8b69Kb2Y3TffYbgmOWVgAYfGj5mAJ4tTjcIeL0jyn_I6p7nV9qRY.png)
กลับมาทางฝั่งเอเชียของเราก็มีสาว ๆ จากวง Girl Group สัญชาติเกาหลีใต้ อย่าง Blackpink มาเป็น Influencer ซึ่งสามารถสร้างการรับรู้ให้ผู้คนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะยอด Followers ของพวกเธอทั้งสี่คนรวม ๆ กันแล้วเกิน 100 ล้านคน
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae59af5c502b30db1b85_p3grsqehw65tjl5HC3k_eYiJoRu0jhRnbXl4tH1mYa7TTDa1_DcNYox-Ijkeyk7Nnh3CsevUpxSp22SZoP_GVXzjnBHfT5IVNE8Niu5NlW0UOPgDI6cfXOI-Q_1zTPmu2HopwGPV.png)
นอกจากการใช้ Influencer ชื่อดังแล้ว Adidas ก็ยังมีการใช้ Blogger เป็นผู้สื่อสารอีกด้วย เช่น Hannah Bronfman ดีเจชื่อดังระดับโลก, Robin Arzón นักวิ่ง Ultramarathon นักเขียนและไลฟ์โค้ช, Manushi Chhillar อดีต Miss World 2017 และนางแบบ
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae58c0e878a7c47b77b0_55IMwB_uI0df0pTvNXevKQs-BvQUmXnKpTXlM0J9LGhKahvglkLBXcN6-NgEZfDCWkbKiidfqMzECliZ1aWa7ogh1oM9JgixqyCZtyDrmfjEruhyF1ILm_Zh8i-T1wx5BFf_hWD0.png)
Hannah Bronfman, Adidas Brand Ambassador
ซึ่งดูเหมือนว่า Adidas จะทำการตลาดได้ตรงจุด เพราะว่ามียอดขายในฝั่งผู้หญิงเติบโตขึ้นชัดเจน โดยในทวีปอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 77% ส่วนยุโรปตะวันตกเพิ่มขึ้น 27% กลุ่มสินค้าขายดี คือ เสื้อผ้า และ Sneaker
ซึ่งของประเทศไทยเองก็มีอ ‘ชมพู่ - อารยา เอ ฮาร์เก็ต’ นักแสดงและนางแบบชื่อดังที่ไปไกลระดับโลก ‘พิมฐา’ เน็ตไอดอลชื่อดังที่มีอิทธิพลต่อวงการโซเชียลมีเดียอันดับต้น ๆ ของไทย และ ‘Binko’ สาวนักวาดภาพ Illustrator เป็น Influencer ด้วยเช่นกัน
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae59b7802c7779fce35e_qb7oimB7-70m0uvBRTIKWMvK-4lKMDIgA5YkdeYt67JE6NSh_2ai0TbSp20imDApjLnZMupLbAE6tQuDctu1ZDYRACCBmfu2W5OWEIHPecxJqme9jcZFPslWFWN49t6vHZr4LdEH.png)
จากการใช้ Influencer เหล่านี้เราจะเห็นว่า Adidas ไม่ได้มีการใช้เฉพาะเพียงแค่นักกีฬาเท่านั้นที่เป็นผู้สื่อสารของแบรนด์ แต่พวกเขายังใช้คนจากวงการต่าง ๆ อีกด้วย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าผู้หญิงได้มากที่สุดอีกด้วย
3. แตกไลน์สินค้าออกมานอกเหนือจากกีฬา
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า Adidas เป็นแบรนด์ที่มีโลโก้หลากหลายรูปแบบจะใช้กับสินค้าประเภทต่างกันไป Adidas เองก็ได้ปล่อยสินค้าออกมาภายใต้แต่ละโลโก้
เช่น Adidas Neo ที่มาภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Live Your Style’ ให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวอายุ 14-19 ปีผู้มีใจรักเทรนด์ Fast Fashion โดยเฉพาะ ซึ่งมีสินค้าในกลุ่มของเสื้อผ้าลำลอง เครื่องแต่งกาย รวมไปถึงรองเท้า ที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae594bcb99fc8b349c43_57fjcne2kvQZVfD6wcw5roblTSs0XJ2kUaz6dO-Uxf3vsmwgvnDZRNmsu_B0eDGOZM8HFTmTPiM37xwDEin_zV60laKBpfFA0Yere3lwxlujNDDnB-MBaqHFpDrDXkmNv0ApGLQp.png)
สินค้าในกลุ่มของ Adidas Originals ก็มีสินค้าอย่าง Stan Smith ที่ขายดีที่สุดอีกหนึ่งตัว มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1973 จากการเป็นรองเท้าเทนนิสที่นำหนังสีขาวมาตัดเย็บคู่กับแถบสีเขียวบริเวณข้อเท้า ตกแต่งด้วย 3 แถบด้านข้างจนเป็นเอกลักษณ์ของรองเท้ารุ่นนี้ ต่อมาก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในโลกของแฟชั่น Adidas จึงได้มีการผลิตรองเท้ารุ่นนี้ออกมาวางขาย จนกลายเป็นรองเท้าที่ใส่ได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ใช่รองเท้าสำหรับเล่นเทนนิสโดยเฉพาะ
และในปี 2018 Adidas Originals ก็ได้มีการเซ็นสัญญากับ Stan Smith (ที่เป็นคน ไม่ใช่รองเท้า!) ตำนานนักเทนนิสว่าจะร่วมงานกันตลอดชีวิตในสร้างรองเท้ารุ่น Stan Smith ให้เป็นตำนานอมตะตลอดกาลของ Adidas ด้วย
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae599204bd042f2c07df_CFb6lIdQkmbKQWrPOtzBk2CKVoUzbzSMYi83lvWft0DQfcM8_yNgMXaV0IHosHvTPnq1scm5Eahz_Q5qYyYcsAn9Dt436jvQtUIOqQOifELYfQcDoUSy4hBTvU9HrdV9s_55Mhba.png)
4. ผู้นำด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมในการผลิต
Future is here.
เป็นคำโฆษณาของ Adidas ที่ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะเขาออกตัวว่าจะเป็นอนาคตใหม่ในการผลิตรองเท้า Sneaker
Adidas มีการใช้เทคโนโลยี 3D Printing เข้ามาช่วยในการผลิต เพื่อสามารถออกแบบรองเท้าได้ตรงกับความต้องการของผู้สวมใส่มากที่สุด โดยปกติเวลาเราซื้อรองเท้าทั่วไปมาคู่นึง เราจะไม่สามารถปรับแต่งพื้นรองเท้าให้เข้ากับเท้าของเราได้ แต่ด้วยการนำเทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่เข้ามาใช้ จะทำให้แก้ปัญหาตรงนี้ได้
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae597c07938206b73a8b_x9S8UHZl9D6GdfFSPSsVTe4DATyClgcqCfS-CsIGfxvM0_OtuoD71V92L4s24vGd5uRL-p4QFHYKkAhWUo8hNJ9Jskvlpx1hf_47MQ1iOncjOu1DDmIxHWCdhfVJ1Lc3D0dvEqsm.png)
Adidas จึงได้ผลิตรองเท้ารุ่น Futurecraft 4D ออกมา ที่ทำงานร่วมกับบริษัท Carbon ใน Silicon Valley โดยใช้กระบวนการผลิต Digital Light Synthesis ผลิตด้วยวัสดุเรซินเหลว และใช้แสงดิจิตอลในการเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งพร้อมทำให้เกิดโครงสร้างพื้นรองเท้า เพื่อตอบโจทย์ความสบายในการสวมใส่รองเท้าให้ลูกค้า และที่สำคัญปกติการผลิตรองเท้าคู่นึงจะใช้เวลาเป็นเดือน ๆ แต่สำหรับการผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้แล้ว จะใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงต่อคู่เท่านั้น
ซึ่งนับว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัย สามารถดึงดูดผู้คนได้อย่างมาก และยังนับว่าเป็นอีกก้าวที่ Adidas นำคู่แข่งแบรนด์อื่น ๆ อีกด้วย
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae5aad7693079f940459__lUpyO5aKoRTJxujT0C7CZ6sO8NMYExtS9HjAng5ZYez4-Yk65F6q750onkxrTIKB_-nPBH1_k2n8RxfteUpr-7kFSQb4zV1Sjga5WmV7gBVgPWDRVQBq0RqZkSVhO1x1-cuBtxm.png)
5. SpeedFactory เร่งเครื่องด้วยความเร็ว
จากกระบวนการผลิตรองเท้าที่ใช้เวลานานเป็นเดือนก่อนที่จะส่งออกไปถึงมือลูกค้า ในปลายปี 2015 Adidas ได้เปิดตัวโรงงาน SpeedFactory แห่งแรกที่เมือง Ansbach ในประเทศเยอรมัน ซึ่งจะเป็นโรงงานต้นแบบสำหรับทดลองผลิตรองเท้าด้วยหุ่นยนต์ และเครื่องจักรในการตัดเย็บที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถผลิตรองเท้าให้เสร็จสมบูรณ์รวดเร็วภายในโรงงานเดียว
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae5ad7b812d1620634cc_8p7F191daQ2GSpz03dZqX7yC7MmH6Tods2jVdNZj1p46_FCBeS0ajK9Veo01YlGzQSByGBN9DtBUQSM4AnOb93CljhZxHbKbEGCzeMUNvuOWNbUxkZZvhZLg0OkGnEL5Vdsva2Pa.png)
ซึ่งการผลิตที่ SpeedFactory จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในการไม่ต้องรอรองเท้านาน แถม Adidas ยังได้ประโยชน์จากการลดระยะทางในการจัดส่ง ลดเวลาหรือแรงงานในการผลิต จากที่ต้องใช้พนักงานถึง 1,000 คน ก็ลดเหลือเพียง 160 คน และต่อมาในปี 2017 ก็ได้เปิดตัวโรงงานแห่งใหม่ที่ Atlanta สหรัฐอเมริกาอีกด้วย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดก็คือยังมีกำลังผลิตได้ไม่มากประมาณ 500,000 คู่ต่อปี
และในปี 2020 โรงงาน SpeedFactory ก็ได้ย้ายฐานการผลิตมาที่เอเชีย คือ ในประเทศจีนและเวียดนาม เพราะจากที่เคยผลิตได้จำนวนไม่มาก การย้ายมาที่ฝั่งเอเชียก็เพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนการผลิตได้มากขึ้น สามารถรองรับออเดอร์ของลูกค้าได้เยอะกว่าเดิม และยังมีการผลิตด้วยความแม่นยำและด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ในอนาคต Adidas บอกว่าจะผลิตรองเท้าอย่างอื่นนอกจากรองเท้าวิ่งด้วยจากโรงงานนี้ เราก็ต้องจับตาดูกันต่อไป
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae5befcd07166eb60616_t5RqfTEuJG8l1LnGPn7lVVP9o6a-CdELM6qKQfH4lRxYuPBXD5W2fDjDsfKNTohm6yWLD8qjwgbS4ZitmS1z9Ncp7Y5OOO273QjFeVl1moWCArRCecRioZ2ACCH_lgnxPITcGN2i.png)
6. ให้ความสำคัญกับ 6 เมืองยุทธศาสตร์
ด้วย 80% ของ GDP ทั่วโลกที่สร้างขึ้นในเมืองต่าง ๆ มีการขยายตัวมากขึ้นในเขตเมืองใหญ่ ๆ Adidas จึงมุ่งเป้าที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดทางภูมิศาสตร์ โดยจะมุ่งเน้นไปที่เมืองสำคัญระดับโลก 6 เมือง ได้แก่ London, Los Angeles, New York, Paris, Shanghai และ Tokyo
ซึ่งเมืองพวกนี้จัดว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว ทำให้มีคนหลั่งไหลเข้ามาจับจ่ายใช้สอยจำนวนไม่น้อยเป็นประจำทุกปี Adidas จึงมีการลงทุนในการกำหนดรูปแบบการรับรู้ (Brand Awareness) แนวโน้ม และการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ในการเปิดร้านค้าแบบครบวงจรตามเมืองต่าง ๆ ซึ่งมีสินค้าที่ไม่สามารถหาได้ตามร้านค้าทั่วไปอยู่ในนั้น เพื่อเป็นการดึงดูดผู้คน
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5feaae5a3d5364b197e2c28f_I15qHGxa_KRl459ZBCRrlHRGH4-_UH_52JjNNTnjv-_i6i3QFrE38-9ww8WytW2AsrOoAm-E-lufp_hTDL3g0jjbSP3Kngr7aqHvx-drA_OD0HFlck4rcMWILsPOvc8G4BiRBRgZ.png)
นอกจากนั้น Adidas ยังมีการมุ่งเน้นไปที่ความนิยมของคนในเมืองนั้น ๆ ด้วย เช่น ในยุโรป Adidas มุ่งเน้นไปที่การขายผลิตภัณฑ์ฟุตบอลเป็นหลัก แต่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านกีฬา เช่น บาสเก็ตบอลและเบสบอล ก็จะเน้นขายพวกนี้ และอเมริกาเหนือจัดว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเครื่องกีฬาและมีส่วนแบ่งทั้งหมด 40%
Adidas มองว่าถ้าพวกเขาสามารถเอาชนะตลาด เช่น ใน Los Angeles และ New York ได้ แสดงว่าจะชนะการแข่งขันในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจึงมุ่งมั่นที่จะเอาชนะส่วนแบ่งทางการเติบโตทางการตลาดและจิตใจผู้คนในเมืองสำคัญ ๆ ทั่วโลก
สรุปทั้งหมด
ถึงแม้ว่าในตอนนี้ Adidas จะไม่ได้เป็นอันดับ 1 ของโลกในตลาดอุปกรณ์กีฬาแล้ว แต่เขาก็มีการปรับใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่าไม่ธรรมดาในการแตกไลน์สินค้าที่มีต้นกำเนิดมาจากกีฬาออกมาผสานกับแฟชั่นให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ได้สวมใส่ได้ทุกโอกาสในชีวิตประจำวัน
แถมยังดึงเอานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการผลิต ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองในอนาคตมากว่าเขาจะสามารถดึงลูกค้าให้อยู่กับพวกเขาได้อยู่หมัดไหม ก่อนที่จะมีคู่แข่งตัวฉกรรจ์เข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาดนี้อีก นับว่าเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจและดูการเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ ในปีนี้อีกด้วย เพราะวงการแฟชั่นและเทรนด์รักสุขภาพเริ่มที่มีคนสนใจและดุเดือดมากขึ้นทุกปี