ได้รู้จัก Retargeting และบทบาทโดยภาพรวมของมันไปแล้วในบทความก่อนหน้า ครั้งนี้เราจะมาลงลึกกันต่อว่า แล้วเราควรจะ Retarget กลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในแต่ละ Funnel ให้พวกเขาตกลงไปสู่ Funnel ถัดไปอย่างไรดีล่ะ? เพราะคนที่อยู่คนละ Funnel ย่อมมีแรงจูงใจที่ต่างกัน โฆษณาที่เราจะยิงไปนั้นจึงควรแตกต่างกันด้วย เพราะอะไรที่ตรงใจ ย่อมทำให้เกิด Action ที่เราต้องการได้ง่ายกว่า!
ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น
ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe
1. จาก Acquisition สู่ Activation: ทำอย่างไรให้ลูกค้ายอมให้ข้อมูลสำคัญ?
คนที่อยู่ในขั้นแรกของ Funnel นี้คือคนที่เคยเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณแล้ว แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ามาเพื่อซื้อสินค้า แต่พวกเขากำลังเสิร์ชหาข้อมูลอะไรบางอย่าง และมาเจอเว็บไซต์ของคุณเข้าพอดี ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาเข้ามาเพราะต้องการข้อมูลที่มีประโยชน์ที่จะสามารถแก้ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะต้องการซื้ออะไร
เพราะฉะนั้น การทำ Retargeting ของเราในขั้นนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การมอบคอนเทนต์ฟรีที่มีคุณภาพ และตรงกับความสนใจของพวกเขา เช่น การโฆษณาบล็อกหรือ E-Book เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาเกิดความเชื่อใจว่าเราจะสามารถเติมเต็มในสิ่งที่เขาต้องการได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งคุณก็จะรู้ความสนใจของพวกเขาได้จากการดูว่าเขาเข้าดูอะไรในเว็บไซต์ของคุณบ้างผ่านการทำ Retargeting นั่นเอง
นอกจากนี้ Facebook Carousel Ads ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการทำ Retargeting ของคุณในขั้นนี้ด้วย Feature ที่หลากหลายของมัน คุณสามารถเลือกแสดงคอนเทนต์ที่น่าสนใจหลายๆอันในโพสต์เดียว เพื่อเพิ่ม Click-Through Rate (CTR) และเพิ่มโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะสนใจคอนเทนต์ของคุณ หรือคุณอาจจะเลือกแสดงเพียงคอนเทนต์เดียว แต่เล่าต่อกันเป็นเรื่องราวผ่านแต่ละการ์ดของ Carousel Ads เพื่อให้เกิดความน่าติดตาม หรือจะเล่า Highlight ของคอนเทนต์นั้นๆเพื่อให้คนอ่านได้รู้จักคอนเทนต์นั้นมากขึ้นในหลายๆแง่มุมก็ได้
ภาพจาก draftbox.com
และเพื่อจะต่อไปสู่ขั้น Activation คุณก็สามารถขอข้อมูลสำคัญของพวกเขา (เช่น อีเมลหรือเบอร์โทรติดต่อ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจของคุณ) เพื่อแลกกับคอนเทนต์ฟรีที่คุณคิดว่าเขาสนใจได้เลย
ภาพแบนเนอร์ที่มีการขอข้อมูลจากผู้ใช้
Tip : แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นทำ Retargeting คุณอาจจะลองปรับเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ของคุณสักเล็กน้อยก่อน เช่น เมื่อผู้เข้าชมกดเข้ามาอ่านบล็อกหรือดูสินค้าในเว็บของคุณ คุณอาจจะลองใส่ข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณไปด้วยในตอนท้าย หรืออาจใส่ลิงก์ไปที่หน้า ‘เกี่ยวกับเรา’ เพื่อให้พวกเขาได้รู้จักคุณมากขึ้นอีกสักนิด เพราะไม่ว่าอย่างไรการเป็นคนรู้จักก็ย่อมดีกว่าการเป็นคนแปลกหน้าอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ
2. จาก Activation สู่ Retention: ทำอย่างไรให้ลูกค้าใช้ซ้ำ?
สำหรับข้อนี้ เราจะแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นอีก 2 กลุ่มย่อยคือ…
I. กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เคยซื้อของจากเรา
นี่คือกลุ่มเป้าหมายที่ยังอยู่ในขั้น Acquisition หรือ Activation โดยวิธีทำ Retargeting ในกลุ่มเป้าหมายทั้งสองกลุ่มนี้จะคล้ายกับที่เราบอกไปในข้อแรก นั่นคือเราจะเน้นการมอบคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และตรงกับความสนใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากความสนใจหลักของพวกเขายังคงเป็นการหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำให้เขากลับมาที่เว็บไซต์ของเราซ้ำๆ ได้ เราก็ต้องมอบ Solution ให้เขาได้อย่างต่อเนื่อง ความต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำ Retargeting สำหรับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้
โดยคอนเทนต์นั้นควรจะมีทั้งแบบฟรีและไม่ฟรี ทั้งนี้ก็เพราะว่าเมื่อกลุ่มเป้าหมายในทั้งสองขั้นนี้กลับมาใช้เว็บไซต์ของเราซ้ำๆ นั่นหมายความว่าคอนเทนต์ที่เรานำเสนอไปสามารถมอบ Solution ที่เขาต้องการได้ เพราะฉะนั้นมันก็มีโอกาสที่เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาจะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อ Solution จากเรานั่นเอง
ภาพจาก envato.com
นอกจากนี้ หากกลุ่มเป้าหมายนั้นอยู่ในขั้น Activation เรียบร้อยแล้ว คุณก็สามารถส่งอีเมลในรูปแบบจดหมายข่าว แนะนำคอนเทนต์ที่เขาน่าจะสนใจ โดยอิงจากประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ได้เลย และอย่าลืมว่าคอนเทนต์นั้นควรมีทั้งแบบฟรีและต้องจ่ายเงินผสมกันไปนะ
II. กลุ่มเป้าหมายที่เคยซื้อของจากเราแล้ว
คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในขั้น Revenue นั่นก็คือคนที่ซื้อของและกลายเป็นลูกค้าของเราเรียบร้อยแล้ว และเป้าหมายของการ Retargeting ในคนกลุ่มนี้ก็คือการทำให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำนั่นเอง โดยวิธีแรกที่คุณสามารถทำได้และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายก็คือ การเสนอส่วนลดหรือโปรโมชั่นสำหรับการซื้อสินค้าในครั้งต่อไปนั่นเอง
3. จาก Retention สู่ Revenue: ทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือใช้บริการ?
เมื่อกลุ่มเป้าหมายได้ทำความรู้จักกับคอนเทนต์ของคุณได้สักพักจนคุ้นเคยและเชื่อใจว่าคุณสามารถมอบ Solution ที่เขาต้องการได้ พวกเขาจะเริ่มคิดที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของคุณเพื่อซื้อ Solution ที่เหนือขั้นกว่านั้นขึ้นไป
เพราะฉะนั้น เป้าของการทำ Retargeting ในคนกลุ่มนี้คือทำให้พวกเขารู้สึกว่าต้องซื้อตอนนี้เลย จะรอทีหลังไม่ได้ โดยคุณสามารถโฆษณาเสนอส่วนลดหรือโปรโมชั่นพิเศษในเวลาที่จำกัด และเมื่อพวกเขาเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณแล้ว คุณก็อาจจะแสดงรีวิวจากลูกค้าคนก่อนๆ หรือ Influencer ให้พวกเขาเห็นเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจได้เร็วขึ้นด้วย
นอกจากนี้ เมื่อกลุ่มเป้าหมายกำลังคิดจะซื้อสินค้าหรือใช้บริการของคุณ พวกเขาจะมีคำถามในหลายๆเรื่องที่ฉุดรั้งพวกเขาไว้ และคุณต้องมีคำตอบที่ชัดเจนเพื่อปิดการขายให้เร็วที่สุด เช่นตอนที่แอพเรียกแท็กซี่ยอดนิยมอย่าง Grab พึ่งเปิดตัวฟังก์ชั่น GrabPay บริการที่ให้ผู้ใช้จ่ายเงินด้วยบัตรเดบิตหรือเครดิตได้เป็นครั้งแรก สิ่งที่ผู้ใช้บริการอาจจะสงสัยก็เช่นว่า แล้วจ่ายด้วยบัตรกับจ่ายเงินสดจะต่างกันตรงไหน? รับบัตรอะไรบ้าง? หรือมีเงื่อนไขอย่างอื่นหรือไม่?
ซึ่งในที่นี้ ทาง Grab ก็ได้ตอบคำถามเหล่านั้นไว้ในแบนเนอร์โฆษณาหมดแล้ว เพื่อขจัดข้อสงสัยต่างๆที่ฉุดรั้งกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นไว้และช่วยให้พวกเขาตัดสินใจชำระเงินได้เร็วขึ้น และแบนเนอร์โฆษณาดังกล่าวยังสามารถนำไปใช้ทำ Retargeting สำหรับกลุ่มเป้าหมายในขั้นนี้ได้ด้วย
สำหรับสิ่งที่ลูกค้าสงสัยนั้น คุณสามารถรู้ได้ผ่านการทำ Customer Research โดยให้ถามคนที่ซื้อของจากคุณไปแล้วว่าพวกเขามีข้อสงสัยอะไรบ้างก่อนจะตัดสินใจชำระเงินเพื่อซื้อสินค้า หรือในกรณีที่เป็นบริการใหม่อย่าง GrabPay ก็ให้ลองถามกลุ่มเป้าหมายของคุณว่าพวกเขาอยากจะรู้อะไรบ้าง ซึ่งหลังจากที่คุณได้คำตอบเหล่านั้นมา นอกจากจะนำไปใช้ทำแบนเนอร์โฆษณาแล้ว ลองใส่ไว้ในส่วน ‘คำถามที่พบบ่อย’ ในหน้าเว็บไซต์ด้วยก็ได้นะ
4. จาก Revenue สู่ Referral : ทำอย่างไรให้ลูกค้าบอกต่อ?
ซื้อของก็แล้ว อาจจะซื้อซ้ำไปแล้วด้วย เป้าหมายในการทำ Retargeting ในขั้นสุดท้ายนี้จึงเป็นการทำเพื่อให้ลูกค้าบอกต่อแบรนด์ของเราให้คนอื่นรู้ เพื่อให้มีคนใหม่ๆเดินเข้าสู่ขั้น Acquisition ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Funnel เราต่อไป
โดยคุณสามารถยิง Ads ไปหาคนที่ซื้อสินค้าของคุณไปแล้วเพื่อมอบส่วนลดหรือสิทธิสุดพิเศษให้แก่เขา เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เขาบอกต่อ อย่างเช่น Eatigo ที่เสนอให้ส่วนลดเงินสดกับลูกค้าถึง 500 บาท และแต้มสะสมอีก 200 คะแนน เพียงแค่ลูกค้าชวนเพื่อนจองและไปทานอาหารครั้งแรกกับทางแอพ
ภาพจาก eatigo.com
หรือคุณอาจจะลองนึกถึง Referral Program ในตำนานอย่าง Dropbox ที่มอบพื้นที่สะสมไฟล์เพิ่มให้ทั้งคนชวนและคนถูกชวนไปเลยฟรีๆเมื่อพวกเขาบอกต่อและกดรับคำชวน ซึ่งก็ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการ Dropbox เพิ่มขึ้นกว่า 3,900% ภายในเวลาเพียง 15 เดือนเท่านั้น!
ภาพจาก viral-loops.com
สรุปทั้งหมด
และนี่ก็คือเคล็ดลับการยิงโฆษณา Retargeting สำหรับกลุ่มเป้าหมายในทั้ง 5 Funnel ตามหลัก Growth Hacking อย่างละเอียด เพื่อให้พวกเขากลับเข้ามาและเดินต่อไปยัง Funnel ถัดไปได้เร็วขึ้น หรือจะพูดในอีกทางหนึ่งก็คือ กลายเป็นลูกค้าของคุณเร็วขึ้นนั่นเอง รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเอาไปลองปรับใช้กันดูนะ!