ดังนั้นวันนี้ The Growth Master จะพาคุณไปรู้จักกับ SEO ฉบับอัปเดตปี 2023 แบบหมดเปลือกว่าคืออะไร, ทำไมต้องทำ SEO, มันมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนกับเว็บไซต์ของเรา และจะทำให้ติดหน้าหนึ่งบน Google ต้องทำอย่างไรบ้าง? พร้อมทั้งดูเทรนด์ใหม่มาแรงสำหรับการทำ SEO พาเว็บไซต์พุ่งทะยานหลังยุคโควิด 2023 นี้กัน
ในการทำ Keyword Research อย่างน้อยเราควรรู้จักและเลือกใช้คีย์เวิร์ดให้เป็นสำหรับการทำ SEO เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เราอยากให้พวกเขาค้นหาเราเจอ คีย์เวิร์ดของเราจึงจะสามารถเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง และเพิ่มโอกาสที่จะก้าวไปสู่หน้าแรกบน Google อีกด้วย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท มีดังนี้
Keyword Research เริ่มต้นจากการที่คิดว่า “คนที่มีโอกาสจะมาลูกค้าจะค้นหาธุรกิจหรือเว็บไซต์ของคุณอย่างไร” จากนั้นคุณสามารถใช้ Keyword Research Tools เพื่อขยายแนวคิดเหล่านั้นและช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดได้มากขึ้น
Keyword Research เป็นกระบวนการง่าย ๆ แต่ต้องรู้ 2 สิ่งนี้ก่อน จึงจะทำได้จริงและทำออกมาได้ดี
คุณต้องมีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมของคุณก่อน
คุณต้องเข้าใจว่า Keyword Research Tools ทำงานอย่างไร และจะใช้ประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร (ซึ่งเราจะพูดถึงในบทความนี้)
เราจะมาอธิบายถึงขั้นตอนในการทำ Keyword Research เพื่อช่วยให้คุณรู้คำตอบ 2 ข้อด้านบน และทำการค้นหาคีย์เวิร์ดกัน มีอะไรบ้างไปติดตามกันต่อเลยค่ะ
1. ทำการระดมไอเดีย “Seed Keyword”
Seed Keyword เป็นรากฐานของกระบวนการทำ Keyword Research มันสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche Market) ได้ และช่วยดูได้ว่าคู่แข่งของเราคือใคร ซึ่ง Keyword Research Tools จะมีการถามเสมอว่า Seed Keyword ของคุณคือคำไหน เพื่อที่สามารถรวบรวมไอเดียคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องจำนวนมากมาให้คุณได้
สำหรับเครื่องมือที่เราจะมาแนะนำให้คุณได้รู้จักกันในบทความนี้ บางคนก็อาจจะคุ้นเคยกันมาบ้างแล้ว แต่สำหรับมือใหม่สาย SEO ที่ยังไม่รู้จักเครื่องมือในการทำ Keyword Research เราจะพาคุณไปทำความรู้จักพร้อม ๆ กันเลย
Google Trends
หนึ่งในเครื่องมือดี ๆ จาก Google บริษัท Search Engine ยักษ์ใหญ่ที่ครองแชมป์คนใช้มากที่สุดในโลก ที่สามารถช่วยวิเคราะห์แนวโน้มการค้นหาคีย์เวิร์ดจากเทรนด์ที่กำลังยอดนิยมต่าง ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งผ่าน Google Search มาให้เราได้ดูกัน อีกทั้งยังมีความน่าเชื่อถือและสามารถดูข้อมูลเจาะลึกได้ตามประเทศหรือภูมิภาค รวมถึงลงลึกไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ด้วย
อยากทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ Google ต้องทำอย่างไร?
การที่เว็บไซต์ของเราจะติดอันดับหน้าแรกของ Google ได้ เราจะต้องทำการปรับแต่งให้ดี เพื่อให้ Google ถูกใจจนต้องเอาขึ้นไปติดบนหน้า SERP ซึ่งจะทำได้ทั้งแบบ On-page SEO และ Off-page SEO
On-page SEO
On-page SEO (หรือ On-site SEO) คือ ปัจจัยภายในที่อยู่บนเว็บไซต์ของเรา ที่สามารถสร้างความเป็นมิตรและความเข้าใจต่อทั้ง Search Engine และผู้ที่เข้ามาค้นหาคำตอบ ซึ่งการทำ On-page SEO นั้นถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะมันช่วยให้ Search Engine เข้าใจว่าเว็บไซต์หรือคอนเทนต์ของเราว่ากำลังพูดถึงอะไรอยู่ และเชื่อมโยงกับคีย์เวิร์ดที่ผู้คนกำลังหาหรือไม่ รวมไปถึงส่งผลให้เกิดการทำ Off-page SEO ต่อไปอีกด้วย
หลักเกณฑ์ของ Google ที่ใช้วัดในการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าหนึ่งได้เร็วขึ้น คือ Google มัก Concern เกี่ยวกับคุณภาพของคอนเทนต์ (Quality) เป็นหลัก เพื่อดูว่าเนื้อหาของเราตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุดหรือไม่ ดังนั้นนี่คือ 3 สิ่งที่คุณควรโฟกัสมากที่สุด
แต่ถ้ามีจำนวน Traffic ไหลเวียนบนเว็บไซต์ตลอด Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์ของเราเป็นที่รู้จักและดูน่าเชื่อถือ จนพาเว็บไซต์ของเราขึ้นไปติดอันดับได้นั่นเอง
เทคนิคในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับ SEO
สำหรับเทคนิคการทำให้เว็บไซต์สามารถเอาชนะกฎเกณฑ์ของ Google ไปได้ วันนี้ The Growth Master ก็มีเทคนิคเพิ่มเติมสำหรับการปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อทำให้มีคนค้นหาเจอได้ง่ายขึ้น และติดอันดับบนหน้า Google มาฝาก ซึ่งจะประกอบไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
Title tag คือ ชื่อเว็บเพจที่เรากำลังตามหา และเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดให้คนมักคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งมันจะแสดงอยู่บนหน้า SERP ของ Search Engine ถ้าพวกเขาเจอคีย์เวิร์ดที่กำลังตามหาบนชื่อเว็บไซต์คุณ แน่นอนว่าคุณจะได้รับ Traffic เหล่านั้นอย่างแน่นอน
Meta-Description ผู้ช่วยคนสำคัญ
Meta-Description คือ ส่วนที่อยู่ถัดมาจาก Title tag นั่นเอง ถ้าเกิดว่าในส่วนของ Title tag ไม่มีคีย์เวิร์ดที่คนกำลังตามหา แต่ใน Meta-description มี ก็มีส่วนช่วยทำให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกได้เหมือนกัน
Original Content คือ คอนเทนต์ที่ไม่ซ้ำหรือคัดลอกเนื้อหาของเว็บไซต์อื่นมาใส่ในเว็บไซต์ตัวเอง แต่เราสามารถอ้างอิงเนื้อหาของเว็บไซต์อื่นมา (กรณีการอ้างอิง จะเกี่ยวข้องกับการทำ Backlink ซึ่งทำให้ SEO ของเราดีขึ้นด้วย) แล้วสร้างเนื้อหาขึ้นมาและเขียนด้วยภาษาของเราเอง เพราะถ้า Search Engine อย่าง Google จับได้ว่าคอนเทนต์ของเราไปเหมือนกับคอนเทนต์ของเว็บไซต์อื่น ก็อาจทำให้ค่า SEO ของเราต่ำลงได้
ใช้ Internal Links ในหน้าเพจ
Internal Link คือ ลิงก์ภายในเว็บไซต์ของเราเอง ซึ่งจะทำให้เกิดการลิงก์ไปยังหน้าเพจต่าง ๆ จนเกิดเป็น Traffic วนเวียนอยู่ในเว็บไซต์และพวกเขาก็ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของเราได้นานขึ้น ทำให้เว็บไซต์ของเรามีคุณภาพและส่งผลต่ออันดับด้วยเช่นกัน
เพิ่ม ALT Text Tags
หากบนเว็บไซต์ของเรามีรูปภาพประกอบเนื้อหา ALT Text Tags คือ คีย์เวิร์ดที่อธิบายเกี่ยวกับรูปภาพเหล่านั้น เมื่อมีคนมาพิมพ์หาคีย์เวิร์ดเหล่านั้น ก็มีโอกาสทำให้พวกเขามาเจอเว็บไซต์ของเรามากขึ้นผ่านรูปภาพที่เราใส่ ALT Text Tags ไป
ในมุมของ On-page SEO สิ่งที่อยู่ในเชิงของ Technical อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่ถ้าคุณเข้าใจในหัวใจหลักของ Google แล้ว คุณจะมองเห็นแบบทะลุปรุโปร่งเลยว่า สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือ การที่ลูกค้า Search หาคำตอบแล้วมันใช่ มันตรงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
ทั้งหมดนี่แหละคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอยู่บนหน้าแรกของ Google อย่างยั่งยืน และนำไปสู่การทำ Off-page SEO ขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ของเรา
Off-page SEO
Off-page SEO (หรือ Off-site SEO) คือ การใช้ปัจจัยภายนอกเข้ามาทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น การใช้ Backlink (หรืออาจเรียกว่า Link Building) เป็นลิงก์ที่เว็บไซต์อื่นแปะไว้บนหน้าเว็บไซต์ของเขาเพื่อให้ย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของเรา เป็นต้น
DoFollow Link คือ ลิงก์ที่ช่วยให้อันดับ SEO เว็บไซต์บนหน้า SERP ดีขึ้น ซึ่งเป็นลิงก์ที่ Google มองเห็น ให้คุณค่า และมอบความรักให้แบบเต็ม ๆ ไปเลย ส่วนมากจะเป็นลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ที่มี Authority สูงและแนบ Backlink ของเราไป ซึ่งมองในมุมโค้ด HTML จะมีลักษณะดังนี้
NoFollow Link
NoFollow Link คือ ลิงก์ที่ไม่ได้ช่วยให้อันดับ SEO เว็บไซต์บนหน้า SERP ดีขึ้น เป็นลิงก์ที่ไม่ได้รับความรักและไม่มีค่า ไม่ได้อยู่ในสายตาของ Google เลย (เป็นลิงก์ที่น่าเศร้ามาก) ซึ่งถ้าเรามองด้วยตาเปล่าแล้ว มันอาจเป็นลิงก์ปกติ แต่ถ้าเรามองในเชิงเทคนิคในแท็ก HTML ลิงก์ของ NoFollow จะมีลักษณะดังนี้
ถ้าพูดถึงการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มสร้างจากศูนย์ ถึงแม้ว่าคุณจะทำตามทุกขั้นตอนครบแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องระยะเวลากว่าจะติดหน้าหนึ่งบน Google ได้ก็อย่างน้อย 6 เดือน ที่คุณจะสามารถคาดหวังผลลัพธ์ได้
ซึ่งจริง ๆ แล้วการซื้อ Backlink จากเว็บไซต์สายเทา เราไม่เถียงว่ามันสามารถช่วยเรื่องอันดับของคุณได้จริง แต่มันทำได้เพียงในระยะสั้นเท่านั้น หากต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับในระยะยาวไม่เป็นผลดีแน่นอน เพราะถ้า Algorithm ของ Google ตรวจเจอเมื่อไร เว็บไซต์ของเราก็จะมีคะแนน SEO ติดลบลงไป จากที่เคยใกล้จะติดแล้ว อันดับก็ตกฮวบไปเลย ซึ่งนั่นก็เรียกว่าไม่เป็นผลดีต่อเว็บไซต์ที่ต้องการทำธุรกิจในระยะยาวแน่นอน
การลองปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้โหลดได้เร็วขึ้น มีส่วนอย่างมากในการเพิ่มคะแนน SEO ในปีนี้ โดยคุณสามารถเข้าไปเช็คค่าความเร็วของเว็บไซต์ก่อนได้ที่ Google Page Speed Insight
เมื่อพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไปอยู่บนโทรศัพท์กันมากขึ้น การออกแบบเว็บไซต์ให้มีความ Mobile Freindly ก็เป็นอีกส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีและส่งผลต่อภาพรวม SEO ได้เช่นกัน
2. EAT เทคนิคในการสร้าง “Page Quality Rating” ที่ Google ชอบ
อีกหนึ่งเทรนด์ในการทำ SEO ของปี 2023 ที่สำคัญไม่แพ้เรื่องของ Page Experience นั่นก็คือเรื่องการเขียนคอนเทนต์ให้มีลักษณะ EAT ให้มากที่สุด
EAT คือหนึ่งในปัจจัยที่ Google ให้ความสำคัญในการจัดลำดับเว็บไซต์สำหรับการทำ SEO สายคอนเทนต์โดย EAT ย่อมาจาก
E - Expertise คือ ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญ ของเนื้อหาคอนเทนต์นั้น
A - Authority คือ ความเป็นเจ้าของผลงานคอนเทนต์ หรือ บทความนั้น ๆ (การให้ความสำคัญกับนักเขียน)
สร้าง Type of Content สำหรับเว็บไซต์ให้ชัดเจน ไม่เล่าเรื่องมั่ว ควรเจาะจงในหัวข้อที่เป็นของธุรกิจคุณเป็นหลัก (เช่น The Growth Master เน้นเรื่องเทคโนโลยีและการสร้างธุรกิจดิจิทัล, WIRTUAL เน้นเรื่องออกกำลังกายและได้คริปโทฯ)
ให้ความสำคัญกับ Content Writer ด้วยสร้าง Link รวมผลงาน, ประวัติของผู้เขียนคอนเทนต์นั้น ๆ
เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ผ่านหลักเกณฑ์ T - Trust (ความน่าเชื่อถือ)
ปัจจุบันเทคโนโลยีสำหรับการค้นหาด้วยเสียง เริ่มมีอิทธิพลต่อการใช้อินเทอร์เน็ตของเรามากขึ้น การใช้เครื่องมืออย่าง Google Assistant, Siri กลายเป็นสิ่งที่กำลังได้รับความนิยมเพราะทำให้การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ สะดวกสบายมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่หลายเว็บไซต์ละเลยที่จะให้ความสำคัญในส่วนนี้ไป
4. Google AI กับการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะมาอยู่ใน Search Engine
จริง ๆ แล้วหากใครที่ตามข่าวในด้านการทำ SEO อยู่เป็นประจำน่าจะพอทราบว่า Google เองก็มักจะใช้เทคโนโลยี AI ในการพัฒนา Search Engine อยู่เป็นประจำเพื่อให้ระบบมีความอัจฉริยะขึ้นเสมอ
ตัวอย่างที่โด่งดังเช่นในเรื่อง การที่ Google ประกาศเปิดตัวอัลกอริทึม 'BERT' ทั่วโลก เมื่อปลายปี 2019 ซึ่งมันคือ Google (AI) Algorithm ที่ในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้มันได้พัฒนาบนพื้นฐานของเทคโนโลยี AI Neural Network เพื่อให้ระบบอัลกอริทึมเข้าใจภาษามนุษย์ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น (จะมีความเกี่ยวข้องกับข้อที่แล้ว Voice Search พอสมควร)
เป็นเหตุให้การนำเสนอข้อมูลในหน้า SERP ก็จะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นตามไปด้วย เพราะด้วยระบบของ BERT Algorithm ตัวนี้เองจะค่อนข้างชอบกับการที่เว็บไซต์มี Long Tail Keyword จนแทบจะเรียกได้ว่าในปี 2023 นี้ถ้าอยากทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ คงต้องลืม Short Keyword ไปได้เลย
มาดูตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นกันค่ะจริง ๆ แล้ว BERT Algorithm จะให้ความสำคัญกับบริบทของคำค้นหามากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในรูปภาพด้านล่างที่ประโยคที่ใช้ค้นหาคือคำว่า “Math practice books for adults” จากแบบเดิม Algorithm จะให้ความสำคัญกับคีย์คำว่า ‘Math practice book’ ก่อนเป็นอันดับแรก เลยทำให้ผลการค้นหาแสดงผลแค่ หนังสือแบบฝึกหัดเลขแบบกว้าง ๆ
แต่ถ้าเป็น BERT Algorithm ระบบ AI ของ Google ก็จะให้ความสำคัญกับคำว่า ‘for adults’ ที่เป็นคีย์เวิร์ดที่แสดงถึงบริบทของการค้นหาด้วย ทำให้ผลลัพธ์การค้นหาก็จะออกมาแม่นยำขึ้นดังในรูป (ระบบจะแสดงผลหนังสือแบบฝึกหัดเลข สำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ)
ซึ่งหลังจากที่ BERT ได้ปล่อยออกมาเป็นหนึ่งในระบบ Algorithm ของ Google ต้องยอมรับว่าพลิกโฉมการทำ SEO จากรูปแบบก่อน ๆ ไปเยอะพอสมควรและในปี 2023 นี้ BERT Algorithm ก็ยังคงมีความสำคัญต่อการทำ SEO มากขึ้นด้วย
ดังนั้นเรื่องของ AI Neural Network หรือเทคโนโลยี AI สำหรับการค้นหาบน Google ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนทำ SEO ต้องหมั่นอัปเดตข้อมูลหรือข่าวสารอยู่ตลอดเวลาและเป็นเทรนด์ที่ขาดไม่ได้ของ SEO ปี 2023
5. Zero Position ได้รับความนิยมมากขึ้นและสร้างความได้เปรียบให้ธุรกิจได้จริง
หากใครที่มีประสบการณ์อยู่ในแวดวง SEO หรือสายงานคอนเทนต์คุณน่าจะรู้ถึงความหมายของ Zero Click หรือ Zero Position กันเป็นอย่างดี (และน่าจะรู้ด้วยว่าสร้างความได้เปรียบให้ธุรกิจอย่างไร) ใช่แล้วค่ะ เทรนด์ในเรื่องนี้เราจะพูดกันถึง Featured Snippet
Featured Snippets คือ รูปแบบหนึ่งของผลการค้นหาที่จะแสดงผลในหน้า SERP ในลักษณะของกล่องคำตอบที่จะปรากฏคำตอบของคำค้นหาที่เราเสิร์จ รวมไปถึงรูปภาพที่เกี่ยวข้องโดยที่ไม่ต้องเข้าไปที่เว็บไซต์
โดย Featured Snippet จะมีชื่อเล่นที่นักการตลาดจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า Position Zero หรือ Zero Clicks Position เพราะว่าถือเป็นตำแหน่งการค้นหาอันดับ 0 (มากกว่าอันดับ 1) อยู่บนสุดของหน้า SERP แบบเด่น ๆ ไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ก็หาคำตอบของเราเจอ แต่ก็ต้องแย่งกันหน่อย เพราะตำแหน่งนี้อนุญาตให้มีเจ้าของได้เพียงเว็บไซต์เดียว (แต่เปลี่ยนกันได้ทุกเมื่อ)
ซึ่งแน่นอนว่าการที่เว็บไซต์ของคุณได้อยู่ในตำแหน่ง Zero Click Positions ก็จะทำให้คุณสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจมากมายในอนาคต เพราะพฤติกรรมของผู้ใช้งาน Google ส่วนใหญ่เวลาค้นหา ก็จะเลือกอ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ได้ Featured Snippet กว่า 50% ซึ่งมากกว่าทั้งแบบ Organic หรือ Paid Ads (SEM) ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าถามว่าแล้วเรื่อง Zero Click Positions หรือ Featured Snippet มันสำคัญอย่างไรกับการทำ SEO คำตอบก็ง่าย ๆ คือ “ถ้าคุณอยากเว็บไซต์ขึ้นไปติด Featured Snippet ก็ต้องอาศัยการทำ SEO ล้วนๆ” แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Algorithm ของ Google จะเป็นคนคัดเลือกเว็บไซต์เอง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
โดยข้อนี้ The Growth Master เลยขอมาแชร์เทคนิคง่าย ๆ ในการพาเว็บไซต์ติด Featured Snippet ฉบับปี 2023 กันค่ะ
อยากมี Featured Snippet ต้องติดหน้าแรกก่อน! – กฏข้อแรกของการจะอยู่ใน Zero Click Position ถ้าหน้าแรกยังไม่ติด Featured Snippet คงต้องหมดลุ้นไปเลย และมันก็จะย้อนกลับมาถึงการทำ SEO ทั้งหมดที่เรากล่าวมาในบทความนี้ เพราะฉะนั้นหากเว็บไซต์คุณยังไม่ได้มีการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพมากพอ ก็เป็นเรื่องยากที่จะติด Featured Snippet ในปีนี้
เริ่มการปรับปรุง Keyword ให้เป็น Long Tail Keyword – จากการสำรวจของ SEMRush พบว่าการมี Long Tail Keywordที่ละเอียด ๆ จะยิ่งช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีสิทธิ์ไปอยู่ในตำแหน่ง Zero Click Position มากขึ้น เช่นถ้าเราพิมว่า “ไอโฟน13” Google ก็จะแสดงผลเว็บไซต์มาเยอะแยะไปหมด ซึ่งก็จะเป็นเรื่องกว้าง ๆ (ไม่มี Featured Snippet ด้วย) แต่ถ้าเราลองพิมว่า “ไอโฟน13 ราคาเปิดตัว” ก็จะมี Featured Snippet ขึ้นมาทันที ดังนั้นลอง Research Keyword เยอะ ๆ และหา Long Tail Keyword ที่เว็บไซต์เราพอแข่งขันได้ ก็เป็นเทคนิคที่ดีวิธีหนึ่ง
ตั้งชื่อ Tag Heading ให้เป็นประโยคคำถาม – กว่า 77% ของเว็บไซต์ที่แสดงผลบน Zero Click Position ส่วนใหญ่มักแสดงผลเมื่อมีการค้นหาด้วยประโยคคำถาม ดังนั้นหน้าที่ของคุณก็คือการใส่ Tag Heading บนหน้าเว็บให้ตรงกับบริบทคำถามด้วยคำว่า คืออะไร? ทำไม? วิธีทำ ขั้นตอน จะเป็นผลดีต่อการทำ SEO ของคุณมากกว่าค่ะ
คุณภาพของคอนเทนต์ก็สำคัญ - เมื่อ Zero Click Position เป็นตำแหน่งที่จะ Preview ส่วนหนึ่งของเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณ เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้พวกเขากดเข้ามาอ่านต่อ ก็คือการใส่ใจกับการเขียนบทความให้มากขึ้น เนื้อหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ต้องเขียนอธิบายให้ชัด เคลียร์ แต่ไม่ยืดเยื้อและไม่สั้นจนเกินไป เพราะถ้าคอนเทนต์ในเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ “ดีจริง” และทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ Featured Snippet ก็สมควรเป็นตำแหน่งของเว็บไซต์คุณแน่นอน
6. อยากทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ Video Content ก็สำคัญ
ในปี 2021 ทาง Google ก็ได้ทำการประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคมแล้วว่าพวกเขาจะเริ่มให้ความสำคัญกับ Video Content มากขึ้น (ส่วนหนึ่งคือการสนับสนุน Youtube หนึ่งในบริษัทลูกของ Google มากขึ้น) โดยจะให้พื้นที่ในการแสดงผลบนหน้า SERP ด้วย
ดังนั้นสำหรับธุรกิจไหนที่มี Video Content (Youtube) เป็นอีกช่องทางในการเผยแพร่คอนเทนต์แล้วอยากให้คอนเทนต์ของตน ไปปรากฏอยู่บนหน้าแรกของ Google ในคำค้นหาที่คาดหวังนั้น วิธีการทำ SEO สำหรับ Youtube ก็จะไม่มีอะไรที่แตกต่างจากการทำ SEO ในเว็บไซต์มากนัก
นั่นก็คือคุณก็ต้องพยายามใส่ Keyword ลงไปในชื่อคอนเทนต์, คำอธิบาย (Description), Tag Keyword (ช่องใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์) รวมถึงการใส่ Keyword ลงไปใน Timestamp ก็จะเป็นตัวช่วยให้การทำ SEO สำหรับ Youtube Video Content ของธุรกิจคุณเห็นผลได้รวดเร็วมากขึ้นค่ะ (อ่านวิธีทำ Timestamp ให้ Youtube Video Content ได้ > ที่นี่)
เพราะฉะนั้นหนึ่งในเทรนด์การทำ SEO ที่สำคัญอย่างสุดท้าย ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูล หรือการวางแผนให้การทำ SEO ในสัปดาห์, เดือน ต่อไปดีขึ้นนั่นเอง