Technology

รู้จัก DeepSeek AI จาก No name สู่ No.1 ท้าชนเวทีโลก

รู้จัก DeepSeek AI จาก No name สู่ No.1  ท้าชนเวทีโลก
Light
Dark
Earth Teerapart
Earth Teerapart

นักเขียน

แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่!! กับ DeepSeek AI จากจีน ที่พร้อมไฟต์ทุกรุ่น เพียงเปิดตัวในเดือนเดียวก็พุ่งแรงแซง ChatGPT ขึ้นสู่อันดับ 1 ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่กลับสามารถสร้าง AI ที่เทียบเท่า ChatGPT ได้ในทุกด้าน ชวนให้หลายคนสงสัยว่าอะไร ที่ทำให้ DeepSeek มาแรงจนฉุดไม่อยู่ขนาดนี้ ไปค้นหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้ กับ tgm.

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

จุดเริ่มต้นของ DeepSeek ม้ามืดแห่งวงการ AI 

AI ควรเข้าถึงได้ทุกคน 
ไม่ควรถูกผูกขาดโดยบริษัทยักษ์ใหญ่
เหลียง เหวินเฟิง
ผู้ก่อตั้ง DeepSeek

DeepSeek บริษัท Start Up สัญชาติจีนที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ซึ่งเส้นทางในวงการเทคโนโลยีของเขา เริ่มต้นด้วยการก่อตั้งกองทุน High-Flyer ซึ่งเป็นกองทุนที่ใช้โมเดล Machine Learning ในการวิเคราะห์ และซื้อขายหลักทรัพย์ทางการเงิน ในปี 2016

ขอบคุณภาพจาก: thetime

หลังจากนั้นในปี 2023 ด้วยความหลงไหลในปัญญาประดิษฐ์ คุณเหลียงได้ตัดสินใจ เปิดห้องปฏิบัติการ AGI (Artificial General intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ และแยกออกมาเป็นบริษัท DeepSeek ในพฤษภาคมปีเดียวกัน หลังจากนั้นพวกเขาจึงเริ่มเผยให้เห็นการพัฒนา AI รูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ตามลำดับดังนี้

  1. พฤศจิกายน 2023 หลังจากที่ซุ่มพัฒนามาหลายเดือน DeepSeek ก็ได้เปิดตัวผลงานแรกของพวกเขา DeepSeek Coder Model AI แบบ Open Source ที่รองรับภาษาโปรแกรมมากกว่า 80 ภาษา สามารถช่วยนักพัฒนาในการเขียนโค้ด ตรวจสอบโค้ด และแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งเป็นรากฐานในการพัฒนา AI ประสิทธิภาพสูง

  1. ช่วงต้นปี 2024 หลังจากที่มีผู้ช่วยประสิทธิภาพสูง พวกเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ผลงานชิ้นถัดไป DeepSeek LLM (Large Language Model) หัวใจสำคัญของ AI Chatbot โดยเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสามารถในการเรียนรู้และเข้าใจภาษาของมนุษย์

  1. พฤษภาคม 2024 หลังจากที่พวกเขาได้ทำการฝึกฝน LLM ด้วยเทคนิคและข้อมูลที่หลากหลาย ก็ได้เปิดตัว DeepSeek V2 Model AI ที่มีประสิทธิภาพสูง ภายใต้โมเดลภาษาแบบ Mixture of Expert (MOE) ซึ่งเป็นการนำ Model AI เล็ก ๆ หลายตัวมาฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญที่แตกต่าง และนำมาทำงานร่วมกัน เมื่อผู้ใช้งานกรอก Prompt เข้าไป ตัว AI จะทำความเข้าใจ และเลือกว่าจะให้ Model ตัวไหนตอบคำถาม ช่วยให้ผู้ใช้งานได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ตรงความต้องการมากที่สุด

  1. ช่วงปลายปี 2024 เพื่อยกระดับ AI ขึ้นไปอีกขั้น พวกเข้าจึงได้พัฒนา DeepSeek Coder V2 ผู้ช่วยเขียนโค้ดรุ่นอัพเกรด สำหรับแก้ปัญหาโค้ดที่ซับซ้อน และรองรับความยาวของบริบทได้สูงถึง 128,000 Token โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน API (Application Programming Interface ) ในราคาประหยัด โดยคิดค่าการนำเข้าข้อมูล (คำถาม) ที่ 0.14 ดอลลาร์ / Token และ 0.28 ดอลลาร์ / Token สำหรับผลลัพธ์ (คำตอบ)
    (1 Token จะเท่ากับ 3-4 ตัวอักษร)
ภาพแสดงค่าบริการของ Deep Seek

                     ภาพแสดงค่าบริการของ Deep Seek

  1. ธันวาคม 2024 เมื่อได้รับผู้ช่วยคนใหม่ ความสำเร็จใหม่ก็มาถึงเช่นกัน กับ DeepSeek V3 ที่มีพารามิเตอร์ สูงถึง 671 พันล้าน ช่วยเพิ่มความสามารถให้ AI ในหลายด้าน เช่น การประมวลผล การประหยัดทรัพยากร ความแม่นยำ ฯลฯ โดยใช้เวลาในการฝึกเพียง 55 วัน และใช้งบประมาณเพียง 5.58 ล้านดอลลาร์ (ต่ำกว่า ChatGPT ที่ใช้งบประมาณ 100 ล้านดอลลาร์) 

  1. มกราคม 2025 ความก้าวหน้าที่ทำให้โลกตกตะลึงก็มาถึง กับ DeepSeek R1 โมเดลภาษาแบบ Chain-of-Thought (CoT) ซึ่งช่วยให้เห็นกระบวนการคิดของ AI อย่างเป็นระบบแบบ Step by Step (เหมือนการแก้โจทย์คณิตศาสตร์มัธยม ที่ถึงแม้คำตอบจะถูก แต่หากวิธีการผิดก็ไม่ได้คะแนน) ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการแก้โจทย์ที่ซับซ้อน เช่น คณิตศาสตร์ ตรรกะ การให้เหตุผล เป็นต้น

Model คือ แบบจำลองสมองของมนุษย์ทำให้ AI มีความสามารถในการเรียนรู้เข้าใจภาษาของมนุษย์ และ ‘คาดเดา’ หรือ สร้างคำ ได้เหมือนมนุษย์จริงๆ

Token หรือ Token API คือ เหรียญที่ใช้ชำระค่าบริการในการเชื่อมต่อ API ของแต่ละเจ้า โดยทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Token ได้ที่ API Tokens and Authentication

 API คือ กลไกที่ใช้เชื่อมต่อโปรแกรม 2 ตัวเข้าด้วยกัน ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ API คืออะไร? ทำไมถึงฮิตขึ้นทุกวัน? อธิบายแบบเข้าใจง่าย

สู่ผลลัพธ์ที่เขย่าโลก DeepSeek กลายเป็นไวรัลที่ทั่วโลกจับตามอง

ยอดดาวน์โหลดอันดับ 1 เบียด ChatGPT ลงอันดับ 2 


เพียง 1 สัปดาห์หลังเปิดตัว DeepSeek R1 วงการ AI ก็สั่นสะเทือน! ด้วยความสามารถที่เทียบเท่า ChatGPT o1 แต่ใช้เงินลงทุนต่ำกว่า ส่งผลให้ค่าบริการถูกลงอย่างมาก โดย DeepSeek R1 มีค่าใช้จ่ายเพียง $0.55 ในขณะที่ ChatGPT o1 มีค่าใช้จ่ายสูงถึง $15 (per Million Tokens)

เมื่อราคาถูกขนาดนี้ DeepSeek จึงได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม จึงเกิดเป็นกระแสบอกต่อกันปากต่อปาก Word of Mouth ดันยอดดาวน์โหลดบน App Store พุ่งทะลุ 2.6 ล้านครั้งอย่างรวดเร็ว (ข้อมูล ณ วันที่ 27/01/2025) พร้อมกับยอดการค้นหาใน Google ที่ไล่ตาม ChatGPT กันมาติด ๆ

ภาพเปรียบเทียบการค้นหา DeepSeek กับ ChatGPT ในวันที่ 27/01/2568

ประสิทธิภาพการทำงานของ DeepSeek กับ ChatGPT

ถึงแม้จะกระแสแรงแค่ไหน แต่หลายคนก็ยังอดสงสัยไม่ได้ถึงประสิทธิภาพการทำงาน ว่าจะเทียบเท่า ChatGPT จริงหรือไม่ จึงได้มีการทดสอบ DeepSeek ในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้

ขอบคุณภาพจาก: Medium
ตารางเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานของ DeepSeek กับ ChatGPT 

  1. AIME (American Invitational Mathematics Examination) การทดสอบความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่ต้องใช้ทักษะการคิดเชิงลึกและการวิเคราะห์ขั้นสูง
  2. Codeforces เว็บไซต์แข่งขันเขียนโค้ด เขียนโปรแกรมเพื่อประเมินความสามารถในการแก้ปัญหา
  3. GPQA Diamond ชุดคำถามทางวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอก เพื่อประเมินขีดจำกัดของ AI
    เมื่อเผชิญคำถามที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน
  4. MATH-500 แบบประเมินทางคณิตศาสตร์ เพื่อทดสอบความสามารถในการแก้โจทย์ขั้นสูง และวิธีการแก้ปัญหาของ AI
  5. MMLU (Many Multimodal Language Understanding) ชุดทดสอบมาตรฐานที่รวมคำถามหลากหลายสาขา เพื่อวัดว่า AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ และตอบคำถามได้ลึกซึ้งมากเพียงใด
  6. SWE-Bench Verified ชุดทดสอบที่ออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา เพื่อวัดประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และจริยธรรม
ขอบคุณภาพจาก: The-Star

จากการทดสอบทั้ง 6 ด้าน จะเห็นได้ว่าตัวเลขของ DeepSeek R1 และ ChatGPT o1 ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่หากเราลองถอยออกมาหนึ่งก้าว เราจะเห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้น 

  • ด้านเทคโนโลยี DeepSeek ต้องเผชิญการขาดแคลนชิปเซ็ทที่ทันสมัย ในขณะที่ ChatGPT กลับใช้ชิปเซ็ทตัวใหม่ล่าสุด 
  • ด้านต้นทุน ChatGPT o1 ใช้งบประมาณถึง 100 ล้านดอลลาร์ แต่ DeepSeek สามารถพัฒนาได้ด้วยต้นทุนเพียง 5.58 ล้านดอลลาร์ 

พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะมีอุปสรรคมากมาย DeepSeek ก็ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจก้าวข้าม ChatGPT หากมีทรัพยากรที่เท่าเทียมกัน 

เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของ DeepSeek

ทรัพยากรที่จำกัด คือ Pain Point สำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาของ Deep Seek เกิดจากการที่สหรัฐฯ สั่งห้ามจำหน่ายชิปเซ็ตประสิทธิภาพสูงให้กับจีน เพื่อชะลอการพัฒนา Super Computer และ AI ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม ส่งผลให้ DeepSeek ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย และค้นหาหนทางการพัฒนา AI ที่แตกต่างจากเดิม เช่น

  • Reinforcement Learning (RL) กระบวนการฝึก AI ที่เหมือนกับการสอนมนุษย์โดยให้เรียนรู้ จากการลองผิดลองถูก สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ BDI
  • Mixture-of-Experts Architecture (MoE) แนวทางการพัฒนา Model AI ขนาดเล็กหลาย ๆ ตัว ที่ถูกฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญในด้านที่แตกต่าง แล้วนำมาทำงานร่วมกัน 
  • Distillation คือ เทคนิคการถ่ายทอดความรู้จาก Model ขนาดใหญ่ที่ทรงพลัง ไปยัง Model ขนาดเล็ก เพื่อให้ทำงานได้ใกล้เคียงกันโดยใช้ต้นทุนและเวลาในการฝึกฝนน้อยกว่า


นอกจากนี้ DeepSeek ยังจับมือกับ AMD โดยนำ DeepSeek V3 มาผสานเข้ากับการ์ดจอ Instinct GPUs และซอฟต์แวร์ ROCm ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่อยู่นอกเหนือข้อจำกัดทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาคอขวดของการเทรน Model AI 

DeepSeek ผงาด หุ้นสหรัฐฯและยุโรป ก็เลือดสาด

เมื่อหลุดจากเชือกที่รั้งการพัฒนา ม้ามืดอย่าง DeepSeek ก็พุ่งชนไปทั่วทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ! ทำให้เกิดเหตุการณ์เทขายหุ้นของบริษัท Tech ยักษ์ใหญ่มูลค่าการตลาดสูญหายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ในช่วงวันที่ 27-28 จากแหล่งข้อมูล) เพราะนักลงทุนต่างกังวลว่า AI ที่พวกเขาลงทุนอาจจะไม่สามารถแข่งขันกับ DeepSeek ได้ ซึ่งบริษัทหลักๆ ที่ได้รับแรงกระแทกมีดังนี้

  • Nvidia -17% 
  • Boardcom -17.4% 
  • ASML  -6.7% 
  • Constellation Energy -20%
  • S&P500 -1.5%


ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่หุ้น Tech เท่านั้น เพราะหุ้นพลังงานก็ไม่รอด! จากเดิมนักลงทุนมองว่า ความต้องการพลังงานของ AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้ราคาพลังงานในอนาคตมีแต่จะสูงขึ้น แต่เมื่อ DeepSeek ปรากฏตัวพร้อมการใช้พลังงานน้อยกว่า นักลงทุนก็ต้องมาทบทวนใหม่อีกครั้งว่า AI ยังต้องใช้พลังงานจำนวนมากอีกหรือเปล่า? สำหรับบริษัทพลังงานที่ได้รับผลกระทบได้แก่

  • Vistra ลดลง 24.4%
  • Constellation Energy ร่วง 18%
  • NRG Energy ปรับตัวลง 13%

การเทขายหุ้นครั้งนี้ทำให้หลายคนกังวลว่า อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ ”ฟองสบู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แตก” แต่ถึงแม้สถานการณ์จะตึงเครียด โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับมองในมุมบวก พร้อมกล่าวว่า

“ผมมองมันเป็นบวกก็เพราะว่า หากพวกคุณก็ทำแบบนั้นได้ด้วย คุณก็จะมีต้นทุนที่ต่ำลง และได้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกัน”

ขอบคุณภาพจาก: Vietnam

DeepSeek AI จะพลิกโลกไปในทิศทางไหน

การมาถึงของ DeepSeek ในตลาดของ AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่คู่แข่งรายใหม่จากจีนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงหนทางการพัฒนา AI รูปแบบใหม่ที่ดึงดูดนักพัฒนาใหม่ ๆ เข้าสู่วงการ ทำให้วงการ AI มีความคึกคักและท้าท้ายมากยิ่งขึ้น แต่การพัฒนารูปแบบใหม่นี้ก็นำมาสู่หลาย ๆ คำถามที่ชวนฉุกคิด เช่น

1. ใครคือ No.1 ด้าน AI ?

เมื่อพูดถึง No.1 ด้าน AI สหรัฐฯ มักเป็นชื่อแรกที่คนนึกถึง แต่ DeepSeek R1 กลับทำให้สมดุลแห่งอำนาจเอนเอียงอีกครั้ง ด้วยประสิทธิภาพที่ทัดเทียม ChatGPT o1 แต่ใช้ต้นทุนและระยะเวลาการพัฒนาที่น้อยกว่า จึงเกิดข้อสงสัยว่าสหรัฐฯ จะยังเป็นผู้นำด้าน AI อยู่หรือไม่ และจะตอบโต้อย่างไร

  • เพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าให้เข้มข้นกว่าเดิม ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยียากขึ้นไปอีกระดับ เพื่อลดหรือชะลอความก้าวหน้าของจีนให้ช้าลง
  • ทุ่มทุนยิ่งกว่าเดิมกับโครงการ AI ขนาดยักษ์ อย่าง Stargate ซึ่งมูลค่าถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ เกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ

2. เป็นผู้นำแล้วได้อะไร?

ออกตัวก่อน ไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป เมื่อ DeepSeek ใช้เวลาเพียง 2 เดือน ก็ไล่ตาม ChatGPT ได้ทัน แถมยังใช้ตัว ChatGPT ฝึกฝน AI ของตัวเองอีกด้วย สิ่งนี้ทำให้มองเห็นว่า ช่องว่างระหว่างผู้นำกับผู้ตาม ไม่ได้กว้างอย่างที่คิด จึงเกิดเป็นคำถามว่า หรือแท้จริงแล้วการเป็น “ผู้ตามที่ฉลาด” อาจเป็นแผนที่ดีกว่า

3. Open Source หรือ Closed Source แบบไหนดีกว่ากัน ?

ถึงแม้สงคราม AI ระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังระอุ แต่สงครามย่อยของสาย Tech กลับกระชั้นชิดขึ้นมาเช่นกัน กับคำถามแห่งศตวรรษ โมเดลเปิด Open Source ดีกว่า โมเดลปิด Closed Source ใช่หรือไม่ เมื่อ DeepSeek ซึ่งเป็นโมเดลเปิด สามารถตามติด ChatGPT ที่เป็นโมเดลปิด ได้ภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือน ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า Open Source อาจเป็นหนทางแห่งอนาคต และวงการ AI กำลังก้าวออกจากยุคที่เทคโนโลยี AI ถูกผูกขาด

4. AI = Ultron ?? อันตรายที่มนุษย์ควรผวาหรือไม่

DeepSeek ทำให้มองเห็นหนทางในการพัฒนา AI ด้วยต้นทุนที่ต่ำ นักพัฒนาทั่วโลกจึงสามารถเข้าถึง AI ได้ง่าย เกิดเป็นการพัฒนาทุกเสี้ยววินาที ส่งผลให้การแข่งขันทางด้าน AI ดุเดือดเลือดพล่าน จนอาจมองข้ามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เป็นเหตุให้ในอนาคต AI เกิดจิตสำนึก ที่คิดและตัดสินใจเองได้ คล้าย Ultron ใน Marvel ที่ต้องการ ฆ่าล้างมนุษย์ หากปล่อยให้การพัฒนาโดยไม่มีการควบคุม เราอาจต้องเผชิญกับ ภัยที่ไม่สามารถควบคุมได้

  • สงครามจาก AI การรวมระบบ AI เข้ากับการทหารอาจมีความเสี่ยง เพราะ AI ในปัจจุบันยังไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร มีการตัดสินใจที่อธิบายไม่ได้หลายอย่าง ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ จนลุกลามกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
  • ก่อการร้ายด้วย AI จากประสิทธิภาพที่สูงของ AI หากตกไปอยู่ในมือของกลุ่มก่อการร้าย อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงเช่น ปลดปล่อยโรคระบาด โจมตีด้วยสารเคมี เป็นตน

DeepSeek แตะขีดจำกัดแล้วหรือยัง? มีข้อจำกัดอะไรเหลืออีกไหม

จากการทดลองใช้ DeepSeek R1 ในเวอร์ชันปัจจุบัน ยังพบจุดที่สามารถปรับปรุงและพัฒนาขึ้นได้อีกหลายจุด เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานที่มีอยู่ทั่วทั้งโลก ดังนี้

  1. ข้อมูลล้าสมัย ในเวอร์ชันล่าสุด DeepSeek อัปเดตข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข่าวสารทั่วโลก เทคโนโลยี กีฬา ฯลฯ ถึงเพียงแค่เดือน กรกฎาคม 2024 เท่านั้น จึงไม่สามารถติดตามเทรนในปัจจุบันได้แม่นยำมากนัก 
  1. Gen ภาพไม่ได้ ในปัจจุบัน (02/02/2025) DeepSeek ยังไม่สามารถ Gen รูปภาพได้ แต่ในอนาคตอันใกล้ DeepSeek กำลังจะเปิดตัวโมเดล AI ตัวใหม่ Janus Pro ซึ่งเขาอ้างว่าทำได้ดีกว่า DALL-E มาติดตามกันว่าจะสมราคาคุยไหม
  2. คำตอบมีภาษาผสม อาจมีการใช้ภาษาต่างประเทศในคำตอบที่อาจทำให้สับสน
  1. ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากเป็น AI จากประเทศจีน ทำให้หลายประเทศมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งทางประเทศจีนมีนโยบายให้บริษัทภายในประเทศแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เช่น กฎหมาย Cybersecurity Law of the People's Republic of China เป็นต้น

DeepSeek กับ อนาคตที่ไม่มีขีดจำกัด

ถึงแม้ Deep Seek จะมีข้อจำกัดในหลากหลายด้าน แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงที่ DeepSeek จะนำมาสู่ใบนี้โลกได้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าโลกของเราจะมุ่งหน้าสู่ทิศทางใด เช่น

  • AI มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง การเกิดขึ้นของ DeepSeek ทำให้เห็นเทรนในการพัฒนา AI ที่ลดการใช้พลังงานน้อยลง (จากชิปเซ็ทคุณภาพต่ำ) ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศลดลง
  • AI มีความหลากหลายมากขึ้น จากต้นทุนการพัฒนา AI ที่ถูกลง ช่วยให้นักพัฒนาหรือประเทศเล็ก ๆ เข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่าย ผลักดันให้เกิด AI รูปแบบใหม่ ที่จะมาโลดแล่นในวงการ มากขึ้น
  • ผู้คนเข้าใจ AI มากขึ้น ด้วยประสิทธิภาพของ R1 ที่เห็นลำดับการคิดของ AI แบบ Step By Step ช่วยให้ผู้คนเข้าใจ AI และใช้งานได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น
  • ค่าบริการ AI ลดลง จากการที่ DeepSeek ที่คิดค่าบริการ Token ในราคาที่ต่ำกว่า AI เจ้าอื่นในตลาด ทำให้อาจเกิดสงครามราคา ที่แข่งกันลดค่าบริการเพื่อแย่งชิงฐานผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ใช้งาน สามารถเข้าถึง AI คุณภาพสูงได้ในราคาที่ถูกลง 

สรุป DeepSeek ทั้งหมด

DeepSeek เปรียบเสมือน "ลีซาน อัลไกอีบ" (สุรเสียงจากต่างโลกใน Dune) ผู้ปลดล็อกวงการ AI จากการผูกขาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ สร้างแรงกระเพื่อมตั้งแต่ต้นน้ำ (ผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia, AMD, TSMC) ไปจนถึงปลายน้ำ (Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini, Claude)

ด้วยต้นทุนที่ต่ำและโมเดลแบบ Open Source ทำให้โอกาสเปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาหน้าใหม่ ผลักดันวงการ AI ให้เติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยหวังว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็น AI ในรูปแบบที่แตกต่างกัน เข้ามาในตลาดเพื่อทำการแข่งขัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ทั้งในแง่ของคุณภาพที่พัฒนาไม่หยุด และราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น

พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงโหมกระหน่ำแล้ว เรามาดูกันว่าพายุลูกนี้ จะนำพาโลกของเราไปในทิศทางใด

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe