คุณรู้หรือไม่ว่า ในปี 2017 นักการตลาด 66% ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงจัดอันดับ SEO (Search Engine Optimization) หรือ Organic Search จากสถิติพบว่า เว็บไซต์ที่ค้นหาง่ายหรือติดหน้าหนึ่งบน Google มีอัตราคลิกชมเว็บไซต์ CTR (Click Through Rate) สูงถึง 34% ดังนั้น การทำ SEO จึงเหมาะกับธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startups) เป็นอย่างมากด้วยข้อดีดังนี้
เพราะ SEO ใช้งบประมาณน้อยกว่า ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนกว่า ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพ ระยะยาวช่วยให้เรามีข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าจากข้อมูล Google Analytic และ Google Search Console ทำให้เราสามารถทำ Persona ได้คร่าว ๆ “When a founder is just beginning their business, they don’t have much data about their audience, SEO helps accumulate that data over time. They can continue to benefit from it long after they’ve launched their business.” คำกล่าว Scott McGovern Founder of NDXBL, an organic growth co. โดยเฉพาะสตาร์ทอัพหน้าใหม่ที่ไม่เน้นทุ่มงบการตลาดหนัก ๆ และสามารถจัดสรรงบลงทุนเพื่อสร้างผลกำไรและรายได้ แต่งโปรไฟล์เท่ ๆ สำหรับระดมทุนกับนักลงทุนต่อไป ซึ่งบทความนี้ The Growth Master มีเทคนิคปั้น SEO ทำน้อยได้มาก มาฝากทุกคนตามนี้
เทคนิค SEO ทำน้อยได้มาก ไม่เปลืองงบ 1. ส่องกลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง
2. สร้างเว็บบล็อก Content Blog ที่มีช่องคอมเมนต์
3. ลองใช้ Keyword แบบ Longtail
4. ภาพประกอบก็ช่วยดัน SEO ได้
5. รู้จักการใช้เครื่องมือฟรีที่ช่วยทำ SEO
6. ลองทำ Content หรือ Podcast ที่มีประโยชน์กับสื่อมวลชน
7. มีพาร์ทเนอร์แลกบทความ Backlink
8. ให้ผู้ใช้งานจริง ทำคอนเทนต์ User-Generated Content (UGC) ให้ธุรกิจสิ
พร้อมแล้ว ! เรามาเริ่มเรียนรู้เทคนิคปั้น SEO ช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์แบบไม่ต้องเปลืองงบฉบับเบื้องต้นไปพร้อมกันเลย
1. ส่องกลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง ตอนนี้แทบจะเป็นยุค SEO ครองเมือง ต้องอธิบายก่อนว่า การส่องกลยุทธ์ SEO ของแบรนด์คู่แข่งเป็นอีกเทคนิคที่ต้องใช้ระมัดระวัง จำไว้ว่า “คุณสามารถดูเทคนิคของคนอื่นได้แต่ห้ามคัดลอกนะคะ” ต้องอยู่ในกฎเหล็กที่ว่า “ห้าม Copy เด็ดขาด” ถามว่าทำไมถึงย้ำหนักย้ำหนา เพราะการถ้าเรามัวแต่เดินตามรอยเท้าคนอื่นก็จะไม่มีรอยเท้าของตัวเองและการทำ SEO ก็เช่นกัน
สิ่งที่เราควรเก็บข้อมูลจาก SEO คู่แข่ง มีดังนี้ เริ่มจากเก็บข้อมูลเทคนิคการทำ SEO บนเว็บไซต์เป็นอย่างไร มีคะแนนเว็บไซต์เท่าไหร่ สืบว่าเว็บของธุรกิจคู่แข่งทำอะไรบ้าง เช่น ใช้คีย์เวิร์ด (Keywords) อะไร เขียนคำบรรยาย Title Descriptions และ Meta Descriptions ยังไงรูปแบบไหน ? เพราะข้อมูลเหล่านี้จะถูกแสดงในหน้าผลการค้นหา (SERP) แนะนำใช้เครื่องมือ Extensions บน Google Chrome ที่ชื่อว่า Mozbar เป็นอะไรที่เหมาะกับสายฟรี SEO
ตามด้วยการเก็บข้อมูลว่า Traffic ของเว็บคู่แข่ง โดยเราสามารถสืบค้นข้อมูลเบื้องต้นได้ที่ Ubersuggest ซึ่งเป็นเครื่องมือเช็กข้อมูล จากเว็บไซต์ neilpatel.com สร้างโดยนักการตลาดตัวเทพด้าน SEO อย่าง Neil Patel
หลังจากนั้นนำข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์มองหากลยุทธ์ดูจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาสที่เหมาะกับคาแรคเตอร์ธุรกิจของเรา และวิเคราะห์ประสิทธิภาพ SEO ของเราด้วย
2. สร้างเว็บบล็อก Content Blog แบบมีช่องคอมเมนต์ อย่างที่เราทราบดีว่า Google มักจะให้ความสำคัญกับเว็บบล็อกที่มีประโยชน์กับชาวเน็ตหรือผู้ชม (User) เป็นหลัก ดังนั้น การเพิ่มช่องคอมเมนต์ (Comment) ให้ผู้ชมก็เป็นอีกเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยทำให้ SEO เราดียิ่งขึ้น เมื่อมีคนมาพูดคุย ถามตอบใต้บล็อกบทความอยู่เสมอตรงนี้ช่วยได้นะ แต่เทคนิคนี้ยังมีข้อควรระวัง คือ ต้องระวังการรีวิวแบรนด์เชิงลบ หรือการร้องเรียนที่ทำให้ธุรกิจเสียหาย เอาเป็นว่า ทำได้แต่ต้องเฝ้าช่องคอมเมนต์ให้ดีนะคะ
3. ลองใช้ Keyword แบบ Longtail ดูบ้าง หลังจากเก็บข้อมูลคู่แข่งเสร็จ การทำ SEO ของธุรกิจเราให้ประสบความสำเร็จได้ต้องเริ่มจากเราเองค่ะ นอกจากการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ เราจะต้องบรรจงลงมือทำคอนเทนต์ทั้งส่วน Blog และส่วน Sellpage หน้าเว็บขายสินค้าให้สอดคล้องกับหลัก SEO ด้วยก็ช่วยได้มาก
หากนึกไม่ออกเดี๋ยวจะเล่าเพิ่มให้ฟังนะเช่น เราทำธุรกิจประกันออนไลน์ต้องการโปรโมทประกันรถยนต์ให้ชาวเน็ตคลิกมาหาเว็บไซต์เรา นอกเหนือจากใช้คำว่า “ประกันรถยนต์” แล้ว เราอาจจะเสริมด้วย Longtail Keywords อย่างคำว่า ประกันรถยนต์ที่ไหนดีที่สุด, ประกันรถยนต์ที่ไหนดี 2563, ประกันรถยนต์ที่ไหนดี Pantip และคำว่า ซื้อประกันรถยนต์ที่ไหนดี หรือประกันรถยนต์ถูกและดี เป็นต้น
ถามว่าเราจะหา Longtail Keywords ที่มีตั้งแต่ 3 คำขึ้นไปที่ชาวเน็ตกำลังสนใจได้จากที่ไหน ? หลังจากเก็บข้อมูลคู่แข่งเสร็จ การทำ SEO ของธุรกิจเราให้ประสบความสำเร็จได้ต้องเริ่มจากเราเองค่ะ นอกจากการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ เราจะต้องบรรจงลงมือทำคอนเทนต์ทั้งส่วน Blog และส่วน Sellpage หน้าเว็บขายสินค้าให้สอดคล้องกับหลัก SEO ด้วยก็ช่วยได้มาก
หากนึกไม่ออกเดี๋ยวจะเล่าเพิ่มให้ฟังนะเช่น เราทำธุรกิจประกันออนไลน์ต้องการโปรโมทประกันรถยนต์ให้ชาวเน็ตคลิกมาหาเว็บไซต์เรา นอกเหนือจากใช้คำว่า “ประกันรถยนต์” แล้ว เราอาจจะเสริมด้วย Longtail Keywords อย่างคำว่า ประกันรถยนต์ที่ไหนดีที่สุด, ประกันรถยนต์ที่ไหนดี 2563, ประกันรถยนต์ที่ไหนดี Pantip และคำว่า ซื้อประกันรถยนต์ที่ไหนดี หรือประกันรถยนต์ถูกและดี เป็นต้น
ใช้ Keyword Planner ใน Google Ads ดูเพื่อเป็น Keyword ideas นำมาใช้ หากไม่ถนัดเปิด Keyword Planner บน Google Ads แนะนำเครื่องมือคีย์เวิร์ดลองใช้ Keyword Tool ก็ใช้ฟรีค่ะ ลองดูคำค้นหาใกล้เคียงบนหน้า Google ด้วยการลองพิมพ์ลงไปที่ช่องค้นหา และเลื่อนลงมาดูเราจะพบกับ Longhtail Keywords น่าสนใจ สามารถหยิบใช้ได้ตามสะดวก ตามภาพที่นำมาฝากด้านล่างนี้
4. ภาพประกอบก็ช่วยดัน SEO ได้ รู้ไหมว่า ภาพประกอบสวย ๆ และภาพอินโฟกราฟิกก็เป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยดัน SEO ได้ดีเหมือนกันนะคะ เพราะภาพสามารถสื่อสารได้ชัดเจนกว่า ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า เพราะสมองของคนเราเข้าใจภาพได้ดีกว่าตัวหนังสือ แนะนำว่าควรทำไฟล์ภาพไซส์ไม่ใหญ่เกิน 100 KB จะได้โหลดง่าย โหลดไว ไม่เปลืองเน็ต ขอยกตัวอย่างภาพอินโฟกราฟิกจาก Hubspot มาให้ดูตามนี้
ภาพจาก blog.hubspot.com
5. รู้จักการใช้เครื่องมือฟรีที่ช่วยทำ SEO ทีนี้เรามาเสริมทัพ ทำความรู้จักการใช้เครื่องมือฟรี ๆ ที่ช่วยทำ SEO ฉบับเบื้องต้นที่ขอเล่าถึงเครื่องมือที่ผู้เขียนใช้อยู่เป็นประจำ ได้แก่
เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์เบื้องต้น SimilarWeb สมัครฟรีใช้งานง่าย มือใหม่ก็สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ได้ไม่ยาก หากใช้ฟรีเราจะดูข้อมูลย้อนหลัง ได้สูงสุด 3 เดือน SEOquake เป็นส่วน Extensions (ส่วนขยาย) ใช้ฟรีบน Google Chrome บอกข้อมูล Page Info อย่าง Title และ Meta description ฯลฯMozBar เป็นส่วน Extensions (ส่วนขยาย) ใช้ฟรีบน Google Chrome เช่นกัน ใช้เพื่อดูข้อมูลคะแนนของเว็บไซต์ (กรณีอยากแลกบทความ Backlink) แสดงคะแนน PA และ DA ให้พิจารณาเครื่องมือช่วยหาไอเดียทำคอนเทนต์ SEO Google Trends เป็นการค้นหาที่เราต้องรู้โจทย์ว่า กำลังจะหาหัวข้ออะไร คีย์เวิร์ดอะไร เปรียบเทียบได้สูงสุด 5 คำ เครื่องมือนี้จะบอกระดับความสนใจของชาวเน็ตให้เราเห็นชัดเจน ว่าเราควรจะทำคอนเทนต์นี้ไหม ?Zanroo.com ตรงนี้เป็นการดูเทรนด์โซเซียลของคนไทย ว่าเขาสนใจอะไรอยู่ เพื่อจะได้หาไอเดียผลิตคอนเทนต์เครื่องมือหาคีย์เวิร์ดฟรี Google Ads เหมาะกับธุรกิจที่ซื้อโฆษณาอยู่แล้ว เพราะจะมี Keywords Planner ให้ใช้และอย่าลืมสรุปรายงานการทำ SEO ไว้ด้วยล่ะ ว่าประสบความสำเร็จแค่ไหน มีจุดไหนต้องปรับปรุงบ้าง
6. ลองทำ Content หรือ Podcast ที่มีประโยชน์กับสื่อมวลชน นอกจากปั้น SEO สำหรับเว็บไซต์ของเราเพื่อส่งเสริมการขายแล้ว เหล่าสตาร์ทอัพสามารถผลิตข้อมูล Content หรือ Podcast ของวงการธุรกิจคุณที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องกับข่าวสารที่นักข่าว บล็อกเกอร์ สามารถหยิบยกใช้ทำประกอบบทความได้ทันที ก็เป็นอีกเทคนิคปั้น SEO ฟรี ๆ ไม่เสียเงิน
7. มีพาร์ทเนอร์แลกบทความ Backlink ตอนนี้ทุกคนคงรู้แล้วว่า การทำ SEO ให้ได้ประสิทธิภาพแบบไม่เปลืองงบนั้นมีเทคนิคอย่างไรบ้าง สำหรับเทคนิคข้อนี้คือ การสร้าง Backlink ยิ่งเยอะยิ่งดี ยิ่งลิงก์ของเราถูกกล่าวถึงมากเท่าไหร่ Google ก็จะมองว่าลิงก์นี้มีคุณภาพและติดอันดับ SEO สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีงบน้อยไม่สามารถซื้อลิงก์จากเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ได้ เพราะสู้ราคาไม่ไหว เทคนิคการแลกบทความกับพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเราก็น่าทำเพราะ Win Win กันทั้งสองฝ่าย เช่น
เราทำธุรกิจขายรถมือสองก็แลกคอนเทนต์กับธุรกิจประกันออนไลน์ หรือเราทำธุรกิจโรงแรมก็แลกคอนเทนต์กับธุรกิจท่องเที่ยว ฯลฯ ประโยชน์ของหาพาร์ทเนอร์แลก Backlink คือ ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อลิงก์ ช่วยประหยัดงบการตลาด แถมได้พาร์ทเนอร์เพิ่มในการร่วมทำแคมเปญการตลาดอื่น ๆ อีกทั้งเรายังได้รับคอนเทนต์ใหม่มีความหลากหลายด้วยนะ
สำหรับสตาร์ทอัพที่สนใจแลกบทความกับพาร์ทเนอร์แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ผู้เขียนแนะนำให้เริ่มเก็บรายชื่อสตาร์ทอัพที่มีความใกล้เคียงกับธุรกิจเรา เช่น เบอร์โทร อีเมล และคัดเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะกับเรา หลังจากนั้นก็ใช้เทคนิคพูดคุยประสานงานทันทีด้วยการเริ่มส่งอีเมลหรือโทรสอบถามการแลกคอนเทนต์กันและกัน
8. ให้ผู้ใช้งานจริง หรือลูกค้าของคุณ ทำคอนเทนต์ User-Generated Content (UGC) ให้ธุรกิจเราสิ อย่างที่เรารู้ดีว่า ธุรกิจสตาร์ทอัพเกิดมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้คน แนะนำเทคนิคการให้ผู้ใช้งานจริงหรือลูกค้ามารีวิว แบบ User-Generated Content (UGC) เป็นเทคนิคเหมาะกับธุรกิจแบบ B2C มีสินค้าและบริการที่สามารถรีวิวได้จริง เช่น การซื้อเป็นยังไง เล่าประสบการณ์การใช้งาน หรือจะเล่าฟีเจอร์เด่นของธุรกิจเราก็ได้ ฯลฯ
เทคนิคนี้มีข้อควรระวัง คือ ห้ามจ้างหน้าม้าเด็ดขาด ! (เตือนแล้วนะ) ควรเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทำคอนเทนต์ของตัวเอง เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษเพื่อให้กลับมาใช้บริการ หรือจะใช้ชิงรางวัล ฯลฯ แนะนำให้จัดแคมเปญชักชวนให้ User-Generated Content (UGC) กล่าวถึงแบรนด์เรา เพราะช่วยประหยัดงบประมาณการซื้ออินฟลูเอนเซอร์ได้ดี
สรุป อ่านมาถึงตรงนี้พอจะได้ไอเดียกันบ้างไหมคะ ?? ก่อนจบบทความนี้ ผู้เขียนอยากจะบอกว่า การปั้น SEO ให้ปังช่วยลดงบประมาณการตลาดอย่างได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่หน้าที่ของทีม Content ไม่ใช่หน้าที่ของทีม Web Developer ไม่ใช่หน้าที่ของ Digital Marketer ไม่ใช่หน้าที่ของ SEO Specialist แต่ SEO เป็นภารกิจของทุกคนทั้งทีมจะต้องลงมือทำพร้อมกันอย่างเข้าใจ และใช้กลยุทธ์เป็นไปในทิศทางเดียวกัน SEO ของสตาร์ทอัพถึงจะประสบความสำเร็จได้
ที่สำคัญคือ “Don’t just stick to these hacks. They’re only a starting point.”
หากยังมีคำถามหรือข้อสงสัยใด ๆ สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นได้ที่ Facebook Group : Growth Hacking Thailand By The Growth Master