ถ้าพูดถึงเคสโทรศัพท์แล้ว คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของ CASETiFY แบรนด์เคสโทรศัพท์สัญชาติฮ่องกงที่สามารถทำรายได้ในปี 2021 ที่ผ่านมาได้กว่า 127.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว ๆ 4.7 พันล้านบาท
สำหรับจุดเด่นของ CASETiFY ที่ทำให้ใคร ๆ ต่างหลงรักแบรนด์นี้คือ การที่ลูกค้าสามารถออกแบบเคสโทรศัพท์ได้เองตามใจชอบ และเส้นลายกรอบรอบเลนส์กล้องอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ใครเห็นก็ต้องรู้ทันทีเลยว่าเป็นของ CASETiFY นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แบรนด์นี้สามารถครองใจวัยรุ่นไปได้ทั่วโลก
แต่คุณสงสัยไหมว่ากว่าที่ CASETiFY จะเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ เขาได้ใช้กลยุทธ์การเติบโตอะไรบ้าง ในวันนี้ The Growth Master ก็จะพาคุณไปย้อนรอยการเติบโตของแบรนด์นี้กัน ไปดูกันเลย
ประวัติ CASETiFY แบรนด์เคสโทรศัพท์กันกระแทกสัญชาติฮ่องกง
CASETiFY ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2011 โดย Wes Ng ชายชาวฮ่องกงที่มี Pain Point ว่าเขาอยากได้เคสกันกระแทกสำหรับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ของตัวเอง แต่ว่าเคสโทรศัพท์ในตลาดขณะนั้นมีรูปร่างที่ใหญ่ หนาเทอะทะ และที่สำคัญ ในตลาดไม่มีลายเคสที่เขาชอบเลย
บวกกับตอนนั้น Wes Ng รู้สึกทึ่งและหลงใหลใน Instagram มาก ๆ (Instagram ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2010) จนรู้สึกอยากนำโซเชียลมีเดียอันนี้มาสร้างสรรค์ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีในตอนนั้นมาก ๆ
จนในที่สุด Wes Ng จึงตัดสินใจลาออกจากงานในแวดวง Digital Design and Consumer Experience เพื่อมาก่อตั้ง CASETiFY (โดยในช่วงแรกใช้ชื่อว่า Casetagram) แพลตฟอร์มบริการออกแบบเคสมือถือที่ใช้ภาพจาก Instagram มาพิมพ์ลายลงบนเคส ซึ่งเป็นความคิดของเขาเองที่อยากได้ภาพใน Instagram มาเป็นเคส เพราะนอกจากจะทำให้เขาได้ลายเคสโทรศัพท์ที่ตัวเองชื่นชอบแล้ว เคสนั้นก็ยังมีความ Unique และมีเพียงชิ้นเดียวในโลกเท่านั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม CASETiFY ก็ไม่เพียงแต่สามารถเลือกรูปที่ตัวเองต้องการมาพิมพ์ลายได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเลือกความหนา ความแข็งของเคส รวมถึงวัสดุเองได้ นั่นจึงทำให้หลังจากที่ CASETiFY เปิดตัวทางบริษัทก็ได้รับความสนใจจากวัยรุ่นตอนนั้นอย่างท่วมท้น และประสบความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน
โดย Wes Ng ได้ให้เหตุผลว่าเคสโทรศัพท์สำหรับบางคนก็เปรียบเสมือนเป็นเครื่องประดับอีกหนึ่งชิ้นที่สามารถบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ และได้เผยรสนิยมความชอบของตัวเองได้เป็นอย่างดีไม่แพ้กับเครื่องแต่งกายของพวกเขาเลย
และ CASETiFY ก็ได้ในให้ความสำคัญมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งคุณภาพในการปกป้องโทรศัพท์จากรอยขีดข่วนหรือแรงกระแทกต่าง ๆ รวมถึงการออกแบบดีไซน์ความเท่ให้เข้ากับบุคลิกของวัยรุ่นแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ทาง CASETiFY ก็ไปร่วม Collaboration กับแบรนด์ดัง ๆ ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น DHL, Blanc & Eclare, Pokémon หรือ Vetements เป็นต้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ CASETiFY มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นกระแสดังไปทั่วโลก และได้รับความสนใจจาก Gen Z อย่างท่วมท้นมาก ๆ จนได้รับสมญานามว่าเป็นแบรนด์อุปกรณ์เสริมด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกอีกด้วย
ปัจจุบัน CASETiFY เปิดตัวมาแล้ว 11 ปี มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง และ Los Angeles สหรัฐอเมริกา และนอกจากเคสโทรศัพท์แล้วก็ยังผลิตอุปกรณ์อื่น ๆ อีกเช่น เคส Airpods, สาย Apple Watch, เคส iPad, เคส Switch แบบพกพา, เคส Macbook, เคส Air Tags และอื่น ๆ
และที่สำคัญ CASETiFY สร้างรายได้ปีที่ผ่านไปได้มากถึง 127.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากฐานลูกค้าของแบรนด์เอง รวมถึงจากกลยุทธ์การไป Collaboration กับแบรนด์ดังทั่วโลก
กลยุทธ์ที่ทำให้ CASETiFY เติบโตจนมีรายได้กว่า 4.7 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา
Personalized Case เพิ่มยอดขายกว่า 25%
ที่ CASETiFY นอกจากจะมีเคสลายสวย ๆ แบบสำเร็จรูปมาให้ลูกค้าได้เลือกซื้อได้ตามใจชอบแล้ว ยังให้ลูกค้าสามารถปรับแต่ง (Custom) เคสได้ตามใจต้องการอีกด้วย ตั้งแต่ความแข็ง, ความหนาของเคส ไปจนถึงลายรูปภาพ, ตัวอักษร, สีที่ลูกค้าต้องการจะพิมพ์ลายลงไป หรือวัสดุที่ต้องการ
สำหรับตัวอย่างการ Personalized Case ของ CASETiFY เช่น คอลเลกชัน Custom Neon Sand Case ที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 2018 โดยตัวเคสจะมีลักษณะเป็นเคสสีนีออนสดใส และให้ลูกค้าสามารถ Custom ได้ตามใจชอบเลย เช่น เลือกสีที่ใช่ มีการพิมพ์ชื่อของตัวเองลงไป หรือเพิ่มลายที่อยากได้
ซึ่งพอทางแบรนด์ได้ปล่อยคอลเลกชันนี้ออกมา CASETiFY ก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์ Inbox แตก เพราะมีหลายคนได้ส่งข้อความเข้ามาขอให้แบรนด์เพิ่มแบบฟอนต์ รูปภาพ และรูปแบบการ Custom อื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีก เพื่อความ Personalization ให้กับเคสมากกว่านี้
จากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ทางแบรนด์เห็นว่าลูกค้ามีความต้องการที่จะ Custom เคสให้มีเอกลักษณ์ความเฉพาะตัวมากขึ้น ซึ่งแบรนด์ก็ได้เก็บนำความคิดเห็นเหล่านี้มาปรับให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้นอีก
CASETiFY จึงถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืนด้วยแนวคิด Personalized Case และเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าหลายคนรู้สึกตรงกันว่า CASETiFY เป็นเหมือนแบรนด์เครื่องประดับไฮเทคแบรนด์แรกที่ให้ความสำคัญกับบุคลิกที่สะท้อนความเป็นตัวตน และคุณภาพของสินค้าในพื้นที่ที่ไม่มีแบรนด์ไหนเคยทำแบบนั้นมาก่อน ซึ่งยอดขายกว่า 25% ของ CASETiFY มาจากการให้ลูกค้า Custom ลายเองได้ และกลายเป็นสิ่งที่ CASETiFY ให้ความสำคัญไปแล้ว
Collaboration กับแบรนด์ดังระดับโลก
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ CASETiFY และทำให้แบรนด์มีการเติบโตในแบบที่ไม่มีใครมาฉุดรั้งได้ นั่นก็คือการไป Collaboration กับแบรนด์ดัง ๆ ทั้งระดับโลกและพันธมิตรทางการค้าอื่น ๆ เช่น
- Pokémon
- The M Jewelers
- Keith Haring
- Carnival
- Disney and Pixar's Toy Story
- alice + olivia
- Smiley®️ Capsule
- BLVCK
- Disney Princess
- Dragon Ball Z
- DHL
- และอื่น ๆ อีกมากมาย
“Collaborations play a very important role in keeping up with the excitement,” – Wes Ng.
Wes Ng กล่าวว่า การ Collaboration กับแบรนด์อื่น ทำให้แบรนด์ผลักดันยอดขายส่วนใหญ่ในเอเชียได้เป็นอย่างดี เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแฟชันมากขึ้น ในขณะที่ในสหรัฐฯ การไป Collab กับศิลปินดังสามารถช่วยรักษายอดขายส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
นอกจากนี้ แน่นอนว่าข้อดีของการไป Collaboration ระหว่างแบรนด์ นอกจากฐานลูกค้าที่ CASETiFY มีอยู่แล้ว ก็ยังได้ฐานลูกค้าจากแบรนด์ที่ไป Collab ด้วย จึงทำให้เมื่อปล่อยสินค้าในคอลเลกชันต่าง ๆ ออกไปยอดขายของ CASETiFY มียอดขายถล่มทลาย
และที่สำคัญ ก็ยังช่วยเพิ่ม Brand Awareness ของ CASETiFY ไปในตัวอีกด้วย เพราะคนที่ไม่เคยรู้จัก CASETiFY มาก่อน แต่พอเห็นว่าแบรนด์ที่เขาชอบไป Collab กับ CASETiFY เขาก็อยากเข้ามาทำความรู้จักกับแบรนด์นี้มากขึ้น
เริ่มต้นจาก Instagram เติบโตด้วยช่องทางออนไลน์
Instagram เป็นแรงบันดาลใจหลักสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ CASETiFY นี้ขึ้นมา ซีอีโอของ CASETiFY จึงมองว่าเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และช่องทางโซเชียลจึงเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ รวมถึงเป็นประตูสู่การเชื่อมต่อโดยตรงกับ Community ของแบรนด์ และที่สำคัญที่สุดโซเชียลมีเดียก็เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีอิทธิพลมาก ๆ สำหรับคนยุคใหม่
เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่ากลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์เป็นกลุ่มผู้ใช้งานรุ่นใหม่ที่มีการใช้สมาร์ทโฟนเป็นหลัก และมีไลฟ์สไตล์ที่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีอยู่แล้ว บวกกับเอาพฤติกรรมของลูกค้าวัยรุ่นที่ชอบการถ่ายรูปตัวเองกับกระจก ซึ่งมันก็จะทำให้เห็นทั้งตัวคนนั้นและเคสจาก CASETiFY ในรูปนั้นด้วย
และยิ่งถ้าคน ๆ นั้นเป็นบุคคลดังระดับโลกแล้วทำแบบเดียวกันก็จะยิ่งช่วยเพิ่ม Brand Awareness ได้มากขึ้นไปอีก โดยที่แบรนด์ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพื่อทำการตลาดเลย
Pop-up Store แก้ Pain Point เล็ก ๆ ให้กับลูกค้า
ปกติแล้วถ้าเราอยากจะครอบครองเคสของ CASETiFY สักอันหนึ่ง เราจะต้องสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ www.casetify.com หรือแอปพลิเคชัน CASETiFY เท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแบรนด์ที่เลือกใช้ช่องทางออนไลน์ เพราะว่าขายและเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย สามารถขายสินค้าได้ทั่วโลกไม่เว้นเฉพาะเพียงแค่ในเอเชียเท่านั้น
แต่แน่นอนว่าในเมื่อเราต้องสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ก็ย่อมมี Processในการสั่งซื้อหลายขั้นตอน ลูกค้าที่ซื้อจะไม่ได้สัมผัสสินค้าจริงก่อน และที่สำคัญต้องรอสินค้าประมาณ 1-2 สัปดาห์กว่าจะมาถึงมือเพราะ CASETiFY มีฐานการผลิตไม่เพียงกี่ประเทศบนโลกนี้เท่านั้น (สำหรับฐานการผลิตของเอเชียจะอยู่ที่ฮ่องกง) รวมถึงมี Process ในการผลิตและจัดส่งที่ต้องใช้เวลา
นั่นจึงทำให้ในช่วงเวลาระหว่างที่ต้องรอเคสมาส่งมันอาจกลายเป็น Pain Point เล็ก ๆ ของลูกค้าว่าเวลาเราอยากจะได้เคสสักชิ้นหนึ่งมาใช้ ทำไมเราต้องรอนานขนาดนั้นด้วย? รวมถึงลูกค้าบางคนก็อยากจะดูสินค้าจริงก่อนว่าวัสดุของ CASETiFY แต่ละอย่างแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เนื้อสัมผัสและคุณภาพเป็นอย่างไรก่อนที่จะกดสั่ง
CASETiFY จึงได้มีการตั้ง Pop-up Store ตามสถานที่ต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อให้คนที่อยากได้เคสของ CASETiFY ไม่จำเป็นต้องสั่งออนไลน์แล้วใช้เวลารอนาน ๆ อีก แต่สามารถ Walk-in เข้ามาซื้อได้เลยที่หน้าร้านแล้วรอรับเคสกลับไปใช้ได้ทันที ถือเป็นการแก้ Pain Point เล็ก ๆ ของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
อย่างเช่นตอนนี้ CASETiFY ก็ได้มาเปิด Pop-Up Store ครั้งแรกในประเทศไทยที่ Central World เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เปิดถึงวันที่ 25 มีนาคม 2023 เท่านั้น ทำให้สำหรับใครที่เป็นแฟน CASETiFY อยู่แล้ว หรือใครที่อยากลองใช้เคสจากแบรนด์นี้ก็สามารถเข้าไปสัมผัสของจริงและเลือกดูก่อนได้
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าเมื่อขึ้นชื่อว่า Pop-up Store แล้ว ในท้ายที่สุดก็ต้องหายไปตามอายุสัญญาที่ทางแบรนด์ตกลงกับสถานที่นั้น ๆ เพราะไม่ใช่ Store แบบถาวร ทำให้สุดท้ายแล้ว CASETiFY ก็ยังสามารถคงคุณค่าและเสน่ห์ของการสั่งซื้อแบบออนไลน์ไว้ได้อย่างเดิมอยู่ดี
ReCASETiFY และเคสโทรศัพท์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ 100%
เชื่อว่ามีหลายคนที่เปลี่ยนเคสโทรศัพท์บ่อย เนื่องจากอาจจะไม่ชอบลายนั้นแล้ว, อยากตามทันกระแสโลก หรือตัวเคสได้รับความเสียหายบางส่วน ทำให้บางครั้งกลายเป็นว่าเคสเหล่านั้นได้กลายเป็นขยะและสร้างผลกระทบให้กับโลกด้วย
CASETiFY จึงได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของเคสกันกระแทกไปอีกขั้น เพราะเมื่อปี 2020 แบรนด์ได้เปิดตัวเคสโทรศัพท์ที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ 100% (Biodegradable) ตัวแรกของโลก ภายใต้ชื่อของ CASETiFY CONSciOUS เพื่อตระหนักและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในทุกวัน
นอกจากนี้ CASETiFY ยังมีโครงการ ReCASETiFY หรือโครงการที่ให้ลูกค้าส่งเคสที่ไม่ใช้แล้วกลับมารีไซเคิลแล้วรับส่วนลดในการซื้อเคสอันใหม่กลับไป ซึ่งแคมเปญแบบนี้ก็มีคนที่ให้ความร่วมมือมากมาย โดยทางบริษัทเผยว่าได้นำเคสเก่าไปผลิตใหม่แล้วกว่า 28,000 กิโลกรัม เทียบเท่าสนามฟุตบอลถึง 24 สนามแล้ว
สรุปทั้งหมด
ความสำเร็จของ CASETiFY นอกจากจะเกิดจากการที่แบรนด์มีการใช้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันเป็นหน้าร้านออนไลน์ในการขายสินค้าและมีการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้ว ก็ยังเปิดกว้างให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับแต่งเคสได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นจุดสร้างความแตกต่างให้ CASETiFY แตกต่างจากแบรนด์เคสโทรศัพท์เจ้าอื่น ๆ
รวมไปถึงการ Collaboration ร่วมกับแบรนด์ดังต่าง ๆ นำความชอบและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์นั้น ๆ มาแทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งของทุกคนได้เป็นอย่างดี ทำให้คนที่ใช้เคสของ CASETiFY สามารถนำเสนอความเป็นตัวเองผ่านเคสโทรศัพท์ที่เลือกใช้ ซึ่งกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ก็ทำให้ CASETiFY กลายเป็นแบรนด์ที่เติบโตได้เพียงชั่วข้ามคืนและประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้นั่นเอง