‘อยากรู้อะไรให้ Research’ เพราะไม่ว่าจะอยากศึกษา หาความรู้ รับชมวิดีโอ เพียงแค่ปลายนิ้วก็สามารถหาคำตอบและเข้าถึงข้อมูลได้ทันที และ DuckDuckGo ก็เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มด้าน Search Engine ที่เล็งเห็นความสำคัญด้าน Privacy Policy ซึ่งพวกเขายกให้ ‘ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน’ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง
จากสถิติล่าสุดพบว่า ภายใน 1 ปี (ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2020 ถึงปี 2021) ปริมาณการค้นหาเฉลี่ยรายวันของ DuckDuckGo ได้เพิ่มขึ้นถึง 73% นั่นทำให้เกิดความน่าสนใจว่า กลยุทธ์อะไร? ที่ทำให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้าแบบไม่มีถอย และพวกเขาได้ไอเดียอะไรจากผู้ใช้งานในแง่ของ Market Research (การวิจัยตลาดว่าผู้บริโภคต้องการอะไร)
และอีกหนึ่งเหตุผลที่เรายก DuckDuckGo ขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา เพราะอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ธุรกิจออนไลน์ หรือธุรกิจซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ในประเทศไทย จะต้องหันมาให้ความสำคัญด้านการคุ้มครองข้อมูลของผู้บริโภคมากขึ้น (หรือที่เรียกว่ากฎหมาย PDPA ย่อมาจาก Personal Data Protection Act) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2022 เป็นต้นไป ทำให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัวและถือเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่เราไม่อยากให้มองข้าม
วันนี้ The Growth Master จะพาไปไขความลับ ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ DuckDuckGo ผลักดันแพลตฟอร์มของพวกเขาให้เป็นที่รู้จักในวงการด้าน Search Engine ได้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่มีคู่แข่งค่ายใหญ่อย่าง Google ครองตลาดอยู่
DuckDuckGo คืออะไร? ทำไมถึงเลือกเส้นทางแตกต่างจาก Search Engine ค่ายอื่น
DuckDuckGo คือ แพลตฟอร์ม Search Engine ก่อตั้งเมื่อปี 2008 โดยใช้สัญลักษณ์ (logo) ที่เป็นรูป ‘เป็ด’ (หน้าตาเป็นมิตร จดจำง่าย) พวกเขาสร้างความแตกต่างบนเส้นทางออนไลน์ ด้วยการมุ่งเน้นความสำคัญด้าน Privacy Policy (นโยบายปกป้องสิทธิความเป็นส่วนตัวให้กับข้อมูลของผู้ใช้งาน) โดยจะไม่มีการ Tracking หรือนำข้อมูลของผู้ใช้งานไป Retargeting Ads อย่างแน่นอน (หมดกังวลเรื่องโฆษณากวนใจซ้ำ ๆ ได้เลย)
Search Engine คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับ ‘ค้นหาข้อมูล’ บนอินเทอร์เน็ต ด้วยคำค้นหาหรือ Keyword ที่สนใจ ซึ่งข้อมูลจะพบอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ รูปภาพ วิดีโอ เอกสาร รวมถึงไฟล์ข้อมูล (ลักษณะเหมือน Google นั่นเอง)
โดยทั่วไปแล้ว ทุก ๆ ครั้งที่มีการใช้งาน Search Engine เกือบทุกแพลตฟอร์มจะสร้างบอทสำหรับติดตามประวัติการค้นหา รวมถึงสถานที่และข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน เพื่อนำไปสร้างรายได้ให้กับบริษัท นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ DuckDuckGo เห็นถึงโอกาส และใช้เป็นจุดเริ่มต้น ในการสร้างแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง
ทำไม DuckDuckGo ถึงให้ความสำคัญในเรื่อง Privacy เป็นพิเศษ?
เหตุผลที่ทำให้ DuckDuckGo หันมาให้ความสำคัญในด้านความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ เริ่มจากวิสัยทัศน์ของ Gabriel Weinberg ที่ออกมาเล่าถึงแรงจูงใจในการก่อตั้ง DuckDuckGo ซึ่ง Gabriel เองเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวงการซอฟต์แวร์มานานและใช้ Google เป็นเครื่องมือในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ อยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ขัดใจก็คือ Google มีโฆษณาและสแปมตามมากวนใจเขาเยอะมาก ทำให้เกิดไอเดียว่าอยากจะสร้างเครื่องมือ Search Engine ที่ดีกว่า Google เพื่อดึงดูดใจผู้ใช้งานและธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยสูง
โดย DuckDuckGo ได้ใช้ข้อมูลจากแบบสอบถามเกี่ยวกับความเป็น Privacy ที่ DuckDuckGo เคยสำรวจมาแล้วตั้งแต่ปี 2008 เป็นส่วนประกอบการตัดสินใจเลือกเส้นทาง ซึ่งเขาพบว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ต้องการความเป็นส่วนตัวทางดิจิทัล แต่ไม่แน่ใจว่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหน หรือปกติแล้วควรจะมีการปกป้องข้อมูลส่วนตัวหรือไม่หากใช้งานอินเทอร์เน็ต
นั่นจึงเป็นโอกาสที่ทำให้ DuckDuckGo หันมาให้ความสำคัญในเรื่อง ‘ความเป็นส่วนตัว’ เป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้ใช้งานรับรู้ว่า ‘DuckDuckGo จะเป็นค่ายแรก ๆ ที่มอบความปลอดภัยให้ผู้ใช้งานในแบบที่ควรจะได้รับ’ โดยตั้งต้นจาก รู้ขอบเขต ว่าข้อมูลไหนควรเก็บ หรือวิธีการไหนที่จะไปทำลายความไว้วางใจของผู้ใช้งาน และนั่นเป็นเส้นทางการเติบโตของ DuckDuckGo
สถิติการเติบโต ก้าวเล็ก ๆ แต่มั่นคงของ DuckDuckGo
จากบทสัมภาษณ์ล่าสุด ของ Gabriel Weinberg ผู้ก่อตั้ง DuckDuckGo กล่าวว่าพวกเขายืนยันที่จะไม่ติดตามประวัติการค้นหา สถานที่ หรือข้อมูลของผู้ใช้งานใด ๆ ทั้งสิ้น และเขามั่นใจด้วยว่ากว่า 10% ของผู้ใช้งานในอเมริกาเลือกใช้ DuckDuckGo
ซึ่งด้านล่างนี้เป็นสถิติการเติบโตที่มั่นคงจากหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา พบว่า DuckDuckGo มีการเติบโตเรื่อย ๆ ถึงแม้จะมีส่วนแบ่งทางตลาดที่ไม่สูงมากก็ตาม (ปัจจุบันอยู่ที่ 0.66%) ซึ่งแบ่งออกเป็นผู้ใช้งาน 63.1% บนสมาร์ทโฟน และ 39.1% บนเดสก์ท็อป
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ผู้ใช้งาน DuckDuckGo กว่า 60% มีแนวโน้มที่เห็นด้วยกับ ‘กฎหมาย PDPA ’ และต่อต้านการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต เรียกได้ว่า สามารถดึงกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความเชื่อแบบเดียวกันเข้ามา ซึ่งในหัวข้อถัดไปเราจะมาดูว่า กลยุทธ์อะไร? ที่ทำให้ DuckDuckGo ยังคงเติบโตต่อเนื่องทุก ๆ ปี
กลยุทธ์ที่ทำให้ DuckDuckGo เติบโตถึง 73% ภายใน 1 ปี
หากพูดถึงความสำเร็จที่โดดเด่นของ DuckDuckGo ก็ต้องบอกว่าเมื่อปี 2020 ถึง 2021 (ช่วงระยะเวลาภายในหนึ่งปี) พวกเขาสามารถทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักและมีเรทการเติบโตที่มากถึง 73% พร้อมสถิติผู้ใช้งานรวมมากกว่า 100 ล้านครั้งต่อวัน
เราจะไปดูกันว่ากลยุทธ์อะไรที่ทำให้ DuckDuckGo กลายเป็นสตาร์ทอัพที่ได้รับผู้ใช้งานเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเทียบกับต้นทุนทางธุรกิจแล้ว ก็ถือว่าพวกเขาประสบความสำเร็จพอตัว
1. เลือกฟังเสียงตอบรับจากผู้ใช้งานผ่าน Quora (แพลตฟอร์ม Q&A)
‘ Test concept on real customers first ’
DuckDuckGo คิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ คือ การรับฟังเสียงจากผู้ใช้งานจริง ๆ เพราะข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นที่เป็นกลางนั้นจะสามารถนำไปแก้ปัญหาให้กับธุรกิจได้ พวกเขามองว่าผู้ใช้งานเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด
โดย Weinberg (CEO’s DuckDuckGo) ใช้วิธีการสร้างแอคเคาท์ส่วนตัวของเขาเองผ่าน Quora (แพลตฟอร์ม Q&A ระดับโลกที่เปิดให้ตั้งคำถามและตอบในประเด็นที่คอมมูนิตี้นั้น ๆ สนใจ) เพื่อผลักดันกระแสของความเป็น Privacy ในโลกออนไลน์และรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้งานโดยเฉพาะ
เขาเริ่มจากการตั้งคำถามที่ดีอย่างเช่นคำถามที่ว่า Tracker ที่ซ่อนอยู่ตามเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความเสี่ยงได้อย่างไร? และหลังจากนั้นก็มีผู้ใช้งานจำนวนมากเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น และคำตอบส่วนใหญ่ก็ได้กลายเป็นแนวโน้มที่ทำให้ความเป็นส่วนตัวยิ่งสำคัญมากขึ้นในสายตาผู้ใช้งาน ยกตัวอย่าง เช่น
- DuckDuckGo ไม่มีอัลกอริทึมเข้ามาปิดกั้นข้อมูลที่พวกเขาต้องการหรือเรียกว่า Filter Bubble Effect ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อมูลที่ค้นหาผิดเพี้ยน ไม่ตรงกับความเป็นจริงมากนัก
- DuckDuckGo มี Smarter Encryption ที่ทำให้การเชื่อมต่อเข้าถึงเว็บไซต์ ผ่านได้ด้วยรหัส (HTTPS) เท่านั้น ซึ่งระบบนี้จะช่วยป้องกันข้อมูลของผู้ใช้งานจากแฮกเกอร์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังรวมถึงระบบ Password managers ที่ช่วยจัดการรหัสผ่าน ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับ LastPass, Dashlane หรือ 1Password ได้แบบ Multiple browsers อีกด้วย
ถือว่ากลยุทธ์ที่ DuckDuckGo ชวนผู้ใช้งานมาแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ และตอบประเด็นที่ช่วยคลายความสงสัยให้กับ ‘ผู้ใช้งานหน้าใหม่’ ทำให้ DuckDuckGo ได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเส้นทาง Search Engine ที่เข้าใจผู้บริโภคนั่นเอง
2. สร้างรายได้ผ่าน Keyword และ E-Marketplace
DuckDuckGo เชื่อว่าการได้รับความเป็นส่วนตัวบนโลกอินเทอร์เน็ตควรเป็นเรื่องง่าย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเข้าร่วมเป็น Partner กับ ผู้ให้บริการเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) มากมาย เพื่อให้ผู้ใช้งานมีตัวเลือกมากที่สุดไม่ว่าจะเป็น Chrome extension รวมถึง Safari, Firefox, Bing, Opera, Yahoo! และค่ายใหญ่อย่าง Microsoft Edge (รองรับการใช้งานในไทย)
ซึ่งการให้บริการผ่านโปรแกรมค้นหาเว็บที่หลากหลายนอกจากจะทำให้ผู้ใช้งานสะดวกแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ DuckDuckGo ลงโฆษณาได้หลายช่องทางมากขึ้นผ่าน Keyword Advertising (โดยระบุไว้ว่า Ads ที่ผู้ใช้งานพบจะเป็นเพียง Keyword Ads ปกติเท่านั้นซึ่งจะไม่มีการ Tracking ใด ๆ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น)
นอกจากนี้ DuckDuckGo ยังสร้างรายได้จากแหล่ง E-Marketplace ที่เป็นสื่อกลางซื้อขายออนไลน์ โดยเข้าร่วมกับพันธมิตรอย่าง eBay และ Amazon (ณ ปัจจุบัน) ที่หากผู้ใช้งานค้นหาและซื้อสินค้าผ่านทาง DuckDuckGo เองก็จะได้รับค่าคอมมิชชันทันที
เรียกได้ว่าถึงแม้ DuckDuckGo จะเป็น Search Engine ที่ไม่ใหญ่โตนัก แต่พวกเขากลับมุ่งมั่นเลือกสร้างรายได้จากความสนใจผ่านคำค้นหาต่าง ๆ ที่มาจากผู้ใช้งานโดยตรง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่หมุนเวียนอยู่แล้วบนโลกออนไลน์ และวิธีการดังกล่าวพวกเขามั่นใจว่าจะไม่เอาเปรียบผู้บริโภคอย่างแน่นอน
3. สร้างรายได้บนพื้นที่ของตนเอง (DuckDuckGo Ads)
DuckDuckGo เผยว่าพวกเขาสร้างรายได้ด้วยวิธีการรับโฆษณา (DuckDuckGo Ads) บน ‘พื้นที่ของพวกเขาเอง’ โดยข้อมูลที่นำมาใช้นั้นมาจากผลสำรวจแบบ National surveys (แบบสอบถาม) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับการยินยอมแล้วจากผู้ใช้งาน
โดยจะทำการโฆษณาผ่านอินเทอร์เฟซและเครือข่าย Bing Ads ซึ่งหมายความว่าสามารถตั้งค่า Keyword ใน Bing Ads เพื่อกำหนดผลค้นหาได้เลย โดย DuckDuckGo เผยว่า Keyword Ads จะเป็นแบบธรรมดาที่แสดงผลในหน้าแรก (SERP) และจะไม่มีการติดตามหรือสแปมใด ๆ ทั้งนั้น
เรียกว่าเส้นทางความสำเร็จของเขาถูกดำเนินไปตามแนวคิดแบบ Privacy Growth Mindset ที่สนับสนุนความเป็นส่วนตัว แต่ก็ยังพร้อมจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยมีในวงการนั้น ๆ (ในที่นี้คือวงการ Search Engine) นั่นเอง
4. ข้อมูลจาก Market Research ที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นจุดแข็ง
หากพูดถึงในมุมของ Market Research หรือการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้งาน ก็ต้องบอกว่าเข้าทาง DuckDuckGo เพราะพวกเขามีข้อมูลจากคำค้นหาและเทรนด์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานแบบเรียลไทม์อยู่แล้ว ทำให้ DuckDuckGo ไม่พลาดโอกาส เลือกนำวิธีการสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภค (หรือที่เรียกว่า Observation หนึ่งในกลยุทธ์ Market Research) เข้ามาใช้ทันที
พวกเขาพบว่ากว่า 5 อันดับแรกในเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งาน DuckDuckGo ให้ความสนใจพิเศษ จะเป็นเว็บไซต์ข่าวด้านเทคโนโลยีและความเป็นไปในโลกดิจิทัล เช่น GitHub แพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบทีม หรือแม้กระทั่ง YCombinator เว็บไซต์ที่เป็นแหล่งเรียนรู้โดยเฉพาะสำหรับ Startup ด้านเทคโนโลยี
ขณะที่ค่ายร่วมวงการ Search Engine อย่าง Bing กลับพบว่า ผู้ใช้งานของพวกเขามีพฤติกรรมการค้นหาบนเว็บไซต์ผ่านโปรแกรมค้นหาแบบปกติทั่วไป เช่น หาข้อมูลผ่าน Reddit, Baidu หรือ Google ซึ่งจะไม่ได้มีความเฉพาะเจาะจงเหมือนผู้ใช้งานของ DuckDuckGo (สถิติ Website Traffic ของ DuckDuckGo พบว่ากว่า 93% ถูกใช้งานโดยตรงแบบไม่ผ่านโปรแกรมค้นหาอื่น ๆ)
นั่นทำให้ DuckDuckGo สร้างความแตกต่างด้วยจุดแข็งของตัวเองอย่างความเป็น Privacy ได้ชัดเจนขึ้น ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์เสริมใหม่ ๆ ที่มีการอัปเดตเพื่อปกป้องข้อมูล Coding ต่าง ๆ สำหรับนักพัฒนาหรือธุรกิจที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง (Democratisation of Data) เรียกว่าสามารถครองใจผู้ใช้งานที่อยู่ในสายเทคโนโลยีได้โดยเฉพาะ
5. สร้างชื่อเสียงจากการ ‘โปรโมตแบบออฟไลน์’
เมื่อปี 2011 DuckDuckGo ได้บริจาคเงินสนับสนุนกว่า 3,650,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรหรือวิจัยที่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการยกมาตรฐานความน่าเชื่อถือทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น องค์กร CITP, CDT, TechFreedom เรียกว่าลงทุนเพื่อแสดงจุดยืนของแบรนด์
ซึ่งอีกวิธีการที่น่าสนใจก็คือ DuckDuckGo สร้าง Billboard ป้ายโฆษณาหลายแห่งทั่วโลก เพื่อส่งข้อความของแบรนด์ (ในที่นี่รวมถึงแคมเปญต่าง ๆ ด้วย) แน่นอนว่ามีบริษัท Search Engine หลายค่ายที่นึกไม่ถึง
DuckDuckGo เรียกความสนใจด้วยการดึงคู่แข่งค่ายใหญ่อย่าง Google (ที่มีการใช้ SEO Technical รอบด้านกว่า) เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ DuckDuckGo กลายเป็นที่รู้จักไปโดยปริยาย ซึ่งประเด็นดังกล่าว เราจะยกมาเป็นกรณีศึกษาในหัวข้อถัดไปกัน
ประเด็นชวนคิดระหว่าง DuckDuckGo vs Google
ประเด็นน่าสนใจระหว่างคู่แข่งที่มีความต่างด้านสถิติอย่าง Google ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ DuckDuckGo มีจุดยืนอย่างทุกวันนี้ เพราะถ้าเทียบมูลค่าทางการตลาดในปัจจุบัน (ปี 2022) ก็ต้องยอมรับว่าค่ายใหญ่อย่าง Google ยังคงถือครองอันดับหนึ่งในตลาด Search Engine ด้วยเรท 88.28% ในขณะที่ DuckDuckGo อยู่ที่ 0.66%
เรียกว่า Google เป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก ด้วยปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่พวกเขาใช้เพื่อสร้างรายได้ก็คือ ใช้ประโยชน์จากการ Tracking ผู้ใช้งานให้รอบด้านมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น On-page SEO หรือ Off-page SEO (หากอยากทราบว่า SEO หรือ Search Engine Optimization คืออะไร? สามารถอ่านได้ที่บทความนี้)
ทางฝั่ง Google เองขึ้นชื่อเรื่องการทำ SEO อย่างมาก เพราะพวกเขามี Backlink และ Keyword Research ต่าง ๆ คอย ‘สนับสนุนให้ธุรกิจและผู้แสวงผลกำไร’ ได้โปรโมทเว็บไซต์ตามต้องการผ่านเครื่องมือ Google Ads
หากเทียบกับ DuckDuckGo ที่ไม่มีการ Tracking ผู้ใช้งาน ก็ต้องบอกว่าแนวคิดของพวกเขาโดดเด่นด้านการ ‘สนับสนุนสิทธิและความเป็นส่วนตัว’ มากกว่า ทั้ง ๆ ที่ Google เป็นอันดับหนึ่งในวงการ แต่กลับไม่ให้ความปลอดภัยด้านข้อมูลของ Users เลย
ซึ่ง Gabriel คิดตั้งแต่แรกแล้วว่า หากจะสร้างแพลตฟอร์มให้เป็นที่รู้จัก (แบบไม่สนค่ายใหญ่อย่าง Google) แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูกค้ารับรู้ ก็คือการ ‘โปรโมตแบบออฟไลน์ ด้วยจุดยืนที่แตกต่าง’ ซึ่งเป็นวีรกรรมที่ต้องบอกว่ามั่นใจสุด ๆ เพราะเขาเลือกวิธีการที่รู้อยู่แก่ใจว่า Google จะโต้ตอบไม่ได้
DuckDuckGo สร้างป้ายโฆษณา (Billboard) กว่า 2,245 ป้าย เพื่อท้าทาย Google เมื่อช่วงต้นมิถุนายน ปี 2020 ด้วยข้อความที่ตรงไปตรงมาอย่าง “ Google tracks you. We don’t ”
ป้ายโฆษณากระจายไปทั่วอเมริกา ซึ่ง DuckDuckGo เลือกลงทุนไปมากกว่า 7000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแสดงป้ายใจกลางเมืองใหญ่อย่างซานฟรานซิสโก้ ที่รู้กันดีว่าเป็นแหล่งของผู้ใช้งานสายเทคโนโลยีและเป็นพนักงานของฝั่ง Google เกือบทั้งหมด!
ต้องบอกว่าข้อความแซะบวกกับโลโก้เป็ดที่เป็นมิตร ให้ความรู้สึกกวนและท้าทายจริง ๆ
สรุปทั้งหมด
เราอยู่ในยุคที่ทุก ๆ การใช้งานมีความเสี่ยงที่ ‘ข้อมูลส่วนตัว’ จะถูกเปิดเผย ดังนั้นจึงอยากให้ธุรกิจออนไลน์ หรือธุรกิจซอฟต์แวร์ต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญในด้านนี้กันมากขึ้น เพราะ PDPA กฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น จะมีผลบังคับใช้ในไทย ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2022 นี้เป็นต้นไป (หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง) ดังนั้นการศึกษากลยุทธ์จาก DuckDuckGo ที่ ‘ปกป้องสิทธิข้อมูลของผู้บริโภค’ นี้เองจะทำให้คุณ และธุรกิจได้มีการเตรียมความพร้อมไว้เป็นอย่างดี
และถึงแม้ DuckDuckGo จะไม่ใช่อันดับหนึ่งในวงการ แต่กรณีศึกษานี้ในบทความนี้ ก็จะเป็นส่วนที่ ‘ขับเคลื่อนโลกดิจิทัล’ ให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน