Technology

Web1, Web2, Web3 คืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร? ทำไมถึงเป็นเรื่องที่คุณต้องรู้

Web1, Web2, Web3 คืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร? ทำไมถึงเป็นเรื่องที่คุณต้องรู้
Light
Dark
Cartoon Tanaporn
Cartoon Tanaporn

มนุษย์เป็ดเขียนคอนเทนต์ ชอบเขียนมากกว่าพูด เสพติดการมองพระจันทร์เป็นชีวิตจิตใจ และหลงใหลในช่วงเวลา Magic Hour ของทุกวัน

นักเขียน

ทุกวันนี้นอกจากคำว่า Blockchain แล้ว เราคงอาจได้เห็นคำว่า Web3 ผ่านตากันมานับครั้งไม่ถ้วน และอาจได้ยินบางคนบอกว่า Web3 จะเข้ามาเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทำให้โลกของเรามีความเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันอีกด้วย เพราะ Web3 จะทำให้ข้อมูลของเรามีความปลอดภัยมากขึ้นในการใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google, Facebook 

ในบทความนี้เราเลยอยากจะมาเล่าวิวัฒนาการตั้งแต่ Web1, Web2 และ Web3 ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง แล้วทั้งสามยุคนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันต่อได้เลย

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

ความแตกต่างระหว่าง Web1, Web2 และ Web3

Web1: เว็บบอร์ด อ่านได้อย่างเดียว (One-way Communication) 

Web1 คือ เว็บไซต์รุ่นแรก ๆ ที่ให้คนมาอ่านข้อมูลได้เท่านั้น แต่โต้ตอบกลับไม่ได้ (One-way Communication) ซึ่งถ้ายกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คงจะเป็นพวก เว็บบอร์ด สมัยก่อนที่เรายังเป็นเด็กที่เข้าไปอ่านข้อมูลได้เพียงอย่างเดียว แต่ไม่สามารถเข้าไป Interact, คอมเมนต์ แสดงความคิดเห็นอะไรกลับได้เลย เช่น Yenta4, Yahoo, Reddit เป็นต้น

ภาพจาก distilled

Web2: โซเชียลมีเดีย เขียน อ่าน โต้ตอบกันได้ (Two-way Communication) 

Web2 คือ เว็บไซต์ที่เปิดให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบสื่อสารกันได้แบบเรียลไทม์ ทั้งเขียนและอ่าน (Two-way Communication) โดยในยุคนี้บรรดาบริษัทใหญ่ ๆ ระดับโลกเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, YouTube, TikTok และอื่น ๆ ที่เข้ามาผลิตคอนเทนต์และเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานไป ทำให้กลายเป็นว่าข้อมูลของผู้ใช้งานถูกควบคุมโดยบริษัทนั้น ๆ บางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้งานถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัวไปได้

ถ้าให้อธิบายแบบเห็นภาพได้ชัด ๆ เลยก็คงจะเป็นการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานของ Facebook ซึ่งเราจะรู้กันอยู่แล้วว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มฟรี แต่ทำรายได้จากการขายโฆษณา (Ads) ซึ่งก็เท่ากับว่าการที่แพลตฟอร์มจะส่งโฆษณาไปให้ถูกกับกลุ่มเป้าหมายได้นั้น Facebook ก็ต้องมีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานบางอย่างไป

จะเห็นได้ว่าในช่วงพักหลัง ๆ Facebook ก็มีโฆษณาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราเคยสงสัยไหมว่าทำไมโฆษณามันตรงกับความคิด หรือความต้องการของเราเลย Facebook รู้ได้ยังไงกัน? พูดคุยเล่นกับเพื่อนในช่องแชท หรือไปเสิร์ชดูข้อมูลรองเท้าบน Google แต่พอกลับมาไถไทม์ไลน์ Facebook ปุ๊บ ก็เจอรองเท้าที่เรากำลังอยากได้ที่เคยค้นหาไปพอดีเลย นั่นแหละคือการที่ Facebook เก็บข้อมูลของเราไป ทำให้เราเสียความเป็นส่วนตัว (Privacy) บางส่วนไปด้วย

ยิ่งแพลตฟอร์มนั้น ๆ ทั้ง Google, Facebook หรืออื่น ๆ มีผู้ใช้งานมากขึ้นเท่าไร ก็เท่ากับว่าข้อมูลของผู้ใช้งานก็จะถูกรวบรวมไว้ที่บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้นนั่นแหละ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Web3 เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาความเป็นส่วนตัวนี้

ภาพจาก shopify

Web3: ระบบกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) 

Web3 คือ รูปแบบของเว็บไซต์ที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralized Web) กล่าวคือจะไม่มีการดูแลและควบคุมโดยหน่วยงานหรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะเป็นระบบการกระจายอำนาจ ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลาง ทำให้ข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้งานจะอยู่ในมือของผู้ใช้เท่านั้น ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงในการพัฒนาเหมือนเป็นหนึ่งในเจ้าของแพลตฟอร์มนั้น ๆ อย่างเท่าเทียมกัน

ตัวอย่างแพลตฟอร์มบน Web3 เช่น Storj, IPFS พื้นที่ที่ใช้เพื่อเก็บและแชร์ข้อมูล ซึ่งมีการทำงานคล้าย Dropbox, Google Drive หรือ Brave ที่ทำหน้าที่คล้าย Chrome เป็นต้น

นอกจากนี้ Web3 ยังเป็น ระบบกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) อีกด้วย โดยปกติบน Web2 บางครั้งถ้าเราต้องมีการทำธุรกรรมบางอย่าง เช่น ซื้อของบน E-Commerce หรือเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ ซึ่งเราอาจจะต้องมีการจ่ายเงินผ่านแพลตฟอร์ม Third-party (เช่น PayPal, Omise) ทำให้ข้อมูลของเราจะไปอยู่บนแพลตฟอร์ม Third-party ไปจนถึงธนาคารปลายทางด้วย

แต่พอเป็น Web3 ระบบ Digital Wallet เราก็จะรู้ทันทีเลยว่ากระเป๋านั้นเป็นกระเป๋าเงินของเรา แล้วเราก็สามารถโอนเงินนั้นไปยังกระเป๋าเงินปลายทางได้โดยตรงเลย และในระหว่างทางข้อมูลของเราก็จะไม่รั่วไหลไปยังแพลตฟอร์มอื่นอีกด้วย ทำให้มีความปลอดภัยมากกว่าเดิม รวมถึงมีการตรวจสอบทุกอย่างได้

หรืออีกในกรณีหนึ่ง ใครหลายคนอาจเคยเจอปัญหา “เงินเรา ไม่ใช่เงินเรา” แม้เราจะมีเงินมากมายอยู่ในธนาคาร แต่เราก็ไม่สามารถใช้เงินนั้นได้ เพราะการโอนเงินในแต่ละวัน มักจะมีเพดานจำกัดอยู่เสมอว่าเราสามารถโอนเงินได้กี่บาทต่อวัน ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะอยากใช้เราของเรามากแค่ไหน แต่เราก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดี 

กลับกันถ้าเป็น Digital Wallet บน Blockchain ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะเงินเรา จะเป็นเงินเราอย่างแท้จริง ไม่มีเพดานจำกัดว่าเราจะใช้ได้วันละหลักแสนบาทเท่านั้น แต่เราจะมีอิสระในการใช้เงินเราอย่างแท้จริง

ข้อจำกัดของ Web3

ในตอนนี้แม้จะมีคนเริ่มใช้ Web3 แล้วก็ตาม แต่ Web3 ก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

  • เรื่องของประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายระบบ (Scalability) ทำได้ช้ากว่าการใช้ Cloud Server หรือเว็บไซต์แบบ Centralized ในปัจจุบัน เพราะด้วยความที่ Web3 เป็นระบบ Decentralized นั่นหมายความว่าการประมวลผลจะถูกแยกออกไปให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลกทำงาน ซึ่งจำเป็นต้องจ่ายค่าแก๊สให้คนทั่วโลกช่วยประมวลผลด้วย
  • ในปัจจุบันผู้ใช้งานก็ยังเข้าถึงการใช้งาน Web3 ได้ยาก เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้งาน Web Browser ในตอนนี้ยังคงมีการเชื่อถือและยึดติดการใช้บริการจากแพลตฟอร์ม Web2 มากกว่า ยังรวมไปถึงเรื่องของ Generation Gap หรือ Knowledge ในการใช้งานด้วย ซึ่งถ้าเป็นผู้ใช้งานใน Gen ก่อนหน้านี้ หลายคนก็อาจจะยังไม่เปิดใจใช้งาน Web3 หรือ Blockchain สักเท่าไร เพราะหลายคนมองว่ายังเป็นระบบที่ค่อนข้างซับซ้อนและเข้าใจยาก
  • การพัฒนา Web3 ยังทำได้ยากกว่าปกติ เพราะมีพื้นฐานเทคโนโลยีที่ค่อนข้างต่างกัน ทำให้ต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้จริง ๆ มาพัฒนา ซึ่งอาจทำให้มีต้นทุนที่สูงกว่าการพัฒนา Web2 แบบปกติอีกด้วย

ตอนนี้ยังถือว่าเป็นเพียงแค่ยุคเริ่มต้นของ Web3 ที่ส่วนใหญ่มักจะมีความเกี่ยวข้องกับบริการทางด้านการเงินและคริปโทเคอร์เรนซีเป็นหลัก และอาจจะยังไม่ค่อยเห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากนัก แต่ในอนาคตเราเชื่อว่า Web 3 จะมีการขยายตัวไปในทุก ๆ อุตสาหกรรมอย่างแน่นอน และมี Use Case ใหม่ ๆ ออกมาให้เราได้มีการเรียนรู้อยู่เสมอ เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเริ่มมีความเคลื่อนไหว เข้ามาลงทุน และทำงานด้วย Web3 กันมากขึ้นแล้ว

สรุปทั้งหมด

แน่นอนว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค Web3 เป็นสิ่งที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหมือนในยุค Web1 และ Web2 ที่เราเคยผ่านมาแล้วและกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งเราก็อาจเห็นแล้วว่าวิวัฒนาการของคำว่า Web3 มันมาเร็วขนาดไหน เมื่อก่อนเราอาจจะไม่เคยได้ยินคำว่า Web3, NFT, Blockchain หรือ Cryptocurrency เลย แต่ตอนนี้เราเห็นหรือได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

ดังนั้นเรื่องของ Web 3 ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะมีบทบาทสำคัญในการทำธุรกิจมากขึ้นในอนาคต ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะเริ่มศึกษาทำความรู้จักกับเรื่องนี้ไว้ก่อนนั่นเอง


ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

เราช่วยธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม

ติดตามข้อมูลการตลาด
Growth Hacking ได้เลยทีนี่
มากกว่า 2,000 บริษัทติดตาม The Growth Master ตอนนี้
ไปที่หน้า Subscribe