ทำการตลาดอย่างไรในช่วง Covid-19 ให้ธุรกิจ E-Commerce ของคุณสร้างยอดขายได้เป็น 2 เท่า บทความนี้มีเทคนิคดีๆ ให้คุณหาคำตอบ หากคุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ผมว่าตอนนี้คุณน่าจะทราบดีครับว่าสถานการณ์ในบ้านเราและทั่วโลกกับวิกฤติเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ Covid-19 นั้นมีความรุนแรงเพียงใดทั้งต่อร่างกายของคุณและต่อ “การทำธุรกิจ” ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ต่างก็ได้รับผลกระทบนี้อย่างถ้วนหน้า
แม้ประเทศไทยของเราอาจจะมียอดผู้เสียชีวิตหรือผู้ได้รับเชื้อไวรัสน้อยกว่าอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ ในด้านธุรกิจของบ้านเราก็ได้รับผลกระทบไปค่อนข้างเยอะพอสมควร ในหลายอุตสาหกรรม แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้างเพราะจากสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ที่เกิดขึ้น ดันส่งผลให้พฤติกรรม Online Shopping ของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องมาจากมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส ทำให้ผู้คนต้องอยู่ในบ้านกันมากขึ้น
ดังนั้นช่วงเวลาแบบนี้ จึงเปรียบเสมือนช่วงเวลาที่ธุรกิจของคุณจะต้องสร้างความได้เปรียบ เดินหน้าเข้าสู่โลกออนไลน์ให้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รับรู้ของลูกค้า เพิ่ม Brand Awareness ให้มากขึ้นและโดยเฉพาะการขายสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ หรือที่เราเรียกว่าการทำ “E-Commerce”
แต่ในการทำธุรกิจ E-Commerce ก็ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ เสมอไปนะครับยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในช่วงขาลง พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้คนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้การทำธุรกิจ E-Commerce ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกต่อไปและยังต้องอาศัยเทคนิคต่างๆ เพื่อผลักดันให้คุณได้กำไรจากยอดขายบนช่องทาง E-Commerce
ดังนั้นบทความนี้ The Growth Master ขอร่วมเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้ธุรกิจ E-Commerce ของคุณฝ่าฟันสถานการณ์เหล่านี้ไปให้ได้ เพราะในบทความนี้เราจะมาบอก 6 เทคนิคที่คุณต้องเปลี่ยน เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ E-Commerce พุ่งทะยานภายใต้สถานการณ์ไวรัส Covid-19 ที่เจ้าของธุรกิจอย่างคุณต้องทราบ เชิญติดตามกันได้เลยครับ
E-Commerce คือวิธีที่การขายที่ดีที่สุดในสถานการณ์ COVID-19 จริงหรือ ? เป็นเรื่องที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วครับว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงต่อชีวิตโดยเฉพาะโรคระบาดในลักษณะนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคก็ย่อมเปลี่ยนไปเป็นเรื่องปกติ
หากนับตั้งแต่สถานการณ์ไวรัส Covid-19 เริ่มระบาดก็เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้วที่หลายประเทศทั่วโลกต้องเริ่มระงับการออกจากบ้านและห้างสรรพสินค้า ตลาด พื้นที่ในการจับจ่ายสินค้า ก็เริ่มมีพักการให้บริการลง ทำให้ 2 ปัจจัยนี้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคต้องเริ่มเปลี่ยนไป และเริ่มหันหน้าสู่การซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ E-Commerce มากขึ้น
แน่นอนครับ ด้วยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้สถิติการใช้งานแพลทฟอร์ม E-Commerce เติบโตขึ้น ดันยอดขายบนแพลตฟอร์มให้เพิ่มสูงขึ้นราวๆ 20% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่พุ่งกระโดดมากๆ เมื่อเทียบกับช่วงที่ยังไม่มีสถานการณ์ไวรัส Covid-19 บอกได้ว่าสำหรับใครที่ยังลังเลในการดันธุรกิจตัวเองเข้าสู่ช่องทาง E-Commerce หรือ Online นั้น “คุณช้าไม่ได้แล้วครับ”
ภาพจาก DisruptiveAdvertising นอกจากนั้นด้านยอดขายที่ E-Commerce สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณมีรายได้นั้น อีกข้อได้เปรียบของการทำ E-Commerce ที่เข้ากับสถานการณ์ช่วงนี้สุดๆ นั่นก็คือ “ความประหยัด” เพราะการที่คุณเปลี่ยนช่องทางการขายมาอยู่ในรูปแบบออนไลน์ จากเดิมที่เป็นการขายแบบออฟไลน์หรือหน้าร้าน แน่นอนว่าสิ่งที่คุณจะไม่ต้องเสียเลยนั่นก็คือ ค่าเช่าที่ ค่าแรงงาน ค่าจิปาถะต่างๆ (ค่าน้ำ, ค่าไฟ)
โดยคุณสามารถ Monitor จัดการธุรกิจ E-Commerce ของคุณได้ผ่านช่องทางต่างๆ ที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือต่อให้เสียก็คงน้อยมาก เมื่อเทียบกับการมีหน้าร้าน แถมการขายผ่านช่องทางออนไลน์ การโปรโมทหรือการโฆษณา ก็มีฟังก์ชั่นของแพลทฟอร์มต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณอยู่เสมอ (เช่นการ Boost Post , ยิง Ads , ทำ Retargeting)
เพียงเท่านี้ก็คงเห็นได้ชัดแล้วใช่ไหมครับว่าภายใต้สถานการณ์ Covid-19 หรือสถานการณ์ฉุกเฉินใดๆ การขายในช่องทาง E-Commerce คือวิธีที่การขายที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใดๆ ได้ตลอดและสามารถทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด
ทำอย่างไรให้ธุรกิจ E-Commerce ของคุณสร้างยอดขายได้รัวๆ แม้ในช่วง COVID-19 คุณอาจจะได้เห็นถึงข้อดีของการมีธุรกิจ E-Commerce กันไปแล้วนะครับ ว่าการดำเนินธุรกิจบนโลกออนไลน์สามารถสร้างความได้เปรียบให้กับธุรกิจคุณได้อย่างไรบ้าง ผมว่าถึงเวลาแล้วล่ะครับ ที่คุณต้องเริ่มเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้เอื้อกับการขายแบบ E-Commerce เพื่อสร้างรายได้ที่ “มากกว่า” ให้กับตัวคุณเอง
แต่ !! การที่จะทำให้การขายสินค้าผ่านช่องทาง E-Commerce ของคุณ สร้างยอดขาย สร้างกำไรได้อย่างพุ่งกระฉูดนั้น กลับไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ เหมือนแบบที่คุณคิดนะครับ นอกจากสินค้าของคุณต้องมีจุดเด่น มีราคาที่สมเหตุสมผล เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า คุณยังต้องอาศัยเทคนิคการขายต่างๆ เป็น “ตัวช่วย” มาปรับใช้กับสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบัน ที่ลูกค้าเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
แต่จะมีเทคนิคไหนที่น่าสนใจ และสามารถนำไปปรับใช้กับในช่องทาง E-Commerce ของธุรกิจคุณได้ มาติดตามกันได้เลยครับ
1. Discount Code Discount Code หรือ “โค้ดลดราคา” เป็นชุดคำตัวอักษรหรือตัวเลขสั้นๆ ที่คุณกำหนดขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้ากรอกโค้ดและนำไปใส่ในช่องว่างก่อนชำระเงินทางออนไลน์ ก็จะได้รับส่วนลดตามจำนวนเปอร์เซนต์จากร้านค้าต่างๆ
สำหรับ Discount Code เป็นวิธีที่พัฒนาขึ้นมาจากการลดราคาแบบปกติ วิธีนี้ถือเป็นเทคนิคที่หลากหลายธุรกิจในปัจจุบัน ถ้าอยู่บนช่องทาง E-Commerce ก็มักจะใช้เทคนิคนี้เพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจกันทั้งนั้น และแน่นอนว่าเป็นวิธีที่สร้างกำไรให้คุณได้ดีอีกเทคนิคหนึ่งเลยทีเดียว
ภาพจาก Zouton เพราะ Discount Code เป็นเหมือนการมอบความรู้สึกพิเศษให้แก่ลูกค้าของคุณ เพราะโค้ดส่วนลดมักจะมีเวลาและสิทธิ์ที่จำกัด ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกว่าช่วงเวลาที่มีโค้ดส่วนลดออกมา นั่นคือช่วงเวลาพิเศษ“ต้องรีบ” ถ้าอยากได้สินค้า นั่นทำให้ Discount Code กลายเป็นที่ตั้งตารอจากลูกค้าหลายๆ คนเฝ้ารอ
โดยคุณยังสามารถใช้ Discount Code เป็นตัวดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ให้เข้ามารู้จักแบรนด์หรือธุรกิจของคุณได้อีกด้วย โดยคุณอาจจะเหมาะความพิเศษเฉพาะกลุ่มให้แก่ลูกค้าใหม่ๆ เช่นแจก Discount Code 40%สำหรับลูกค้าใหม่ที่ซื้อสินค้ากับคุณเป็นครั้งแรกเป็นต้น
ซึ่งนอกจากความสำคัญในการตั้งจำนวนเปอร์เซนต์ของราคาที่ต้องการให้ลดแล้ว (มีผลต่อรายได้และกำไรของคุณ) อีกความสำคัญที่คุณจะละเลยไม่ได้ นั่นก็คือ การตั้งชื่อ Discount Code ให้น่าสนใจนั่นเองครับและดูมีความทันต่อสถานการณ์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่คุณจะสามารถเพิ่มยอดการสั่งซื้อจากลูกค้าได้ง่ายๆ ครับ
ภาพจาก @motellbrews จากตัวอย่าง ร้านคาเฟ่ Motellbrews ในเยอรมนีพวกเขาทำการขายเครื่องดื่มผ่านช่องทาง Online ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับร้านนี้ก็คือการตั้งชื่อ Discount Code ให้มีความน่าสนใจมากขึ้นด้วยการใช้สถานการณ์ปัจจุบัน ที่กำลังรณรงค์ให้คนอยู่บ้าน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส มาเป็นชื่อโค้ดซะเลยอย่าง “STAYINGHOME”
ซึ่งประโยชน์ของการมี Discount Code นอกจากจะช่วยเพิ่มยอดขาย เพิ่มลูกค้าใหม่ๆ แล้วยังทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูมีความทันต่อเหตุการณ์ ใส่ใจความปลอดภัยของลูกค้าแม้ในเรื่องเล็กๆ สำหรับใครที่มีธุรกิจ E-Commerce เป็นของตัวเอง ก็อย่าลืมหยิบเทคนิคนี้ไปลองใช้กันดูนะครับ
2. Free Shipping อีกหนึ่งเทคนิคเพิ่มยอดการขายที่ได้ผลดี (หรือบางคนอาจจะใช้กันอยู่แล้ว) เป็นอย่างมาก Free Shipping หรือชื่อที่เราคุ้นกันคือ “จัดส่งฟรี” น่าจะเป็นคำที่ทำให้ลูกค้าที่จะซื้อสินค้าของคุณยิ้มแก้มปริแน่นอนครับ เพราะเนื่องจาก สถานการณ์ในปัจจุบัน ที่การขายสินค้ายังไม่สามารถทำผ่านหน้าร้านเหมือนปกติได้ 100% สิ่งที่ต้องอยู่เคียงคู่กับการทำ E-Commerce นั่นก็คือ “การจัดส่ง”
เพราะการจัดส่งส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นการจัดส่งแบบเสียเงินเพิ่ม ซึ่งต้องไม่ดีแน่ๆ ถ้าคุณเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งทางการขายเยอะ พวกเขาจะสามารถใช้ค่าจัดส่งที่ถูกกว่ามาหั่นราคาและแย่งลูกค้าจากคุณไปได้ในที่สุด แต่คุณสามารถเปลี่ยนเกมส์ให้กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบได้ง่ายๆ ยอมลดกำไรที่จะได้ลงนิดหน่อย แต่ได้ลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ด้วยการใช้เทคนิค Free Shipping
Free Shipping ถือเป็นการให้โบนัสคืนแก่ลูกค้าที่น่ารักของคุณ ลองคิดภาพตามนะครับ ว่าในหน้าแสดงสินค้าของคุณ มีคำว่า “จัดส่งฟรี หรือ Free Shipping” อยู่จะสามารถดึงลูกค้าให้กดสั่งซื้อได้มากแค่ไหน ซึ่งการใช้เทคนิค Free Shipping นี้คุณต้องควบคู่ไปกับการโปรโมท หรือประชาสัมพันธ์ที่ดีด้วย เพราะถือว่านี่เป็นจุดขายของคุณ
โดยคุณอาจจะสร้าง Banner ใหม่ไปใส่ไว้ในหน้าแรกของเว็บไซต์เลยครับ เพื่อเน้นย้ำลูกค้าหรือคนแปลกหน้าทั้งหลาย ถึงความคุ้มค่าถ้ามาซื้อสินค้ากับแบรนด์ของคุณ พร้อมกับการยิง Ads ผ่านช่องทางๆ ต่างเพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบถึงโปรโมชั่นสุดคุ้มของคุณ
ภาพจาก GeekWire ซึ่งนอกจากประโยชน์ของการจัดส่งฟรี ที่คุณสามารถมอบให้กับลูกค้าได้แล้วนั้น เทคนิค Free Shipping ยังเปรียบเหมือนตัวทำคอมโบทางการตลาด ที่สามารถนำไปจับคู่เพิ่มความคุ้มกับเทคนิคใดก็ได้ เช่นซื้อสินคากับร้านของคุณวันนี้มี Discount Code ลดราคาให้ 15% แถมด้วยบริการจัดส่งฟรี!
และถ้าคุณมีการโปรโมทแบรนด์ที่ดี แบบนี้คนที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมหน้าร้านออนไลน์ของคุณ ก็จะเพิ่มเปอร์เซนต์ในการที่จะให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าของคุณ เรียกว่าเป็นเทคนิคที่สามารถเปลี่ยน “Visitor” ให้กลายเป็น “Customer” ได้อย่างไม่ยากเย็นครับ
3. New Product Bundles การที่เราต้องติดอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน ภายใต้สถานการณ์ที่การจับจ่ายสินค้าไม่สามารถทำได้เหมือนปกติ นั่นทำให้เกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายในการ Shopping Online หรือเปล่าครับ ?
หากคุณคิดว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่กำลังเป็นแบบนี้ นี่คือเทคนิคที่คุณควรนำมาใช้กับธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ “New Product Bundle” หรือการขายแบบแพคเกจ ถ้าว่ากันตามทฤษฎี Bundle Sales คือการจัดโปรโมชั่น ขายสินค้าที่มากกว่า 2 ชิ้นขึ้นไป แต่ขายในราคาที่ถูกกว่าแบบธรรมดา
อ้างอิงจากหนังสือ The Psychology of Pricing เทคนิคนี้แหละครับ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอีกเทคนิคที่จะทำให้ยอดขายของคุณพุ่งกระฉูด และเว็บไซต์ Amazon เจ้าแห่ง E-Commerce ระดับโลกก็เลือกใช้เทคนิคนี้ในการเพิ่มยอดคำสั่งซื้อเช่นกัน
ซึ่งผลลัพธ์ของเทคนิค New Product Bundle นี้ก็คือ คุณสามารถดึงลูกค้าให้มาสนใจและเกิดการสั่งซื้อได้จำนวนมาก เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าเงินที่เขาได้เสียไป พวกเขาได้รับความคุ้มค่ากลับมา โดยเฉพาะถ้าคุณมีสินค้าตัวใหม่ล่าสุดที่ต้องการขายออกมาด้วย การใช้เทคนิคนี้ก็ยังเป็นตัวดึงดูดให้ลูกค้าสนใจสินค้าใหม่ของคุณได้มากขึ้นเช่นกัน
และภายใต้สถานการณ์ Covid-19 แบบนี้ที่ลูกค้าไม่สามารถออกไปจับจ่ายได้เหมือนปกติ เทคนิคการขายสินค้าแบบแพคเกจ นำเสนอถึงความคุ้มค่าที่คุณจะมอบให้พวกเขา อาจจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุดในช่วงเวลาแบบนี้ก็เป็นได้ครับ
ภาพจาก Malicious.women จากตัวอย่างเว็บไซต์ Malicious Women พวกเขาเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าประเภทเทียนหอม พวกเขาก็เลือกใช้เทคนิค New Product Bundle ในการเพิ่มยอดขายของธุรกิจเช่นกันครับ โดยเขาขายชุดทำเทียนหอมแบบ DIY สำหรับเด็ก ให้ลูกค้าสามารถทำเทียนหอมในกลิ่นที่ตัวเองต้องการ โดยในแพคเกจ ก็จะมีอุปกรณ์การทำมาให้อย่างครบครัน เรียกว่าเป็นตัวอย่างการขายสินค้าแบบ New Product Bundle ที่ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้ามาเป็นอย่างดี
เพราะแทนที่พวกเขาจะขายแค่เทียนหอมเป็นชิ้นๆ หรือขายอุปกรณ์การทำเป็นชิ้นๆ พวกเขากลับขายเป็นแพคเกจชุด DIY ให้ทำเอง เพราะด้วยสถานการณ์ Covid-19 ทุกคนต้องอยู่แต่ในบ้าน นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ครอบครัวจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน การขายสินค้าที่ส่งผลต่อการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว จึงกลายเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในช่วงเวลาแบบนี้มากที่สุด
แต่ !! ถ้าคุณอยากจะนำเทคนิคนี้มาปรับใช้ ต้องคำนึงไว้อย่างนะครับ ว่าการลดราคาหรือจัดโปรโมชั่นอะไรก็ตาม ก็คือการลดกำไรของคุณด้วยเช่นกัน ซึ่งคุณต้องคำนวณต้นทุนและค่าใช้จ่ายก่อนเสมอ เพราะฉะนั้นเทคนิคนี้จึงเหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าสต๊อกไว้เยอะหรือธุรกิจที่กำลังอยากระบายสินค้าครับ
4. Charity Focus สำหรับเทคนิคนี้น่าจะเหมาะกับการนำมาปรับใช้ในประเทศเราครับ นั่นก็คือ Charity Focus หรือ “การทำกุศล” เทคนิคนี้เป็นเทคนิคการเพิ่มยอดขายทาง E-Commerce ที่นอกจากได้ผลประโยชน์ด้านรายได้แล้ว ยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปในทางที่ดีอีกด้วยครับ (มีความเป็น CSR นิดๆ)
โดยเทคนิค Charity Focus ถ้าให้อธิบายแบบง่ายๆ ก็คือการแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายสินค้าตัวใดตัวหนึ่งหรือยอดขายทั้งหมดของคุณ นำไป “บริจาค” หรือมอบให้กับองค์กร , หน่วยงานต่างๆ ที่สร้างประโยชน์แก่สังคม เพื่อการเพิ่มยอดขายจากลูกค้าที่อยากมีส่วนร่วมบริจาคผ่านการซื้อสินค้าของคุณ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก
ยิ่งภายใต้สถานการณ์ Covid-19 ที่ทุกคนกำลังได้รับความลำบาก การช่วยเหลือซึ่งกันและกันถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ด้วยกันสามารถทำให้กันได้ สังเกตุได้ว่าถ้าเป็นธุรกิจที่ใช้เทคนิค Charity Focus นี้ในช่วง Covid-19 จะประสบความสำเร็จในด้านยอดขายและมีภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดีในสายตาลูกค้า
ภาพจาก Goodkrama จากตัวอย่างของ Goodkrama แบรนด์เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชื่อดัง นอกจากพวกเขาจะใช้เทคนิคที่ได้กล่าวไปในข้างต้นกับธุรกิจ E-Commerce บนหน้าเว็บไซต์ทั้ง Discount Code และ Free Shipping ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขายังเลือกใช้เทคนิค Charity Focus อีกด้วย
โดยพวกเขาทำการขายหน้ากากแบบ Zero Waste Mask ให้กับลูกค้าที่สนใจ โดยรายได้ 30% จากการขายสินค้าตัวนี้ พวกเขาจะนำไปมอบให้กับองค์กรอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) เพื่อสมทบทุนในการช่วยเหลือสถานการณ์ Covid-19 ทั่วโลกต่อไป
แต่ที่สำคัญที่สุด ผมอยากแนะนำว่าหากธุรกิจใดเลือกใช้เทคนิค Charity Focus คุณควรใช้เทคนิคนี้ด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส ไม่หลอกลวงลูกค้า และควรให้ความช่วยเหลือปัญหาสังคมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่ใช้เป็นตัวช่วยเพิ่มยอดขายและจากนั้นก็หายไป แต่ต้องควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์หรือธุรกิจของคุณเองครับ
5. Local Community Focus สำหรับเทคนิค Local Community Focus เป็นอีกเทคนิคที่มีความคล้ายคลึงกับ Charity Focus ในข้อที่แล้วครับในกรณีที่ลูกค้าไม่ได้มีความประสงค์อยากซื้อสินค้ามาใช้เอง คุณสามารถใช้วิธีนี้ในการให้ลูกค้าช่วยเหลือสังคมด้วยการกดบริจาค “สินค้า” ของแบรนด์คุณเอง โดยใช้ระบบ E-Commerce เป็นตัวจัดการ
โดยเทคนิค Local Community Focus กำลังเริ่มได้รับความนิยมในต่างประเทศจากช่วงสถานการณ์ Covid-19 และเป็นการ Support หน่วยงานขนาดเล็กหรือธุรกิจชุมชนให้พวกเขามีกำลังใจที่จะผ่านพ้นวิกฤตไปได้ โดยใช้สินค้าในช่องทาง E-Commerce ของคุณเป็นตัวกลางในการช่วยเหลือ
ภาพจาก TheBarn จากตัวอย่าง นี่คือร้านกาแฟ The Barn อยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี อีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส Covid-19 เป็นอันดับต้นๆ ของโลก พวกเขาใช้เทคนิค Local Community Focus บนหน้าเว็บไซต์ E-Commerce ของพวกเขาเช่นกัน
โดยพวกเขาเปิดให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อกาแฟแบบออนไลน์ เพื่อให้ทางร้านนำไปส่งให้แก่โรงพยาบาลเล็กๆ ในกรุงเบอร์ลิน 2 แห่ง เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานอย่างหนักทั้งวันทั้งคืนในการดูแลรักษาผู้ป่วย Covid-19 ได้ดื่มเอาแรง โดยลูกค้าสามารถกดสั่งได้ตั้งแต่ 1 แก้ว ไปจนถึงเมล็ดกาแฟแบบชงเอง 1 แพ็คใหญ่ โดยราคาก็จะเป็นราคาจริงที่ทางร้าน The Barn ทำการจำหน่าย
แม้เทคนิคนี้อาจจะไม่ใช่เทคนิคทางการขายแบบปกติ แต่ก็เป็นอีกเทคนิคการขายอันแสนยอดเยี่ยม ที่ทำให้คุณกับลูกค้ามีความใกล้ชิดกันมากขึ้น ธุรกิจมีรายได้และได้ช่วยเหลือสังคมไปด้วยกัน ได้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดี และสามารถสร้าง Impact ให้เกิดการบอกต่อในสังคมได้อีก เรียกได้ว่าเป็นอีกเทคนิคนึงที่สามารถสร้างประโยชน์ให้แบรนด์หรือธุรกิจคุณได้ในระยะยาวครับ
6. Adapting Social Media Feeds เทคนิคนี้เป็นเทคนิคปิดงานง่ายๆ ที่คุณควรต้องทำหากต้องการให้ธุรกิจ E-Commerce ของคุณพุ่งแรงสวนกระแส Covid-19 อย่างมีประสิทธิภาพนั่นก็คือ Adapting Social Media Feeds หรือการปรับ Social Media ของธุรกิจคุณให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
ความหมายของ “การปรับ” ในที่นี้ก็คือ การปรับเนื้อหา Content , Artwork การใช้ Hashtag รวมไปถึงแผนการโปรโมทธุรกิจผ่านช่องทาง Social Media ของคุณให้เข้ากับสถานการณ์ Covid-19 มากขึ้น เพราะแน่นอนครับว่าธุรกิจ E-Commerce ส่วนใหญ่ในปัจจุบันแทบทุกแบรนด์ก็จะมีช่องทาง Social Media ไว้เพื่อติดต่อหรือประชาสัมพันธ์กับลูกค้าอยู่แล้ว
การที่คุณ Adapting Social Media Feeds ให้เข้ากับสถานการณ์ นอกจากจะช่วยโปรโมทช่องทางการขายสินค้าของคุณแล้ว จะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกดีต่อแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ ไม่ได้รู้สึกว่าหน้า Social Media ของคุณมีไว้เพื่อขายอย่างเดียว แต่ยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อลูกค้า ทันโลก ทันสถานการณ์อยู่ตลอด
ภาพจาก Facebook @adidasth โดยคุณอาจจะเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการใส่ Hashtag ที่เกี่ยวกับ Covid-19 เช่น #stayhome #staysafe เปลี่ยนรูป Cover Photo หรืออาจจะลองเปลี่ยนการเขียน Copywriting หรือการนำเสนอ Content ให้มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้นครับ