The Growth Master Team
The Growth Master Team ผู้รักในการเรียนรู้ หลงใหลในเทคโนโลยี และแฮปปี้กับการเติบโต
นักเขียน
Social Media เป็นช่องทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคสูง โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีพฤติกรรมอยู่บนโลกออนไลน์เป็นหลัก นอกจากจะเข้าถึงผู้คนได้กว้างขวาง ยังใช้ทุนต่ำแต่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มยอดขายได้จริง
แต่การทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียมักจะมีจุดขัดใจอยู่ เช่น ต้องสลับแพลตฟอร์มไปมาเพื่อเช็กความคืบหน้า ตกหล่นการตอบคอมเมนต์ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที เพราะความสะดวกในการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อทำการตลาดหลาย ๆ แพลตฟอร์มยังไม่เพียงพอ ขาดความคล่องตัว จึงทำให้การทำการตลาดไม่ราบรื่นและอาจเกิดข้อบกพร่องในที่สุด
บทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักว่า Buffer คือ เครื่องมือที่สามารถช่วยให้การทำธุรกิจของคุณคล่องตัวขึ้น พร้อมทั้งเป็นตัวช่วยให้การตลาดตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้าและผลตอบแทนในระยะยาวอย่างไรได้บ้าง
อุปสรรคการทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย แม้ว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับโซเชียลมีเดีย แต่การทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียให้ได้ประสิทธิภาพคืออีกเรื่องหนึ่งและมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยหลายปัจจัยประกอบกัน ซึ่งมักจะมีอุปสรรคมากมายที่ขัดขวางอยู่ตามที่เราได้เกริ่นไปตอนต้น ซึ่งจะขอนำมาขยายต่อ ดังนี้
1. ความแตกต่างของแต่ละแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การทำการตลาดผ่านหลายแพลตฟอร์มค่อนข้างกินเวลาด้วยลักษณะของสื่อที่ไม่เหมือนกัน เช่น Facebook ใส่ข้อมูลได้มาก, Instagram เน้นรูปภาพและวีดีโอ, Twitter จำกัดตัวอักษรเพียง 280 ตัว ดังนั้นแอดมินต้องเตรียมข้อความ, จัดองค์ประกอบ,ใส่รูปหรือวีดีโอ รวมถึงแท็กผู้เกี่ยวข้องบนแต่ละแพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด และนั่นต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว
2. ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีพอ แอดมินอาจเคยประสบกับสถานการณ์ที่ลูกค้าตำหนิว่า ไม่ตอบคอมเมนต์หรือตอบช้า ด้วยสาเหตุที่ว่าระบบไม่แจ้งเตือน หรือการแจ้งเตือนโดนเลื่อนให้ไปอยู่ด้านล่างจนมองไม่เห็น ทำให้เกิดภาพจำที่ไม่ดีนักต่อธุรกิจและส่งผลเชิงลบในระยะยาวได้
3. ตรวจสอบโพสต์หรือแคมเปญได้ยาก การทำการตลาดหลายแพลตฟอร์มในคราวเดียว แอดมินจำเป็นต้องเช็กความคืบหน้าของแอคเคาท์ตลอดเวลา เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ เช่น ยอดติดตาม, ยอดไลก์, ยอดคนดู, และตอบคอมเมนต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่แอดมินจะสามารถดูทีละแอปพลิเคชั่นให้จบไป เนื่องจากการอัปเดตของแต่ละแอคเคาท์เกิดขึ้นตลอดเวลา และการสลับแอปพลิเคชั่นไปมาในเวลาเดียวกันอาจเกิดความสับสนจนก่อให้เกิดข้อบกพร่องได้
4. ไม่ทราบข้อมูลการวัดผลเชิงลึกของการตลาด แบรนด์ไม่ทราบฟีดแบคของการตลาดที่ทำไปบนโซเชียลมีเดีย เช่น ไม่รู้ว่า ลูกค้าสนใจรูปภาพ, วีดีโอ, หรือข้อความมากกว่ากัน, การตลาดรูปแบบไหนมีประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพ, เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแล้วหรือยัง เป็นต้น เมื่อไม่ทราบถึงข้อมูลดังกล่าว ทำให้บริษัทไม่สามารถสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงจุดและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทรู้ว่า ยังมีจุดไหนที่ต้องแก้ไข หรือการตลาดรูปแบบไหนได้ผลตอบรับดีที่สุด
ปัญหาทั้งหมดนี้แก้ได้ด้วย Buffer
เริ่มต้นใช้งาน Buffer ได้ที่นี่
Buffer คืออะไร “Simpler social media tool for authentic engagement” Buffer เป็นเครื่องมือที่นำทุกโซเชียลมีเดียให้มาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter, Pinterest, LinkedIn, หรือ Shopify ให้คุณสามารถโพสต์ข้อความ, รูปภาพ, และวีดีโอ ไปสู่หลาย ๆ โซเชียลมีเดียได้จากที่เดียว รวมถึงมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์และข้อมูลการเข้าถึงของลูกค้า เช่น ยอดติดตาม, ยอดไลก์ และยอดคอมเมนต์ของทุกโซเชียลมีเดียรวมกันในที่เดียว
เป้าหมายของ Buffer คือการสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้บนโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แก้ไขการทำงานบนโซเชียลมีเดียที่ไม่คล่องตัวเท่าที่ควร ให้มีประสบการณ์การใช้งานที่เป็นระบบและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
จุดเริ่มต้นของ Buffer Buffer ได้ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2010 โดย Joel Gascoigne ชาวอังกฤษ ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ หลังจาก Buffer ได้เปิดตัว มีผู้ใช้จำนวน 100 คนภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ และเพิ่มขึ้นเป็นหลัก 100,000 คน ภายในเวลา 9 เดือนเท่านั้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการลงทุนด้วยเงินทุนของเขาเอง และดูแลธุรกิจด้วยเพียงรายได้ที่ได้รับ ต่อมาได้มีนักลงทุนมาระดุมทุนเป็นจำนวนมาก จนท้ายสุด Buffer สามารถซื้อบริษัทลงทุน (Series A) ได้ด้วยเงิน $2.3 ล้าน ปัจจุบัน Buffer สามารถสร้างรายได้ได้ถึง $16 ล้านต่อปีเลยทีเดียว
Buffer เหมาะกับใคร ธุรกิจที่เน้นทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย Buffer เหมาะสำหรับธุรกิจที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter, Pinterest, LinkedIn, หรือ Shopify เพราะ Buffer ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ลูกค้า (Customer Relationship) โดยเชื่อว่าการให้บริการบนโลกออนไลน์ที่ดีเป็นจุดสำคัญในการมัดใจลูกค้าให้อยู่กับเราในระยะยาว รวมถึงการรับรู้ถึงผลลัพธ์จากการตลาดที่ทำไป เพื่อนำไปวิเคราะห์และต่อยอดสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตอบโจทย์กับลูกค้ามากที่สุด
ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ Buffer Business Insider: ใช้การวางแผนโพสต์ล่วงหน้าเป็นฟีเจอร์หลัก ในการช่วยให้ Workflow ราบรื่นมากยิ่งขึ้น รวมถึงใช้การวิเคราะห์ผลเชิงลึกเพื่อเข้าใจว่า การโพสต์รูปแบบไหนควรทำอย่างต่อเนื่อง หรือไม่ควรโพสต์อีกแล้ว "I’ve tried a ton of different tools, but Buffer is the best solution we’ve found. It makes our lives way easier." Paul Szoldra - West Coast Editor at Business Insider
The Seattle Times: ใช้ Buffer โดยให้คนในทีมเขียนโพสต์ไว้ใน Buffer แล้วจะมีตัวแทน 1 คนที่ดูแลเรื่องการจัดคิวโพสต์ทั้งหมด หลังจากนั้น ดูผลตอบรับที่ Buffer ได้สรุปออกมา และพัฒนาโพสต์ให้เหมาะสมกับผู้อ่านต่อไป "Since we've signed up with Buffer, we've had a 150% increase in page views from social media." Andrew Macrae - Product Manager at The Seattle Times
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเจ้าดังมากมายที่เลือกใช้ Buffer ให้เป็นตัวช่วยในการทำการตลาดของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Trello, Spotify, Shopify, Food52, GitHub, Huckberry, Intercom และอื่น ๆ อีกมากมาย
Buffer ให้บริการฟีเจอร์อะไรบ้าง Buffer แบ่งการทำงานหลักออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ Publishing และ Scheduling สำหรับการเผยแพร่โพสต์, Analytics สำหรับการวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางการตลาด, Engagement เกี่ยวกับคอมเมนต์ต่าง ๆ และ Start Page สำหรับการสร้าง Mobile Landing Page
Publishing และ Scheduling แชร์ทุกโพสต์ ทุกช่องทางได้บน 1 แพลตฟอร์ม ภาพจาก support.buffer หากคุณทำการตลาดผ่าน Facebook, Instagram, Twitter, Pinterest, LinkedIn, หรือ Shopify คุณสามารถโพสต์ทุกข้อความ, รูปภาพ, และวีดีโอลงบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ โดยใช้เพียง Buffer เพียง 1 แพลตฟอร์มเท่านั้น เพื่อการทำงานที่รวดเร็ว และลดข้อผิดพลาดจากการใช้งานสลับแพลตฟอร์มไปมา
เริ่มต้นใช้งาน Buffer ได้ที่นี่
ตั้งเวลาโพสต์ล่วงหน้า คุณสามารถเตรียมโพสต์ไว้ก่อนที่จะถึงเวลาลงได้ ทุกโพสต์ที่คุณวางไว้จะถูกรวมไว้บน Buffer เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ Buffer จะทำการแชร์โพสต์ให้โดยอัตโนมัติ การตั้งเวลาสามารถตั้งแยกทีละโพสต์บนแต่ละแพลตฟอร์มได้เลย ฟีเจอร์นี้รวมถึงการตั้งคอมเมนต์แรก, แท็ก, แฮชแท็ก, Instagram Story, และ Shop Grid (พื้นที่ขายของบน Instagram) ของโพสต์นั้น ๆ ด้วยเช่นกัน ทำให้คุณมีเวลาวางแผนกับการจัดการโพสต์ มีเวลาตรวจสอบข้อความและองค์ประกอบ ซึ่งช่วยให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยลง
Analytics วิเคราะห์การวัดผลอย่างละเอียด ปกติแล้วการจะเช็กความคืบหน้าของโพสต์ ต้องไล่ดูทีละโพสต์บนแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น อยากรู้ว่าคนสนใจสินค้าไหนมากที่สุด ก็ต้องไปดูยอดไลก์ของแต่ละสินค้า หรืออยากรู้ว่าลูกค้าเราอยู่บนแพลตฟอร์มไหนมากที่สุด ก็ต้องดูยอดติดตามบนแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นการทำงานที่ซ้ำซ้อนและเชื่องช้า Buffer จึงเป็นตัวช่วยให้เราเช็กความคืบหน้าของโพสต์และวัดผลได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยรวมผลลัพธ์จากทุกช่องทางไว้ในที่เดียว
บน Buffer จะมี Dashboard แสดงผลของทุกโพสต์ ไม่ว่าจะเป็น ยอดไลก์, ยอดติดตาม, ยอดคอมเมนต์, ยอดคนดู, ผู้ติดตามใหม่, จำนวนคนเข้าถึง, และจำนวนคนกดเข้ามาดู คุณสามารถเช็กความคืบหน้าของทุกแพลตฟอร์มได้บน Buffer ที่เดียว โดยแต่ละแพลตฟอร์มจะแยกผลการวิเคราะห์ออกจากกัน เพื่อความสะดวกในการติดตามและเปรียบเทียบข้อมูล
วัดผลเชิงลึก ข้อมูลที่ Buffer ได้สะสมมาจะถูกนำไปต่อยอดและวิเคราะห์เพิ่มเติมในรูปแบบของกราฟ สามารถเข้าใจได้ง่าย ข้อมูลในส่วนนี้สามารถใช้ต่อยอดทางการตลาด เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่ให้ตอบโจทย์และตรงจุดมากขึ้น โดยสามารถวิเคราะห์ได้หลายแง่มุม ได้แก่
โพสต์วันไหนที่จะเหมาะกับลูกค้าของเรา ลูกค้าให้ความสนใจข้อความ, รูป, วีดีโอ, หรือลิงก์มากที่สุด ควรโพสต์บ่อยแค่ไหนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าจะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ด้วยตนเองจะเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา ถึงแม้ตัดสินใจทำ เราก็ไม่สามารถทำการตลาดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้ทันท่วงที ดังนั้น Buffer จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้คุณสามารถทำการตลาดเพื่อตอบสนองลูกค้าได้อย่างตรงจุดแบบเรียลไทม์ โดยวิเคราะห์ผ่านระบบทั้งหมด ไม่ต้องเสียเวลากับส่วนนี้ และไปโฟกัสกับสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าได้
Engagement แสดงคอมเมนต์ที่ยังไม่ตอบ ภาพจาก Buffer Buffer จะแสดงลิสต์ของคอมเมนต์ที่ยังไม่ตอบไว้ในที่เดียว ทำให้คุณสามารถเช็กได้เสมอว่ายังมีคอมเมนต์ไหนที่โดนละเลยหรือไม่ จะได้ไม่พลาดทุกคอมเมนต์บนทุก ๆ แพลตฟอร์ม ทั้งนี้ยังสามารถตอบคอมเมนต์เหล่านั้นได้ครบบน Buffer ที่เดียว ไม่ต้องสลับแพลตฟอร์มไปมา
การตอบทุกคอมเมนต์เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจบนโซเชียลมีเดีย ลูกค้าจะรับรู้ถึงความใส่ใจ, เข้าถึงง่าย, และเห็นการอัปเดตตลอดเวลา การบริการที่สามารถกินใจลูกค้าได้ จะทำให้พวกเขาจะมีทัศนคติที่ดีต่อแบรนด์, เชื่อมั่นในแบรนด์, กลายเป็นลูกค้าประจำในระยาว, รวมถึงเกิดการบอกต่ออีกด้วย ดังนั้นการตอบคอมเมนต์ให้ครบถ้วนสามารถสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก และผลตอบรับที่ดีได้มากเลยทีเดียว
ในทางกลับกัน หากเราตอบช้าหรือไม่ตอบ ลูกค้าอาจไม่เชื่อใจว่าแบรนด์นี้จะสามารถให้สิ่งที่เขาต้องการได้ เพราะ แค่คอมเมนต์ยังไม่มีใครสนใจเลย ทำให้แบรนด์เกิดภาพลักษณ์เชิงลบ ดูเข้าถึงยาก ยากต่อการดึงลูกค้าใหม่เข้ามา และท้ายสุดหันไปหาบริษัทคู่แข่งของเราแทน
แยกประเภทคอมเมนต์ ภาพจาก Buffer คอมเมนต์จะถูกแยกแยะว่าเป็นคอมเมนต์เชิงบวก ลบ หรือคำถาม โดยการใช้ Machine Learning หรือ AI (Augmented reality) นั่นเอง ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณเรียงลำดับความสำคัญของคอมเมนต์ได้ว่า ควรตอบลูกค้าคนไหนก่อนหรือหลัง คอมเมนต์ไหนรอได้หรือรอไม่ได้
(ทั้งนี้ ฟีเจอร์นี้ยังคงรองรับเพียงภาษาอังกฤษเท่านั้น)
ยกตัวอย่างสถานการณ์ เช่น กำลังมีลูกค้าที่ไม่พอใจในสินค้าหรือบริการของคุณ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ควรได้รับการดูแลก่อนใคร ถ้าหากว่ามีฟีเจอร์นี้ คุณจะสามารถพูดคุยให้พวกเขาใจเย็นลงได้ และชดเชยสิ่งที่บกพร่องได้ทันท่วงที นี่จะเป็นผลประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาวด้วย เพราะ ลูกค้าจะมองว่าเราให้ความสนใจกับเขา ไม่ละเลยต่อการให้บริการ และรักแบรนด์มากขึ้นจากที่เราสามารถชดเชยค่าเสียหายและทำให้เขากลับมาพอใจได้อีกครั้ง ซึ่งในอนาคต ลูกค้าเหล่านี้อาจกลายเป็นลูกค้าอันดับ 1 ของเราก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้น ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณรับรู้ถึงฟีดแบคโดยรวมของธุรกิจ ว่าลูกค้าพอใจหรือให้ความสนใจกับสินค้าและบริการคุณมากแค่ไหน หรือข้อบกพร่องส่วนมากที่กำลังพบเจอคือปัญหาอะไร จะได้แก้ไขได้ทัน และป้องกันการเกิดซ้ำของปัญหาเดิม ๆ
Start Page Start Page เป็นฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด Buffer สำหรับการสร้าง “Mobile Landing Page” ให้ธุรกิจสามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรืออาจเป็นหน้าสำหรับลงทะเบียน กรอกฟอร์มต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องสร้างเป็นเว็บไซต์ขึ้นมา ซึ่งหน้าเว็บไซต์จะเป็นลักษณะยาวและแคบเหมาะกับการใช้งานผ่าน Smart Phone แต่ก็สามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์อื่น ๆ ได้เช่นกัน
ด้วย Start Page จะทำให้คุณสามารถสร้าง Landing Page ได้ด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากส่วน Appearance ที่จะมีธีม, สีปุ่ม และฟอนต์ให้เลือก จากนั้นไปดูที่ Layout สำหรับการจัดองค์กรประกอบของ Mobile Landing Page เราสามารถอัปโหลดโลโก้มาใส่ได้
หากต้องการเพิ่ม Element เลือกที่ Add Block ปรับแต่งได้ตามต้องการ ตั้งแต่ Sub Heading, ข้อความ, ปุ่มกดลิงก์, รูปภาพ, วิดีโอจาก Youtube, และไอคอนลิงก์สำหรับพาไปที่โซเชียลมีเดียของธุรกิจ ซึ่งจะแสดงผลเป็นไอคอนของแต่ละแพลตฟอร์มให้เลย เมื่อกด Publish ก็สามารถตั้ง Domain เองได้ เรียกได้ว่า ยืดหยุ่นและใช้ง่ายมาก ๆ
ฟีเจอร์เสริมช่วยออกแบบรูปภาพ Buffer มีบริการที่ชื่อว่า Pablo ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จะช่วยให้การดีไซน์รูปภาพเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะ คุณสามารถสร้างรูปภาพเพื่อนำไปใช้ในโพสต์ได้แบบฟรี ๆ พร้อมกับเครื่องมือที่แค่มองก็รู้แล้วว่าใช้งานอย่างไร ตัดขั้นตอนการเลือกรูปพื้นหลัง แต่งสีรูป ครอปภาพ แนบโลโก้ จัดวางข้อความ ทั้งหมดนี้ให้อยู่ภายใต้ Pablo เพียงเว็บไซต์เดียว
เมื่อดีไซน์ภาพเสร็จแล้ว คุณสามารถกด Share & Download เพื่อแชร์รูปนี้เข้า Buffer ได้ทันที พร้อมกับตั้งวันเวลาโพสต์ได้ตามที่ต้องการ หน้าตาใช้งานเหมือนอยู่ใน Buffer เลย
รูปแบบการใช้งานเพิ่มเติม หากลักษณะการทำงานของคุณ คือการทำงานเป็นทีม รูปแบบการใช้งานต่อไปนี้ จะช่วยให้ทีมการตลาดบนโซเชียลมีเดียของคุณนั้นเป็นระบบ และเป็นขั้นเป็นตอนมากยิ่งขึ้น
Drafts ภาพจาก support.buffer Drafts เป็นพื้นที่ที่คุณสามารถร่างรูปแบบโพสต์ไว้ก่อนได้ และเก็บไว้โพสต์ทีหลัง เมื่อร่างไว้เสร็จแล้ว คุณจะมี 3 ตัวเลือกในการโพสต์ดราฟท์นั้นต่อไป
Add to Drafts: ดราฟท์นั้นจะถูกย้ายไปอยู่ด้านล่างสุดของหัวข้อ Drafts Share Next: ดราฟท์นั้นจะขึ้นไปอยู่บนสุดของหัวข้อ Drafts พร้อมที่จะได้รับการกดอนุมัติ และทำการโพสต์ต่อไป Schedule Drafts: สามารถเลือกวันและเวลาการโพสต์ได้ทันที ทั้งนี้ การแก้ไข และจัดการดราฟท์หรือโพสต์ของแต่ละคน จะขึ้นอยู่กับ Level of Permission ที่สามารถกำหนดได้ว่า ใครจะได้รับสิทธิการจัดการโพสต์มากน้อยแค่ไหน ดังนี้
Full Posting Access: สามารถแก้ไข, ลบ, หรือย้ายไปที่ Queue (พื้นที่สำหรับกำหนดวันเวลาโพสต์) ได้ทุกดราฟท์ ภาพจาก support.buffer Approval Required: สามารถแก้ไข, ลบ, หรือกด Request Approval เพื่อย้ายไปที่ Pending Approval (พื้นที่สำหรับขออนุมัติในการลงโพสต์นี้) ได้เฉพาะดราฟท์ที่ตนเองเป็นคนสร้างขึ้นมา ภาพจาก support.buffer Awaiting Approval ภาพจาก support.buffer เป็นพื้นที่สำหรับคนที่มี Full Posting Access เท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ ทุกดราฟท์ที่ต้องการคำอนุมัติให้โพสต์ จะถูกย้ายมาที่หัวข้อนี้ เพื่อให้คนที่มี Full Posting Access อนุมัติโพสต์นั้น ๆ และส่งไปที่ Queue เพื่อกำหนดวันเวลาโพสต์ต่อไป หรือจะแก้ไข, ลบ, หรือส่งกลับไปที่ Drafts เพื่อให้คนเขียนนำกลับไปทำใหม่ ก็ทำได้เช่นกัน
ราคาแพ็กเกจ
ราคาเริ่มต้นของการใช้งานจะแบ่งออกเป็น 2 แพ็กเกจหลัก คือ Free และ Essential ที่ $5/เดือน โดยจะมีแพ็กเกจเสริม Team Pack Add-on คู่กับ Essentials ในราคา $10/เดือน ซึ่งในแพ็กเกจเสริมจะไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้งาน พร้อมฟีเจอร์เสริมอื่น ๆ และ การ Export ข้อมูลจาก Analytics ออกมาเป็นรายงานจะสามารถใส่โลโก้และสร้างหน้าปกรายงานให้อัตโนมัติ
ในแพ็กเกจฟรีสามารถเชื่อมต่อกับ Social Media ได้สูงสุด 3 ช่องทาง (1 Facebook page = 1 ช่องทาง) โดยตั้ง Schedule Post ได้ 10 โพสต์ในแต่ละช่องทาง แต่จะไม่สามารถใช้เครื่องมือในส่วนของ Analytics และ Engagement ส่วน Start Page จะใช้ได้ในทั้ง 2 แพ็กเกจ
สำหรับตัว Essential จะเหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาด เพราะสามารถ Schedule ได้จำกัดพร้อม Tool การวิเคราะห์ต่าง ๆ ทั้ง Engagement และ Analytics ทำให้ตอบทุกคอมเมนต์ได้ในที่เดียว รวมถึงการใส่ Custom Video Thumbnail, คอมเมนต์แรก, แท็กผู้เกี่ยวข้อง และการโพสต์ Instagram Story จึงเหมาะธุรกิจที่ใช้ Instagram Story เป็นหลัก เพราะจะมีการวิเคราะห์การวัดผลจาก Instagram Story ให้เช่นกัน
ในส่วนของ Analytics สามารถดาวน์โหลดข้อมูลออกมาเป็นรายงาน แต่ถ้าต้องการ Export เป็นสถิติและกราฟออกมาเป็นรูปภาพ, PDF, หรือ CSV จะสามารถทำได้ใน Add-On Team Pack ดังนั้นหากต้องการความสะดวกในการทำรายงานนำส่งลูกค้าได้ทันที แพ็กเกจ Essential ก็จะตอบโจทย์มากกว่า
แพลนฟรีจึงเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ที่ทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียไม่เกิน 3 ช่องทาง ไม่มีการวางแผนโพสต์ในระยะเวลายาว ไม่เน้นการวิเคราะห์ Performance มากนัก
แพ็กเกจ Essential จะเหมาะกับธุรกิจทุกขนาด ต้องการวางแผนและจัดการโพสต์โดยใส่รายละเอียดมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใส่ Video Thumbnail, คอมเมนต์แรก, การวางแผน Instagram Story และ Shop Grid รวมถึงการเข้าถึงในส่วน Engagement และ Analytics แต่ถ้าต้องการเข้าถึงได้ทุกฟีเจอร์ที่ Buffer มีให้และเพิ่มสมาชิกในระบบไม่จำกัด แนะนำให้เพิ่ม Add-On Team Pack เพราะเพิ่มผู้ใช้ได้ไม่จำกัด พร้อมฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้น เช่น การ Export รายงานพร้อมโลโก้ และสร้างหน้าปกรายงานอัตโนมัติ หรือ ฟีเจอร์ในส่วน Team Management อย่างการกำหนด Permission Level และระบบ Approval โพสต์ต่าง ๆ
ข้อดี - ข้อจำกัด ข้อดี เข้าถึงทุก ๆ โซเชียลมีเดียได้ภายใน Buffer แพลต์ฟอร์มเดียว ทำให้ไม่ต้องสลับไปมา วิเคราะห์การวัดผลได้อย่างละเอียด ทำให้นักการตลาดสามารถนำข้อมูลไปพัฒนาต่อ เพื่อสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ลูกค้าได้ในเชิงบวก เพราะทุกฟีดแบคจากลูกค้าบนแต่ละแพลตฟอร์มจะถูกโชว์ขึ้นมาเสมอ ทำให้เราไม่พลาดการสื่อสารกับลูกค้า เช่น การตอบคอมเมนต์ มีฟีเจอร์ที่ช่วยย่อลิงก์ให้สั้นลง ไม่กินพื้นที่ตัวอักษร ทำให้โพสต์ดูไม่รกตา และ Message สำคัญ ยังอยู่ครบ Start Page ช่วยสร้าง Mobile Landing Page เพื่อนำเสนอธุรกิจหรือดึงดูดลูกค้า ได้ง่าย ๆ ในไม่กี่ขั้นตอน Pablo เชื่อมกับฟีเจอร์บน Buffer โดยอัตโนมัติ ทำให้ทั้งการแต่งรูปและแชร์ออกไป เหลือเพียงการคลิกไม่กี่ครั้ง รองรับครบทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น IOS, Android, หรือ Web browser ข้อจำกัด ยังไม่รองรับการทำงานร่วมกับระบบของอีเมล และ YouTube หากต้องการใช้งานผ่าน 2 ตัวนี้ Buffer จะยังไม่ตอบโจทย์ การวิเคราะห์ข้อมูลวัดผลยังไม่รองรับการเมนชั่นบน Twitter หรือการค้นหา (Search) บนทุก ๆ แพลตฟอร์ม ฟีเจอร์แยกประเภทคอมเมนต์รองรับเพียงภาษาอังกฤษเท่านั้น หากธุรกิจมุ่งหมายไปที่ลูกค้าคนไทย ฟีเจอร์นี้จะยังใช้ไม่ได้ ใน Start Page สร้างได้แค่ Mobile Landing Page ถ้าเปิดใน Desktop จะแสดงผลแบบแคบ ๆ ไม่เต็มขอบจอ ซึ่งจุดนี้ ทำให้ไม่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่เข้าผ่าน Desktop เหมาะกับการใช้แค่ในมุมของ Mobile เท่านั้น สำหรับคนที่ใช้แพลตฟอร์มเดียว แต่ใช้ Instagram Story เป็นหลัก จะต้องอัปเกรดมาเป็นแพ็กเกจ Essentials ทั้งในส่วนของ Publishing และ Analytics เลย ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าได้หากยอดขายไม่สมเหตุสมผลกับราคาแพ็กเกจ สรุปทั้งหมด หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่จะมาช่วยให้การตลาดบนโซเชียลมีเดียของคุณเป็นระบบมากยิ่งขึ้น Buffer คือหนึ่งในตัวเลือกนั้นที่สามารถช่วยคุณได้ ไม่ว่าคุณจะใช้โซเชียลมีเดียกี่แพลตฟอร์ม Buffer จะรวบรวมแพลตฟอร์มเหล่านั้นให้มาอยู่บน Buffer แพลตฟอร์มเดียว เพื่อการทำงานที่เป็นระบบ, ลดการสลับแพลตฟอร์มไปมา, รับรู้ความเคลื่อนไหวได้ครบถ้วน, และเข้าใจถึงรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับลูกค้ามากที่สุด ประโยชน์เหล่านี้จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำพาธุรกิจให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคต