คุณเชื่อในจังหวะชีวิตหรือเปล่า?
ตอนนี้มีหลายคนที่กำลังวิ่งตามความฝันของตัวเองอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นความฝันที่มีมาตั้งแต่เด็กหรือความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานมานี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน ทำงาน หรือทำธุรกิจ บางคนประสบความสำเร็จเร็ว บางคนประสบความสำเร็จช้า หรือบางคนก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จเลยก็มี…
ดูเพื่อนคนนั้นดิ ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จได้เร็วขนาดนั้นทั้ง ๆ ที่ตอนเรียนก็นั่งหลับอยู่หลังห้องด้วยกันมาแท้ ๆ
ใครหลายคนก็อาจจะพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน ที่เห็นคนรุ่นเดียวกันเดินไปไกลแล้ว แต่เรากลับยังยืนอยู่ที่เดิม จนยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าเข้าไปอีก แต่นั่นแหละที่เรียกว่า ‘จังหวะชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน’
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้วอย่าง Jack Ma, Steve Jobs หรือ Bill Gates เองต่างก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้วทั้งนั้น เช่น ชีวิตล้มเหลว ทำธุรกิจกำลังจะไปได้สวย แต่กลับมีอะไรที่มาทำให้พลาดไม่เป็นท่า ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีชีวิตของใครบนโลกนี้หรอกที่โรยด้วยกลีบกุหลาบมาตั้งแต่ต้น แต่มันอยู่ที่ ‘จังหวะ’ และ ‘วิธีคิด’ ของคนนั้น ๆ (สามารถลองอ่าน Entrepreneurial Mindset ของทั้ง 3 คนได้ที่นี่)
แล้วเราจะรู้ได้ไงล่ะว่า ‘จังหวะ’ จะมาตอนไหน?
จังหวะก็เหมือนอนาคตที่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะมาตอนไหน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่เราควรจะเตรียมตัวไว้ให้พร้อมอยู่เสมอในเส้นทางที่เราจะเดิน มุ่งมั่นตั้งใจเดินต่อไปในเส้นทางนั้น เพราะโลกของเรามีอะไรเกิดขึ้นมากมายและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน เมื่อเราเห็นจังหวะที่ใช่ เวลาที่เหมาะสม ก็เป็นตัวเราเองนี่แหละที่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้
ขอยกตัวอย่างจากปีที่แล้ว 2020 ในช่วงสองเดือนแรกของปี ทุกคนกำลังวางแผนจะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ เด็กมหา’ลัยที่กำลังจะเรียนจบ บางคนก็วางแผนจะใช้โอกาสนี้ไป Work and Travel เพื่อทำงานเก็บเงินสักก้อนนึง เรียนรู้ฝึกภาษา ไปท่องเที่ยวเปิดโลกกว้าง หรือได้พบเจอเพื่อนใหม่ ๆ ก่อนที่จะกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างเต็มตัว
ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้ว เตรียมเอกสาร เก็บกระเป๋า เหลือแค่รอเวลาอีกแค่เดือนเดียวก็จะได้บินไปแล้ว แต่โอกาสนี้ที่จะได้โบยบินกลับเป็นโอกาสสุดท้ายที่ต้องลอยหายไป ทุกอย่างพังทลายลงต่อหน้าเพราะพิษจาก Covid-19 ระบาดไปทั่วโลก กลับกลายเป็นว่าเป็นเด็กจบใหม่ที่ต้องมาติดแหง่กอยู่ที่บ้าน แถมตกงานอย่างสมบูรณ์แบบซะงั้น เนี่ยแหละนะ ‘จังหวะชีวิตไม่ดีเลย’
ในทางเดียวกัน บางคนก็เตรียมตัวทำธุรกิจมาเป็นอย่างดี โปรโมท วางแผนจัดแจงไว้หมดทุกอย่างแล้ว แต่พอเปิดร้านปุ๊บ เฮ้ออ...สั่งล็อกดาวน์ซะงั้น ‘จังหวะไม่ดีชะมัด’ แต่ในความจังหวะไม่ดีของเขา มันก็สามารถพลิกแพลงกลับมาเป็น ‘โอกาส’ ได้เหมือนกัน
‘เอาวะ ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียละ ถ้าลองผลลัพธ์มันอาจจะดีขึ้นสัก 1% ก็ยังดี แต่ถ้าไม่ลองเลยโอกาสมันก็เป็น 0 อยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้’
จากคนที่คิดจะเปิดขายของแบบหน้าร้านจริง ๆ และไม่เคยคิดจะขายของแบบออนไลน์เลยสักครั้ง ก็ได้มาลองทำตรงนี้ ได้ลองทำการตลาด โปรโมทสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ จากการทำสิ่งเหล่านี้มันก็กลายมาเป็นสกิลใหม่ติดตัวที่สามารถนำมาใช้ประกอบอาชีพได้ และธุรกิจก็มีผลตอบรับที่ดีเกิดคาดจากลูกค้าอีกด้วย
เอาใหม่นะ มาเริ่มต้นกันใหม่ ทุกวันของคุณเปลี่ยนไปได้เสมอ
ในเมื่อไม่มีใครรู้ และตัวเราเองก็เหยียบคันเร่งให้จังหวะชีวิตนั้นมาเร็ว ๆ ไม่ได้
วันนี้ The Growth Master จะพาทุกคนไปดู 4 วิธีใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้จังหวะชีวิตที่ตามหาจะยังมาไม่ถึงก็ตาม
1. พัฒนาตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ
เพราะโลกหมุนไวขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีเป็นตัวการสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปเยอะมาก และเราก็ไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้เลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป วันนี้ดี พรุ่งนี้อาจจะไม่ดีก็ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ นั่นก็คือ ‘เตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ’ หมั่นหาความรู้ใหม่ ๆ และอัพสกิลที่มีประโยชน์ให้กับตัวเองเสมอ
เช่น สมมติเราไปสมัครงานในบริษัทต่างชาติ ด้านการตลาด ในระหว่างที่รอเรียกสัมภาษณ์ เราก็หาความรู้เกี่ยวกับด้านการตลาดกักตุนไว้เยอะ ๆ และฝึกภาษาเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ไม่ว่าบริษัทชาติไหนก็ต้องใช้ทั้งนั้น วันใดที่บริษัทโทรมาเรียกไปสัมภาษณ์เราจะได้มีความรู้พร้อมที่จะไปตอบคำถาม ทำให้พวกเขาเห็นถึงความสามารถและความตั้งใจของเรา นั่นแหละ ‘จังหวะชีวิต’ ที่คุณกำลังตามหามาตลอดอาจจะมาถึงแล้วก็ได้
2. อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ในปัจจุบันเรามีโอกาสสูงมากที่จะนำชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะโซเชียลมีเดียจะทำเราเห็นชีวิตของคนอื่นได้ง่ายขึ้น แล้วทุกคนก็มักจะเลือกชีวิตส่วนที่ดี ส่วนที่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วมาลงบนโซเชียลมีเดีย น้อยคนนักที่จะเอาข้อด้อยและความล้มเหลวของตัวเองมาลง
แล้วยิ่งเราเห็นภาพแบบนั้นแล้ว สิ่งหนึ่งเลยที่จะทำให้ตัวเราเองไม่มีความสุขนั่นก็คือ ‘การนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น’ เราจะคิดอยู่เสมอว่า ‘ทำไมชีวิตเขาดีจัง แล้วทำไมเราถึงยังไม่เป็นแบบเขาบ้าง’
อย่างที่กล่าวไปว่า ‘จังหวะชีวิตของคนเรามันไม่เท่ากัน’ คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว นั่นหมายความว่า ‘จังหวะ’ ของเขามาถึงแล้ว แต่ ‘จังหวะ’ ของเราอาจจะยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้นควรปล่อยวาง ยินดีกับเขา แอบดูชื่นชมเขาอยู่ห่าง ๆ และนำเขาไปเป็นแรงบันดาลใจหรือแบบอย่างดีกว่าที่จะนำพวกเขามาเปรียบเทียบกับตัวเอง
3. เปิดใจลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดู
การเปิดใจลองทำสิ่งใหม่ ๆ นี่แหละ อาจจะทำให้เราเข้าใกล้ ‘จังหวะชีวิต’ ที่เรารอคอยมากขึ้นก็ได้นะ เพราะมันจะทำให้เราไปเจอมุมมองและความสามารถใหม่ ๆ ที่ไม่เคยพบเจอ จากที่เคยคิดว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ สิ่งที่เป็นอยู่มันโอเคอยู่แล้ว แต่พอได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ เราอาจจะพบว่า...
‘เฮ้ย เราชอบสิ่งนี้มากกว่าที่เคยทำอีกนะ’
‘นี่มันตัวเราชัด ๆ หรือว่าทางนี้มันเกิดมาเพื่อเรา’
‘ทำไมเราไม่เคยลองทำมันนะ รู้งี้น่าจะทำนานแล้ว’
ประสบการณ์มักเกิดจากการเรียนรู้ และ ‘ครั้งแรก’ เกิดขึ้นได้ทุกวันเสมอ ท้ายที่สุดเราอาจจะพบว่า พอเปิดใจ อะไรที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ เราอาจทำมันได้ดีก็ได้นะ
4. อย่าทิ้งโอกาสที่เข้ามา
บางครั้งโอกาสที่เข้ามา มันอาจจะเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้ก็ได้ที่เราจะได้รับมัน และมันอาจจะเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่สามารถพลิกชีวิตเราไปทั้งชีวิตเลยก็ได้
และอย่าคิดว่าโอกาสนั้นมันไม่เหมาะสำหรับเรา บางครั้งเราอาจจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา ‘ถ้าคนอื่นได้รับมันไป เขาอาจจะทำได้ดีกว่าเราก็ได้ ปล่อยให้เขาไปเถอะ’ อย่าคิดแบบนั้นเลย ในเมื่อโอกาสมันมากองอยู่ตรงหน้าเราแล้ว คนอื่นเห็นแววเราแล้วว่าเราทำได้นะ เราสมควรที่จะได้รับมันมาครอบครอง ทำไมเราไม่ลองคว้ามันเอาไว้ล่ะ?
เช่น ถ้าเราเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนไปแข่งทักษะทางภาษาที่ต่างประเทศ แต่ก่อนอื่นต้องแข่งกับเพื่อนอีกคนนึง ซึ่งเรียนเก่งได้ที่ 1 ของห้องมาตลอด เราก็คงเกิดคำถามขึ้นมาในใจเราว่า ‘ทำไมคุณครูถึงมาเลือกเรา ทำไมไม่เลือกคนนั้นไปเลย เขาอาจจะทำได้ดีกว่าเราเองจริง ๆ’ หรือคิดว่าอยากสละสิทธิ์ครั้งนั้นไปเลย
แต่เมื่อแข่งคัดเลือกไปแล้ว ผลปรากฎออกมาว่า ‘เราได้รับเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งขันในครั้งนั้น ไม่ใช่เพื่อนคนนั้น’ ลองนึกดูว่า ถ้าเราเลือกที่จะสละสิทธิ์ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้ลองดู เราก็อาจจะเสียโอกาสดี ๆ แบบนี้ไปเลยก็ได้
และถึงแม้ว่าโอกาสที่เราได้รับมา พอเราลองคว้ามันไว้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นเหมือนที่เราคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก อยากให้ลองเปลี่ยนวิธีคิดเป็น ‘อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากมัน’ เอาทักษะที่ได้รับมาพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ให้ดีขึ้น เป็นแนวทางต่อยอดที่จะทำสิ่งอื่น ๆ ที่ต่างจากเดิมในอนาคต
เพราะวันเวลามันไม่เคยคอยใคร ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไปเลย เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปตรงที่เก่า แม้ว่าเราอยากจะทำแค่ไหนก็ทำไม่ได้
สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า
เราไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด ดีที่สุด เพอร์เฟคที่สุดเหมือนคนอื่น แต่จงเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน และมั่นใจในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน แล้วจังหวะชีวิตที่คุณตามหามาตลอด มันอาจจะเข้ามาในตอนที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้ ใครจะรู้
ใจดีกับตัวเองให้มาก ๆ แล้วมาเริ่มต้นพัฒนาตัวเองให้ไปพบกับสิ่งใหม่ ๆ กันนะคะ
The Growth Master ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเติบโตขึ้นไปเป็นคนที่ดีกว่าเดิม :)