ในประเทศไทยเราอาจจะคุ้นเคยกับแอปเรียกรถกันเป็นอย่างดีแล้ว เพราะว่ามีหลายเจ้าที่เข้ามาตีตลาดในไทยแล้วก็ได้ผลตอบรับที่ดีกลับไป ซึ่งในวันนี้เราก็จะมาเล่าเรื่องราวของ Bolt แอปเรียกรถอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนมักจะเรียกใช้ท่ามกลางคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ
Bolt คือ แอปพลิเคชันบริการเรียกรถสัญชาติเอสโตเนียที่เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2013 (หรือชื่อเดิม Taxify) และเข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทยในปี 2020 ปัจจุบันมีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 75 ล้านคนแล้ว ในกว่า 45 ประเทศ โดยให้บริการทั้งการเรียนรถและบริการส่งอาหาร (แต่ในไทยยังไม่รองรับ)
ในวันนี้ The Growth Master จะพาทุกคนไปรู้จักกับ Bolt แอปเรียกรถสัญชาติเอสโตเนียนี้ให้มากขึ้น และไปดูการเติบโต พร้อมกับกลยุทธ์การเติบโตที่ทำให้เขากลายเป็นแอปที่มีมูลค่าบริษัทมากถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์กัน
จุดเริ่มต้นของ Bolt แอปพลิเคชันพันล้าน โดยชายชาวยุโรปที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก
Bolt ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2013 ในชื่อ Taxify ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Bolt ในปี 2018 เพื่อรองรับโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต นอกจากการเป็นเพียงแอปเรียกรถ เช่น บริการจัดส่งอาหาร, บริการสกูตเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น
สำหรับ Bolt ก่อตั้งขึ้นโดย Markus Villig ชายหนุ่มชาวเอสโตเนีย ซึ่งในขณะที่เขาก่อตั้งแอปพลิเคชันนี้ เขามีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/635b49f2d5abb319c6d08d0b_1oYFXS-HDbTy7m18OcDzuRDBZkxT0DylDcavJnNoKlV6NJRrcqXe2bePIRSUnqDrHi0R9qLpAB72lRXuZo_usIrch3eWQzD52ZKYqcHg2iKLSppCpoZ5Yqknqy-06FLZkT6Rlb22OD5LIifjKUgdBen95n6Cwq5mfLtu3Q2rfxfDKr8IkQEfQGfnbA.png)
ตอนนั้น Markus Villig เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Tartu ปี 1 คณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เขาเริ่มเห็นว่าทั้งตัวเองและคนรอบข้างมีปัญหาในการใช้บริการแอปเรียกรถ (Ride-hailing) เพราะใช้งานยากและต้องจ่ายค่าโดยสารที่แพงมาก ๆ
ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นที่ Markus Villig มีความฝันอยากจะสร้างธุรกิจสตาร์ทอัปเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุ 12 ปี เพราะหลงใหลในการทำธุรกิจเทคโนโลยีจากรุ่นพี่อย่าง Skype เป็นทุนเดิม (Skype ก่อตั้งโดยชาวเอสโตเนียเหมือนกัน) เขาเลยปิ๊งไอเดียและตั้งใจที่จะพัฒนาแอป Rail-hailing ขึ้นมา เพื่อลบ Pain Point เหล่านั้นออกไป
แม้จะเพิ่งเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยไม่นาน Markus Villig ก็ตัดสินใจดรอปเรียน แล้วขอยืมเงินจำนวน 5,000 ยูโร หรือเพียงแค่ 5,565 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 180,000 บาท) จากพ่อแม่มาเป็นทุนในการธุรกิจ และชักชวน Martin Villig พี่ชายของเขา และ Oliver Leisalu เพื่อนของเขามาช่วยก่อตั้งธุรกิจนี้ขึ้นมา
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/635b49f3d5fb53a85b3888b0_fH-1mbZU5N3uX27BOSX13GDVHPshCeMRFulhFuoNv-SIwwc5nRQIYe33nGoEf-_EwytLctNZNDlZSiMxvPoKZOfYr9F2fzCcZnR08FGBUFBjYLD-m1qb2925ElG4mjvj6vIj8iYjz58QS_QgfsIM8WovosfuhUxhaxDLVfjb37xVm0oCUoGtzdCPVQ.png)
“I realized that tech is one of those industries where you can have huge leverage in the fact that you can accomplish big things with a very small team” – Markus Villig
ในช่วงเริ่มต้นสร้าง Bolt ทั้ง 3 หนุ่มก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเองเลย ไม่ว่าจะเป็นทั้ง พัฒนาแอปพลิเคชัน, สำรวจตลาด, ชักชวนให้คนมาใช้งานแอป รวมถึงออกไปตามท้องถนนใน Tallinn เมืองหลวงของเอสโตเนียเพื่อรับสมัครคนขับรถแท็กซี่
แม้ผู้ร่วมก่อตั้งทุกคนจะต้องลำบากทำทุกอย่างด้วยตัวเองในตอนเริ่มต้น แต่ Markus Villig ก็ยังคงยืนยันว่า เขาจะไม่มีทางเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์กับการจ้างคนที่มากเกินไป หรือทำแคมเปญการตลาดที่มีราคาแพง ทำให้การที่เขาจะจ้างพนักงานมา 1 คน เขาจะต้องมั่นใจแล้วว่าพนักงานคนที่จ้างมาจะต้องคุ้มค่าจริง ๆ เท่านั้น
ในปี 2018 Markus Villig ติดอันดับ Forbes List 30 Under 30 ด้วยอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น ในฐานะเจ้าของแอปพลิเคชันมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเป็นนักธุรกิจสตาร์ทอัปพันล้าน ชาวยุโรปที่อายุน้อยที่สุดด้วย
และในปีเดียวกัน Markus Villig ได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก Taxify มาเป็น Bolt เพื่อขยายการรองรับธุรกิจอื่น ๆ นอกจากการเป็นแอปพลิเคชัน Ride-hailing เพียงอย่างเดียวในอนาคต ซึ่ง Bolt ก็ถือว่ามาถูกทางมาก ๆ
เพราะในปี 2020 ที่เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 Bolt ก็ได้เพิ่มบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ และหันมาจับตลาด e-Scooter เพราะต้องการเข้ามาอุดช่องโหว่ในตอนที่ได้รับผลกระทบจากการเว้นระยะห่างของทั่วโลก ทำให้คนไม่สามารถออกจากบ้านได้ และการให้บริการ Ride-hailing ก็ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ Bolt เห็นหันมาโฟกัสกับตลาดสกูตเตอร์ไฟฟ้าแทน
ปัจจุบัน Bolt มีฐานตลาด Ride-hailing, e-Scooter และ Food Delivery อยู่ที่โซนยุโรปและแอฟริกาเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงเข้ามาให้บริการ Ride-hailing ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2020 โดยมีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 75 ล้านคน และมีคนขับแท็กซี่อยู่ในระบบกว่า 2 ล้านคนใน 45 ประเทศ
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/635b49f4d5fb5381b538893c_4NsRoJyrJEWX1nx6twUY10VbhSfcQx8tboBWEOeOe-EqZ4sGiFxwvtsipecgsUixKcrGAwexvIV0s4mc_TT2GofTrCCP-HKnW6SC55XaGPOeyBZNapQYXXcXIctovY6vcXTThQkCAqrEHfRrb6g5PPPpuMNQ6n_tL6wy-_gGpWMNDpDALJR6CwaCiQ.png)
ตัวเลขการเติบโตของ Bolt จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
จากข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าปี 2019 Bolt มีรายได้ 148 ล้านยูโร ส่วนในปี 2020 Bolt มีรายได้ 221 ล้านยูโร เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 73 ล้านยูโร
ปัจจุบัน Bolt มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการระดมทุนครั้งล่าสุดใน Series E จำนวน 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2022 ที่ผ่านมา เราลองไปย้อนดูประวัติการระดมทุนของ Bolt กัน
ย้อนดูการระดมทุนของ Bolt
- Seed Round – ด้วยจำนวน 500,000 หยวน (ประมาณ 71,000 ดอลลาร์สหรัฐ) นำโดย ZhenFund เมื่อวันที่ 29 กรกฏาคม 2015
- Series A – จำนวน 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดย Streamlined Ventures วันที่ 26 ตุลาคม 2016
- Series B (2 รอบ) – นำโดย Long Venture Partners จำนวน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2018 และนำโดย Activant Capital และ Tribe Capital จำนวน 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วันที่ 9 กรกฏาคม 2019
- Series C (2 รอบ) – วันที่ 16 กรกฏาคม 2020 จาก WestCap จำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2020 นำโดย General Atlantic และ Westcap จำนวน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Series D – ด้วยจำนวนเงิน 393 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2021 นำโดย Investments และ Willoughby Capital
- Series E – ด้วยจำนวนเงิน 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2022 จาก BlackRock, Schonfeld, H.I.G. Growth และ Invus ส่งผลให้ Bolt มีมูลค่าบริษัทรวม 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และกลายเป็นสตาร์ทอัปที่มีสถานะเป็น Decacorn ทันที (Decacorn = สตาร์ทอัปที่มีมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/635b49f45fe97d4c4446aa68_SEqOE1Kyr55iibU2-HH5S3VML7vckdTX6mWOMum1I88FBlfZicAgTJDkLQr9QyK2WJyhZaIRRieHCo6cK_Tmkwm6nnr6aU7OoMch7bcZdYD6gc-wauvNGxQn8yKofMfdkbzrGBQkTk2hKeoISKU2U-pgs63hS7Iw9Tql9cQbmBM3kTj12N5NBkpfbg.png)
Bolt กับการเข้ามาให้บริการในประเทศไทย
Bolt เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทยในช่วงปี 2020 ส่วนตัวคิดว่าในปัจจุบัน Bolt ก็ยังไม่สามารถตีตลาดในบ้านเราได้อย่างโดดเด่นเท่าเจ้าอื่น เพราะในไทยก็มีคู่แข่งเจ้าดังจากมาเลเซียที่เปิดให้บริการมาก่อนหน้า จนสามารถครองตลาดไว้ได้อยู่แล้ว และตอนนี้ Bolt อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่ากับเจ้านั้น
สำหรับเหตุผลที่ Bolt ไม่สามารถเข้ามาตีตลาดได้ในตอนนี้ อาจเป็นเพราะมาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น
- เจ้าจากมาเลเซียรู้จักภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดีกว่า Bolt (เหมือนที่ Bolt รู้จักยุโรปดีกว่า Uber ซึ่งมีอธิบายในพาร์ทกลยุทธ์การเติบโตข้อที่ 1)
- ในบ้านเราถ้าเรียกรถผ่าน Bolt ยังไม่สามารถรองรับการจ่ายเงินผ่านบัตรได้ (รับเฉพาะเงินสดเท่านั้น)
- ยังไม่เปิดให้บริการจัดส่งอาหาร, บริการสกูตเตอร์ไฟฟ้า
- เปิดให้บริการเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ
- การสร้าง Brand Awareness ยังน้อยกว่าเจ้าอื่นอยู่มาก
ถึงแม้ว่า Bolt จะชูจุดเด่นของตัวเองด้วยบริการเรียกรถยนต์ด้วยกลยุทธ์ด้านราคาที่ถูกว่าคู่แข่งในตลาดถึง 20% แต่ก็ยังตามหลังเจ้าอื่นอยู่ ซึ่งเราก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า Bolt จะสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทยจากคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ ได้หรือไม่ ในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายมาก ๆ กับการที่ Bolt เสนอบริการเรียกรถยนต์เพียงอย่างเดียว หากเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่มีบริการหลากหลายกว่า
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/635b49f4b7c9fd2b7b671d17_UMLSvF-OFe29wh173pObLUb992I9D65E8bHO6Bao51P4bL99pNuR627CwtvdxgF0LCgGEd-teCUOchHQ2b4c2igW0RKCXSAaBEJBzrS8TgKsNpTTDUoI6urU-YDr55-qlVVLO6uQz1nZISMqWSSCJHjITPx3eiISQXxaEn2nEa8JjSa7uv_PWl67yQ.png)
กลยุทธ์การเติบโตของ Bolt ทำอย่างไรถึงกลายเป็น Decacorn มูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์
1. เริ่มต้นทำตลาดในบ้านตัวเองก่อนขยายทั่วยุโรป
ในปี 2013 ตอนที่ Markus Villig ตัดสินใจทำธุรกิจ Ride-hailing ก็เป็นช่วงเดียวกับตอนที่ Uber ยักษ์ใหญ่ด้าน Ride-hailing ได้บุกเข้ามาทำตลาดในยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเข้ามาทำตลาดในเอสโตเนียได้ถึง 20 เมือง ซึ่งเป็นเมืองสำคัญที่ Bolt ต้องเข้าไปให้บริการด้วยเช่นกัน
นั่นจึงทำให้การต่อสู้ในครั้งนี้ถือว่าเป็นสมรภูมิรบครั้งใหญ่สำหรับ Bolt เพราะตอนนั้น Bolt เป็นเพียงแอปเรียกรถหน้าใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่กลับต้องมาต่อสู้กับรุ่นพี่อย่าง Uber ที่เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปและมีเครือข่ายทั่วโลกมากขึ้นแล้ว (รวมถึงในประเทศไทยด้วย)
แต่ Markus Villig ก็ไม่หวั่น เขาให้เหตุผลว่าแม้คนทั่วไปจะรู้จัก Uber แต่ Uber ไม่มีทางรู้จักนิสัยใจคอและความต้องการที่แท้จริงของชาวเอสโตเนียดีพอเท่ากับคนท้องถิ่นอย่าง Bolt หรอก ซึ่งเขาก็มองว่าในจุดนี้ Bolt ได้เปรียบกว่า Uber เห็น ๆ
เพราะ Uber เกิดและเติบโตที่สหรัฐอเมริกา และค่อย ๆ ขยายตัวมาสู่ยุโรป ซึ่งกฎหมายการคมนาคมในสหรัฐอเมริกาและยุโรปล้วนมีความต่างและซับซ้อนในแบบของตัวเอง รวมไปถึงพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละภูมิภาคก็มีความแตกต่างกันไปด้วย ซึ่ง Uber ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดีเท่าคนท้องถิ่นแน่นอน
นอกจากนี้ ในปี 2019 ก็มีข่าวว่า Uber มีปัญหากับภาครัฐในยุโรป เช่น Uber ไม่ได้รับต่ออายุใบอนุญาตใน London เพราะคนขับใช้ข้อมูลปลอม จึงทำให้ Bolt มีโอกาสเข้าไปทำตลาดใน London เพิ่มมากขึ้นได้
จากจุดแข็งในการเข้าใจกฎหมายคมนาคมทางฝั่งยุโรปเป็นอย่างดี จึงทำให้ Bolt สามารถทำตลาดในบ้านตัวเองได้ดีกว่า Uber ทำให้ Uber ต้องยอมถอยทัพกลับไป และภายหลัง Bolt ก็ยังสามารถขยายตลาดจากเอสโตเนียเข้าสู่ประเทศใกล้เคียงในยุโรปได้อีกด้วย ซึ่งก็ถือว่า Markus Villig มองเกมได้ขาดมาก ๆ
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/635b49f61de6a9c0ddbde7f3_z-rVn9r2XxUOdF8XAB58zZGEAD8R4pMgzPyzKCIstTh2R2tkJM3AKHqGprGvMGjbBC1cwc6dAWsvyA7FNZ6UEdKUtXL_pzRMaDyCeVHH0Q9NR4_O1mcWNaDqODDUAbfhkPBcR38vTZ895oWO1H68BGYferhk3OMSeIWa7lIpg_1fciOIcMG8UKbgMQ.png)
2. กลยุทธ์ด้านราคาและส่วนแบ่ง
Bolt ขึ้นชื่อว่าเป็นแอปพลิเคชันเรียกรถที่มีราคาถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ มาก เพราะจาก Pain Point ที่ CEO ของเขาเห็นว่าทั้งตัวเขาเองและคนรอบข้างต้องเรียกรถในราคาที่แพงมาก เขาเลยแก้เกมด้วยกลยุทธ์ด้านราคาที่ถูกกว่า
Bolt มีกลยุทธ์ด้านการบริหารธุรกิจด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่สามารถทำให้ทั้งทางฝั่งคนขับแท็กซี่และผู้โดยสารพึงพอใจมากที่สุด อย่างในกรณีนี้ Bolt จะขอส่วนแบ่งจากฝั่งคนขับ 15% ในขณะที่คู่แข่งเจ้าอื่นอยู่ที่ประมาณ 20-25%
ลองนึกภาพดูว่า ถ้าคุณเป็นผู้โดยสาร แล้วพบว่าได้รับประสบการณ์โดยสารที่มีความสะดวกเหมือนกัน มาตรฐานความปลอดภัยทั้งสองแอปก็ใกล้เคียงกัน แต่จ่ายในราคาที่ถูกกว่าเกือบครึ่ง หรือเป็นคนขับแท็กซี่ แล้วพบว่าโดนหักค่า Commission น้อยกว่า ด้วยเหตุผลเหล่านี้ก็ทำให้หลายคนเลือกที่จะใช้ Bolt มากขึ้น
นี่จึงเป็นอีกกลยุทธ์ที่ทำให้ Bolt เติบโตมาจนมีผู้ขับแท็กซี่ในระบบมากกว่า 2.5 ล้านคน และมีผู้โดยสารมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลกไปแล้ว
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/635b49f5cd75fa3d9648696f_DR5ZX8V8V86GeRKp5etqFv37GTwENr-d5nM8jAo_NSUmUGTPHlR50iRIG2yBgaAV7tflfC2gY3qj097J1PRMcJNNPgIBh-fU44fCZk6VsUQGipYwTbttLQqsTCTPAdGVlzR_BtIwKKE9Baaah4h3Ks3Llvqslz-7V33wPjJp483n6CZdHzDKoP3H-w.png)
3. บุกตลาด e-Scooter จนเป็นเจ้าใหญ่ในยุโรป
อย่างที่ได้เกริ่นไปว่าที่ Bolt หันมาให้บริการ e-Scooter เพราะว่าเป็นการอุดช่องโหว่จากผลกระทบของ Covid-19 เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ทำให้ Bolt ได้ให้กำเนิดอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ คือ การเป็นผู้ให้บริการ e-Scooter เจ้าใหญ่ในประเทศฝั่งยุโรป
ในปี 2021 ที่ผ่านมา Bolt ได้ออกมาประกาศว่าตัวเองเป็นผู้ให้บริการ Micromobility หรือ e-Scooter ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างเป็นทางการ โดยให้บริการมากกว่า 100 เมือง ใน 15 ประเทศ รวมทั้งสหราชอาณาจักร, สวีเดน, นอร์เวย์ และโปรตุเกส
นอกจากนี้ Bolt ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้ใช้งาน e-Scooter โดยครึ่งหนึ่งของผู้ใช้งานบอกว่าเขาเลือกที่จะเช่า e-Scooter มากกว่ารถยนต์ส่วนตัวมาขับขี่สำหรับการเดินทางน้อยกว่า 5 กิโลเมตร เพราะพวกเขาบอกว่ารวดเร็วกว่า เนื่องจากในเมืองมักจะมีปัญหาการจราจรติดขัดที่เลี่ยงไม่ได้ในเวลาเร่งด่วน
และที่สำคัญ หลังจากที่ Bolt เข้ามาให้บริการ e-Scooter ก็สามารถช่วยประหยัดการปล่อย CO2 ได้ 6.5 ล้านกิโลกรัมต่อปีเลยทีเดียว สำหรับโมเดลนี้ก็ถือว่า Bolt ทำขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมาก ๆ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ในยุโรปอย่างแท้จริง และยังถือว่าเป็นการปรับตัวในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ได้อย่างลงตัวอีกด้วย
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/635b49f5aff7c91bc44caedc_CmPLyDOKx0TvlSBX4KdRZbJ2ha8SClSVqknJIPut7O3b_4YyJOdPyzHidpIZiqfPHPrOxpOtFrJUfKkj7Qx2lnDf4HIVYoTX6InEPgP18wHVR-onB2MZW53H_LWRT_1M9k0DteJJBn0psu9Z4ONeXuE1MDDtigSNDK5aSNE48B2KndYB0_BYxh3QEA.png)
สรุปทั้งหมด
Bolt ถือว่าเป็นสตาร์ทอัปที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ ในฝั่งยุโรป แต่สำหรับ Bolt ในประเทศไทยก็ยังถือว่าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่ต้องเข้ามาฝ่าฟันความท้าทายต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากคู่แข่งที่ครองตลาดอยู่แล้ว และมีบริการหลากหลายกว่า รวมถึงการทำการตลาดให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่คนไทย
ซึ่งเราก็ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าการเติบโตของ Bolt จะเป็นอย่างไร และ Bolt จะสามารถต่อสู้ในสังเวียนการชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมาได้อีกมากน้อยเท่าไร และนี่ก็คือเรื่องราวของธุรกิจ Ride-hailing ที่ชื่อว่า Bolt ที่เรานำมาเป็นกรณีศึกษาในวันนี้