เคยสงสัยไหมว่าทำไม Google ถึงเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่มีแต่คนเก่ง ๆ อยากไปทำงานมากที่สุดในโลก?
นั่นเป็นเพราะว่า Google เป็นบริษัทที่เข้าใจและสนับสนุนพนักงานมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก นอกจากจะมีสวัสดิการที่อำนวยความสะดวก ตอบโจทย์พนักงานได้แบบครบครันตั้งแต่ก้าวเดินออกจากบ้านมาจนถึงบริษัทแล้ว ยังมีวัฒนธรรมองค์กรที่ชวนให้พนักงานเป็นคนเก่งในเวอร์ชันที่ดีขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ และให้โอกาสเติบโตในที่แห่งนี้ได้อย่างที่ไม่ที่สิ้นสุด
ตอนนี้อยากรู้กันแล้วใช่ไหมล่ะว่าสวัสดิการของ Google จะมีความเจ๋ง และบริษัทจะน่าทำงานด้วยขนาดไหน ไปดูกันต่อได้เลย
สวัสดิการที่ไม่เหมือนใครในแบบของ Google
Google ได้รับการจัดอันดับจาก Comparably ว่าเป็น ‘บริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรดีที่สุดในปี 2021’ (Best Global Culture 2021) โดยหลักเกณฑ์ที่ใช้วัด มีดังนี้
- ค่าตอบแทน (เงินเดือน, โบนัส และการขึ้นเงินเดือน)
- ความก้าวหน้าในอาชีพ (โอกาส, การให้คำปรึกษา และเป้าหมาย)
- ความเป็นผู้นำ (CEO, ผู้บริหาร และผู้จัดการ)
- สภาพแวดล้อมการทำงาน (สวัสดิการ Work-Life Balance และเพื่อนร่วมงาน)
สำหรับเราก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรเลยที่ Google จะได้รับรางวัลนี้ เพราะถ้าพูดถึงสมัยก่อนภาพจำออฟฟิศของหลาย ๆ คนก็คงจะเป็นแบบที่ทุกคนมีพื้นที่ทำงานเป็นของตัวเอง แถมมีที่กั้นคั่นกลาง และทั้งผู้บริหารและพนักงานแยกส่วนออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้บางครั้งพนักงานไม่ค่อยมีการสื่อสารกันระหว่างทำงาน
และออฟฟิศก็ถือว่าเป็นเพียงแค่ที่ทำงานเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ส่วนกลางให้ได้ผ่อนคลาย ไม่มีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมร่วมกัน เพราะความเชื่อสมัยก่อนบอกว่าออฟฟิศต้องเป็นสถานที่ที่ให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่ควรมีอะไรมารบกวนเวลา หรือมาทำให้พวกเขาไม่มีสมาธิทำงานมากนัก
แต่ปัจจุบันบริษัทเทคโนโลยีหลาย ๆ บริษัทรวมถึง Google ก็ได้เข้ามาลบภาพจำของออฟฟิศแบบนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากใครที่เคยเห็นบรรยากาศที่ออฟฟิศของ Google ก็คงจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนแบบทันทีเลย เพราะออฟฟิศของ Google มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายให้พนักงานจนเรียกได้ว่าเป็น ‘บ้านหลังที่สอง’ เลยก็ว่าได้ และพนักงานส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกมีความสุขที่จะได้เข้ามาทำงานในบริษัททุกครั้ง
ตัวอย่างของสวัสดิการที่ Google มอบให้พนักงาน เช่น
- สวัสดิการด้านการเดินทาง – Google มีรถรับส่งให้พนักงานจากย่านที่อยู่อาศัยของพนักงานมาจนถึงออฟฟิศเลย ทำให้พนักงานไม่จำเป็นต้องเสียค่าเดินทาง หรือเสียเวลาขับรถเอง แล้วระหว่างที่อยู่บนรถก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานให้ด้วย เช่น โต๊ะวางแล็บท็อบ, Wi-Fi เพื่อให้พนักงานสามารถเข้าประชุมหรือเช็กอีเมลในระหว่างการเดินทาง จะได้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์นั่นเอง
- มีอาหารให้ฟรี 3 มื้อ – โดยอาหารทั้ง 3 มื้อนั้นก็เป็นอาหารที่มีความหลากหลาย สารอาหารครบถ้วน ไม่ซ้ำซากจำเจ รสชาติอร่อย และดีต่อสุขภาพของพนักงานทุกคน ซึ่ง Google ได้ให้เหตุผลว่าที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้พนักงาน ไม่ต้องเดินไปหาร้านค้าที่ไหนไกล ประหยัดเวลา แถมยังสามารถพูดคุย ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้อย่างง่ายดาย
- Minibar – Minibar ของ Google มีทั้งน้ำผลไม้ กาแฟ หรือของว่างให้กินได้ตลอดเวลา ซึ่ง Google ก็มีความใส่ใจกับพนักงานถึงขนาดที่ว่า ในตู้เย็นจะนำเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ คลีน ไม่มีแคลอรี จัดอยู่ในตำแหน่งที่พนักงานหยิบได้ง่าย แต่ถ้าใครอยากจะดื่มเครื่องซ่า ๆ อย่าง โซดา น้ำอัดลม หรือดื่มที่มีแคลอรี ก่อนจะซ่าสดชื่นก็ต้องยอมเหนื่อยก้มลงไปหยิบที่ชั้นล่างเสียหน่อย
- แต่ถ้าเป็นเครื่องดื่มประเภทโซดา น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีแคลอรี ก็จะวางไว้ชั้นล่าง ๆ เพื่อให้พนักงานหยิบยากหรือเสียแคลอรีก่อนที่จะดื่มอีกด้วย
- Ergonomic Office Stuff – ไม่ว่าจะเป็นทั้งโต๊ะ เก้าอี้ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อช่วยให้พนักงานได้ทำงานตามหลักสรีระศาสตร์ที่ถูกต้อง นอกจากความเป็นอยู่ของพนักงานต้องดีแล้ว สุขภาพกายระหว่างการทำงานก็สำคัญไม่แพ้กัน
- ห้องบริการต่าง ๆ – เช่น ห้องนอน ถ้าหากพนักงานต้องการงีบระหว่างวัน ก็สามารถมานอนได้ทุกเวลา, ห้องอาบน้ำ ที่มีอุปกรณ์ครบทั้งผ้าเช็ดตัว สบู่ หรือแม้แต่อุปกรณ์ของผู้หญิงเองก็ตาม, ห้องนวด ใครที่ปวดเมื่อยเนื้อตัวหรืออยากผ่อนคลาย ก็มาใช้บริการนวดได้, ห้องเล่นเกม เพื่อสร้างความสุขให้กับพนักงาน และส่งเสริมให้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ
- สนับสนุนการออกกำลังกาย – เป็นพนักงานจะทำงานอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเสียเหงื่อสักหน่อย Google ก็มีพื้นที่ออกกำลังกายไว้ให้พนักงาน อย่างเช่น บริการฟิตเนส, ห้องตีปิงปอง, โต๊ะพลู หรือถ้าสายปั่นอยากจะออกไปปั่นจักรยานใน Campus ท้าแดดรับลมหนาว Google ก็มีให้บริการทั่วพื้นที่ของบริษัท สามารถปั่นคันไหนก็ได้ตามใจชอบ
สำหรับตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) ภายในออฟฟิศ Google เท่านั้น ที่ถูกออกแบบมาพร้อมกับความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับออฟฟิศรูปแบบเดิม ๆ เหมือนภาพจำหลาย ๆ คนในอดีต แต่ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะ Google ก็ยังมีสวัสดิการอื่น ๆ อีกเช่น
- ประกันชีวิต – ถ้าหากพนักงานเสียชีวิต บริษัทจะจ่ายเงินเดือนให้ผู้รับผลประโยชน์ถึง 10 เท่า ให้เรามั่นใจได้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ครอบครัวจะได้รับเงินดูแลและไม่ลำบากแน่นอน
- ประกันสุขภาพแบบพรีเมียม – นอกจากให้ตัวพนักงานแล้วก็ยังให้คู่สมรส (โดยไม่จำกัดเพศ) ได้รับสิทธิ์แบบเดียวกันกับที่พนักงานได้ทุกอย่าง
- เงินเดือนสำหรับบุตร – บุตรของพนักงานจะได้รับเงินเดือนเดือนละ 1,000 ดอลลาร์ จนถึงอายุ 19 ปี
- สิทธิ์ลาคลอด – ให้ลาไปเลี้ยงดูบุตรได้ทั้งพ่อและแม่ (บางแห่งจำกัดให้แม่ลาเพียงคนเดียว)
- มีเงินสนับสนุนในช่วง Work From Home – บริษัทสนับสนุนเงินจำนวน 1,000 ดอลลาร์ เพื่อให้พนักงานไปซื้ออุปกรณ์เพิ่มความสะดวกให้กับการทำงานที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ IT, โต๊ะ, เก้าอี้ และอื่น ๆ
- Hybrid Working – ให้เข้าออฟฟิศ 3 วัน และ Remote Working 2 วัน (สามารถเลือกวันเองได้) เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานและสร้างความ Productive ให้กับพนักงานมากขึ้น
- ทุนการศึกษา – เงินสนับสนุนให้พนักงานได้เรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตัวเอง โดยจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ศึกษาในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน ถ้าหากคุณเป็น Engineer แต่อยากไปเรียนดำน้ำ บริษัทจะช่วยออกค่าเรียน 1/3 แต่ถ้าศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงาน เช่น การบริหาร การโค้ดดิ้ง การฝึกพูดในที่สาธารณะ สามารถเบิกได้ 2/3 เพื่อนำมาพัฒนางานหรือโปรเจกต์ได้มากขึ้น
ที่ Google พยายามคิดค้นสวัสดิการต่าง ๆ ออกมามากมายให้กับพนักงาน ก็เพราะบริษัทอยากช่วยให้พนักงานมีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เมื่อทุกอย่างดี พนักงานไม่มีเรื่องมารบกวน มี Mental Health ที่ดี ไม่มีอาการหมดไฟหรือ Burnout มาเยี่ยมเยือน พวกเขาก็จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นได้อีก
นอกจากนี้ การมีสวัสดิการที่ดีก็จะไปสอดคล้องกับนโยบายหนึ่งที่เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมองค์กรของ Google ที่มีมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มก่อตั้งบริษัทเลย นั่นก็คือ นโยบาย 20 Percent Time
นโยบาย 20 Percent Time คืออะไร?
นโยบาย 20 Percent Time คือ นโยบายที่ Google ให้พนักงานใช้เวลาทำงาน 20% ไปสร้างโปรเจกต์อะไรก็ได้ที่สร้างประโยชน์ให้กับ Google มากที่สุด นอกเหนือจากการทำงานในหน้าที่ปกติ ซึ่งการใช้เวลาตรงนี้จะทำให้พนักงานเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา และสามารถสร้างผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับ Google ได้
ตัวอย่างนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากนโยบาย 20 Percent Time เช่น Google News (2002), AdSense (2003) และ Gmail (2004) ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็ได้ออกมาสร้างความคุ้นเคยใหม่ ๆ ให้กับเรา จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว
พนักงานในบริษัทของคุณกำลังทำงานอยู่ภายใต้กรอบระเบียบมากเกินไปอยู่หรือเปล่า?
เพราะบางทีการมีขนบธรรมเนียมหรือวัฒนธรรมองค์กรที่ทำต่อกันมารุ่นสู่รุ่นก็อาจเป็นเรื่องที่ดี แต่หลายครั้งการเปิดโอกาสให้พนักงานมีอิสระ มีพื้นที่ของตัวเอง ได้คิดและลงมือทำในสิ่งที่ต้องการดูบ้าง ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เปิดโอกาสให้เขาได้สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ออกมา และเป็นประโยชน์ให้กับองค์กรมากขึ้นก็ได้
ดังนั้นการรักษาพนักงานเก่ง ๆ ให้อยู่กับบริษัทเราเองได้นาน ๆ นอกจากจะมีผลต่อการเติบโตของบริษัทเองแล้ว ก็ยังสามารถดึงดูดคนเก่ง ๆ เข้ามาเพิ่มได้อีก ถ้าบริษัทไหนที่อยากมีคนเก่ง ๆ คนรุ่นใหม่ไฟแรงไปทำงานด้วย ก็อาจจะลองนำนโยบาย 20 Percent Time ของ Google ไปลองปรับใช้ตามความเหมาะสมขององค์กรตัวเองดูก็ได้ เพื่อที่ว่าเมื่อพนักงานอิสระแล้ว ก็จะได้คิดค้นไอเดียใหม่ ๆ ในการสร้างนวัตกรรมมากขึ้นมานั่นเอง
สรุปทั้งหมด
จากตัวอย่างข้างต้นทั้งหมด ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากสวัสดิการที่ Google มอบให้พนักงานเท่านั้น เมื่อสภาพแวดล้อมดี พนักงานมีความสุข ไม่ต้องคิดอะไรมากกับสิ่งรอบตัว ก็ช่วยให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานมากขึ้น งานที่ออกมาก็จะมีประสิทธิภาพส่งผลดีกับทั้ง Google และตัวพนักงาน นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผู้คนกว่า 2 ล้านคนต่อปีส่งใบสมัครเข้ามาเพื่อเป็นพนักงานของ Google