5 เคล็ดลับ ปรับแต่งเว็บไซต์มัดใจลูกค้าให้ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของคุณได้นานกว่าเดิม

5 เคล็ดลับ ปรับแต่งเว็บไซต์มัดใจลูกค้าให้ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของคุณได้นานกว่าเดิม
Light
Dark
Pea Tanachote
Pea Tanachote

อดีตนักร้อง ที่ผันตัวมาเขียนคอนเทนต์ ชอบดูฟุตบอลและ Blackpink เป็นชีวิตจิตใจ นักเขียนคอนเทนต์ที่ใคร ๆ ก็ต้องการตัว (โดยเฉพาะตำรวจ)

นักเขียน

หนึ่งในปัญหาที่พบเจอบ่อยที่สุดของการทำ Website Marketing ที่พบได้บ่อยก็คือ การที่เว็บไซต์ของคุณยังไม่สามารถสร้างยอด Conversion ได้มากเท่าที่ควร ซึ่งส่วนใหญ่วิธีแก้ไข ก็อาจจะเป็นการปรับเนื้อหาของการโฆษณา , การเปลี่ยน Copywritting หรือเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น

แต่นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดครับ เพราะการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เราควรจัดการกับปัญหานี้ตั้งแต่  “ต้นตอ” นั่นก็คือ การดึงดูดให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของคุณได้นานขึ้น โดยอาศัยการศึกษาจากการสำรวจค่า Bounce Rate และการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้าตาทั้ง Google และลูกค้า

เพราะถ้าลูกค้าอยู่บนเว็บไซต์คุณได้นานขึ้น แสดงว่าพวกเขาย่อมมีโอกาสในการที่จะให้ความสนใจในสินค้าหรือบริการของธุรกิจคุณมากขึ้น และมีแนวโน้มที่พวกเขาจะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณได้อย่างไม่ยากเย็น 

โดยในบทความนี้ The Growth Master จะขอพาทุกท่านไปศึกษาตั้งแต่ “ต้นตอ” ของปัญหา ว่าทำไมลูกค้าถึงใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์คุณน้อยไป แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์คุณมากหรือน้อย รวมถึงแชร์เคล็ดลับทั้ง 5 ที่จะมัดใจลูกค้า ให้พวกเขาใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์คุณนานขึ้น และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจที่ “มากขึ้น” ให้กับการทำ Website Marketing ของคุณ 

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

หาต้นตอของปัญหาให้เจอว่า ทำไมเว็บไซต์ของคุณถึงยังไม่ดึงดูดลูกค้ามากพอ ?

นักการตลาดหลายท่านอาจจะเริ่มสงสัยครับว่า ทำไมแค่ “ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์เราน้อยเกินไป” เป็นปัญหาใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ ?

คำตอบก็คือ ใช่ครับ อธิบายแบบง่ายๆ เลยก็เพราะว่า ถ้าลูกค้าอยู่บนเว็บไซต์คุณแค่พักเดียว แล้วก็กดออกไป แน่นอนว่าสิ่งนั้นแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้ถูกใจเว็บไซต์คุณ แล้วก็ขอออกไปดูเว็บไซต์อื่นๆ ดีกว่า

เมื่อลูกค้าเหล่านั้นไม่ถูกใจ มันก็ยากครับที่จะทำให้พวกเขาสร้าง Conversion บนเว็บไซต์ให้กับธุรกิจของคุณ รายได้ , ยอด Leads ก็ต้องน้อยตามลงมา อีกทั้งปัญหาที่ตามมามันไม่ได้มีแค่นี้ซะด้วยครับ

เพราะเมื่อลูกค้าใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์คุณน้อย เลยส่งผลให้สิ่งที่เรียกว่า Bounce Rate (มีอธิบายในหัวข้อถัดไป) บนเว็บไซต์ของคุณสูง และยังทำให้ Google ให้คะแนนเว็บไซต์แย่ ซึ่งทำให้เว็บไซต์ของคุณได้อันดับไม่ค่อยดีในหน้า SERP ลูกค้าใหม่ๆ ก็จะยิ่งหาคุณเจอยากเข้าไปอีกนั่นเอง

อันดับแรกถ้าคุณอยากจะเริ่มปฏิวัติเว็บไซต์ ให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์คุณให้มากขึ้น คุณต้องเรียนรู้ก่อนครับว่าพอจะมีเหตุผลใดบ้าง ที่ทำให้ลูกค้าไม่ถูกใจเว็บไซต์ของคุณ

ซึ่งถึงตรงนี้ผมจะขอรวบรวมเป็น Checklist คำถามให้คุณได้เช็คกันแบบคร่าวๆ ก่อนละกันครับว่าเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ลูกค้าไม่ถูกใจเว็บไซต์คุณคืออะไร ?

  • เว็บไซต์ของคุณโหลดช้าหรือเปล่า ค่า Page Speed เป็นอย่างไร ? 
  • เนื้อหาของ Content ที่อยู่บนเว็บไซต์ มีความดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมากพอหรือยัง ?
  • การดีไซน์ของเว็บไซต์ในแต่ละหน้าเป็นอย่างไรบ้าง การดีไซน์ดูมีความสมัยใหม่อยู่หรือเปล่า ?
  • เว็บไซต์ของคุณมีความ Mobile Friendly , Responsive Design (รองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์)หรือเปล่า
  • ในเว็บไซต์ของคุณมีข้อมูล ที่คิดว่าเป็นสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการหรือเปล่า ?
  • ในเว็บไซต์ของคุณ มี Part ไหนที่เกิดข้อผิดพลาดทางโครงสร้าง ที่ทำให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์ไม่ดี (404 Error) อยู่หรือเปล่า ?
  • มีโฆษณาอยู่ในเว็บไซต์ของคุณมาก จนดูรกและทำลายประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าหรือเปล่า ?

คำถามที่ผมได้ถามไปด้านบนนี่แหละครับ คือประเด็นหลักๆ ที่จะทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีในการใช้งานเว็บไซต์คุณแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันครับ ที่พวกเขาจะไม่กลับมาเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณอีก  

ซึ่งหากเว็บไซต์ของคุณเกิดปัญหาข้อใดข้อหนึ่ง (หรือหลายข้อ) จาก Checklist คำถามด้านบน ไม่เพียงแต่เหล่าลูกค้าแล้วล่ะครับ Google ที่พร้อมที่จะลงโทษเว็บไซต์ลักษณะนี้ทันที

เรียกได้ว่าผิดใจทั้ง Google ผิดใจทั้งลูกค้า เท่ากับเว็บไซต์ของคุณเสียโอกาสแบบ 2 เด้งเลยครับ เพราะฉะนั้นลองเช็คเว็บไซต์ของคุณให้ดีครับ ว่ามีข้อผิดพลาด ตาม Checklist ด้านบนหรือเปล่า ?

ถ้าเกิดมีหล่ะก็ อย่าช้า อย่ารอใครครับ รีบปรึกษากับทีมเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์โดยด่วน ก่อนที่ลูกค้าจะหายไปจากเว็บไซต์คุณไปมากกว่านี้

ภาพจาก freelancewebdesigner

"Bounce Rate" กุญแจสำคัญที่ใช้วัดความพึงพอใจที่ Visitor มีต่อเว็บไซต์

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกค้าใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของคุณมากหรือน้อย ? ผมเชื่อว่าใครที่อ่านมาถึงหัวข้อนี้ น่าจะเกิดคำถามนี้ในหัวแน่นอนครับ 

อันดับแรกผมต้องขอแนะนำให้คุณรู้จักสิ่งที่เรียกว่า “Bounce Rate” ครับ  (หรือถ้าใครที่ใช้ภาษาไทยจะเรียกว่า “อัตราตีกลับ”) 

Bounce Rate คืออัตราที่ใช้วัดจำนวนผู้เข้าชม (Visitor) ในเว็บไซต์หน้าใดหน้าหนึ่งหรือ Landing Page แล้วกดออกไปเลย โดยไม่คลิกเยี่ยมชมหน้าอื่นๆ ของเว็บไซต์เลย ซึ่งคุณสามารถเช็คค่า Bounce Rate ได้ใน Google Analytice (ฟรี) หรือ Paid Software ที่คุณใช้ Tracking สถิติการใช้งานต่างๆ ของเว็บไซต์ครับ

ซึ่งค่า Bounce Rate นี่แหละครับคือพระเอกของเรื่อง ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าให้คุณเห็นเลยว่า เว็บไซต์ของคุณถูกจริตลูกค้ามากแค่ไหน และพวกเขาใช้เวลาอยู่ในหน้าเว็บไซต์ของคุณมากหรือน้อย

ภาพจาก Mangools

สำหรับการดูว่าตัวเลข Bounce Rate แบบไหนที่เป็นสิ่งที่ดีกับเว็บไซต์ (มี User เข้ามาแล้วไม่กดออกไปอย่างรวดเร็ว) ตรงนี้ให้จำสูตรไว้เลยครับว่า ยิ่ง Bounce Rate สูง ยิ่งไม่ดี  (เต็ม 100%) 

โดยเกรดของ Bounce Rate แบบมาตรฐานจะสามารถแยกได้ตามนี้ครับ

  • 80% หรือมากกว่า = ค่า Bounce Rate เข้าขั้นแย่ ต้องรีบปรับปรุงด่วน
  • 70 – 80% = เริ่มแย่
  • 50 – 70% = ปานกลาง , ทั่วไป
  • 30 – 50% = ดีมาก
  • 20% หรือต่ำกว่า =  เว็บไซต์เกิด Error,Bugs 

แต่สำหรับใครที่กดเข้าไปเช็คใน Google Analytics แล้วพบว่า เห้ย!! Bounce Rate ของเว็บไซต์เราสูงจนน่าตกใจ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้มีส่วนไหนของเว็บไซต์ที่แย่เลยนะ ก็ไม่ต้องตกใจไปนะครับ

เพราะไม่ใช่ว่าทุกเว็บไซต์ต้องได้ค่า Bounce Rate ต่ำ (30-50%) เท่านั้นนะครับถึงจะดี เพราะเว็บไซต์ในบาง Category ก็ไม่สามารถใช้ Bounce Rate ในการวิเคราะห์ผลได้ครับ เช่น เว็บไซต์แนว Blog , Content (เช่น เว็บไซต์นี้ที่คุณกำลังอ่านอยู่) หรือ Landing Page (เว็บไซต์หน้าเดียว)

เพราะการจะได้ค่า Bounce Rate ที่ดีนั้น มันคือการที่ User เข้ามายังเว็บไซต์คุณ แล้วกดคลิกไปยังเว็บเพจหรือ Landing Page อื่นๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ แต่เว็บไซต์ที่เป็นแนว Blog หรือ Landing Page ส่วนใหญ่พฤติกรรมของ User เมื่ออ่าน Content จบ พวกเขาก็จะกดปิดไป เพราะถือว่าพวกเขาได้เข้ามาอ่านบทความของเราแล้วเรียบร้อย

ยกเว้นแต่คุณอาจจะลองสร้าง Subscibe Form , CTA หรือส่วน Suggested Content (บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง) เพื่อเป็นการล่อใจให้ User ไม่รีบกดออกเมื่ออ่านบทความบนเว็บไซต์ของเราจบนั่นเอง

(เฉพาะเว็บไซต์แนวบทความ หรือ Content เท่านั้นนะครับ ส่วนเว็บไซต์ Category อื่นๆ ก็ยึดตามการแบ่งเกรดด้านบนเหมือนเดิมครับ)
ภาพจาก bloginghero

มาถึงตรงนี้ก็แปลว่าหน้าที่ของนักการตลาดอย่างคุณ คือการทำเว็บไซต์ให้ค่า Bounce Rate ต่ำในแบบที่ Category ของเว็บไซต์เราควรจะเป็นนั่นเองครับ ถึงแสดงว่าเว็บไซต์ของคุณถูกจริตของ User เข้าให้แล้ว

ผมขอแนะนำว่า นอกจากค่า Bounce Rate แล้วคุณสามารถดูค่าสถิติอื่นๆ ประกอบการวิเคราะห์ของคุณได้เช่นกันนะครับ เช่น CTR เพื่อดูว่ามี User คลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณมากน้อยแค่ไหน หรือ  Conversion Rate เพื่อดูว่า User เข้ามาในเว็บไซต์แล้วกระทำการใดๆ ตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ หรือเปล่าเช่น กรอก Leads , กดซื้อสินค้า , กด Subscribe 

และแน่นอนครับว่า ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีค่า Bounce Rate ที่ต่ำแล้ว กรรมการอย่าง Google ก็จะพิจารณาให้คะแนนเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำ SEO (ได้อันดับดีขึ้น) โอกาสที่ลูกค้าจะเจอเว็บไซต์คุณจากหน้า SERP ก็มากขึ้นตามลำดับครับ

เริ่มปรับแต่งเว็บไซต์ ต้องใช้เคล็ดลับอะไรบ้างที่ทำให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของเราได้นานขึ้น ?

มาถึงหัวข้อนี้ ผมจะขออนุญาติพาผู้อ่านทุกท่านไปศึกษาเคล็ดลับทั้ง 5 ในการปรับปรุงให้เว็บไซต์ของคุณสามารถมัดใจลูกค้า ให้ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์คุณได้นานยิ่งขึ้น โดยเคล็ดลับต่างๆ จะครอบคลุมทั้งในส่วนของ Web Content และ Web Design ที่ต้องทำให้ถูกจริตและความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

 โดยแต่ละเคล็ดลับมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้ครับ

#1 : เริ่มปฏิวัติด้วยการ Redesign เว็บไซต์ใหม่

“จากการสำรวจของ SAG Ipl พบว่า 38% ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ทั่วโลก จะหยุดการเยี่ยมชมเว็บไซต์ทันที หากเว็บไซต์นั้นมีหน้าตาที่ไม่ดึงดูด” 

สำหรับเว็บไซต์ของใครที่ได้ลองเช็คค่า Bounce Rate ดูแล้วพบว่ามีอัตราที่สูงจนน่าตกใจ แถม Conversion Rate และภาพรวมของธุรกิจก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คุณต้องการ แถมอัตราของ Visitor ที่เข้าชมก็เงียบราวป่าช้า 

ผมว่าถึงเวลาแล้วหล่ะครับ ที่คุณอาจจะต้องเริ่มทำการ Redesign เว็บไซต์ใหม่ทั้งหมด !

เพราะเว็บไซต์ที่คุณเคยคิดว่ามีการดีไซน์ที่ดี สวยงาม เมื่อครั้งในอดีต แต่ในปัจจุบันดีไซน์แบบนี้อาจจะไม่เป็นที่ต้องการและดูไม่สวยงามในสายตาของกลุ่ม User แล้วก็เป็นได้นะครับ  

จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณต้องเริ่มทำการ Redesign เว็บไซต์เพื่อเป็นการยกเครื่อง รีเซ็ท หน้าตาของเว็บไซต์คุณให้มีความทันสมัย เป็นปัจจุบันมากขึ้น

โดยไล่ไปตั้งแต่เรื่องของการจัดวาง Layout ต่างๆ บนเว็บไซต์ (จัดวางอย่างไรให้ดูสวยงาม ไม่ดูเยอะเกินไป) , การใช้รูปถ่ายและไอคอนที่ดีและเข้ากับเว็บไซต์ สามารถดึงดูด User ได้ , ลด Text แล้วเพิ่มรูปให้สื่อความหมายแทน , ปรับปรุง Mood & Tone และ Color Theme ของเว็บไซต์ ไปจนถึงเรื่องของการหาฟอนต์ ที่อ่านง่ายและเป็นมิตรต่อสายตา

ภาพจาก OptimizelyBlog

สุดท้ายคำว่า “เว็บไซต์” ก็ยังทำหน้าที่เป็นหน้าตาของธุรกิจ เป็นหน้าตาของร้านค้าของคุณอยู่ดี ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีดีไซน์ที่ไม่ทันสมัย องค์ประกอบต่างๆ ดูรกและเลอะเทอะไปหมด อาจทำให้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ไม่กล้าที่จะสร้าง Conversion บนเว็บไซต์ของคุณก็เป็นได้

สำหรับใครที่ประสบปัญหาเว็บไซต์ร้าง ไร้ยอด Conversion ผมว่าตอนนี้แหละครับ ถึงเวลาเป็นอย่างยิ่งแล้วที่คุณควรจะเริ่ม Redesign เว็บไซต์ของคุณให้ตอบโจทย์กับความต้องการของ User สมัยใหม่ครับ

#2 : Responsive Design And Mobile Friendly

“Responsive Design” แม้ว่าเราอาจจะเคยได้บินถึงความสำคัญของเรื่องนี้กันมามากแล้ว แต่เรื่องการดีไซน์เว็บไซต์ให้ตอบสนองกับอุปกรณ์ทุกรูปแบบ ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้ครับ โดยเฉพาะเรื่องของการทำให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์ในการใช้งานเว็บไซต์ที่ดี

เพราะในปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าการเข้าใช้งานเว็บไซต์ของ User ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำผ่านคอมพิวเตอร์อีกต่อไป อุปกรณ์พกพาต่างๆ เริ่มมีบทบาทมากขึ้น เช่น แล็ปทอป , แท็บเล็ต และมากที่สุดอย่าง “สมาร์ทโฟน”

ลองคิดภาพตามครับ ถ้าเราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะเข้าเว็บไซต์ซื้อนาฬิกาข้อมือออนไลน์ซักที่หนึ่ง เว็บไซต์แรก ไม่รองรับการแสดงผลผ่านโทรศัพท์ ต้องซูมเข้า ซูมออกเพื่อดูคอนเทนต์ ภาพก็ไม่ชัด 

แต่เว็บไซต์ที่ 2 ตรงกันข้าม ออกแบบมาเพื่อสำหรับโทรศัพท์โดยเฉพาะ กดดูคอนเทนต์ได้อย่างสะดวก ภาพชัด Text ใหญ่อ่านง่ายสบายตา คุณจะเลือกเว็บไซต์ไหนดีครับ ? (แน่นอนว่าต้องเป็นเว็บไซต์ที่2)

ภาพจาก designrfix

โดยหน้าที่ของนักการตลาดอย่างคุณ คือการตรวจเช็ค Website ว่ารองรับการใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์หรือเปล่า มี User Experience ที่ดีหรือไม่ เพราะอย่างที่ผมบอกไป นอกจาก Google จะให้คะแนนเว็บไซต์คุณดีขึ้นแล้ว ลูกค้าก็จะถูกใจการดีไซน์เว็บไซต์ของคุณเช่นเดียวกัน

ซึ่งเรื่องของ Responsive Design , Mobile Friendly ก็ได้มีการสำรวจออกมาแล้วว่า มันเข้ามาช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตขึ้นได้จริงๆ 

เพราะจากการสำรวจของ truconversion พบว่าการที่เว็บไซต์ของคุณมีความ Mobile Friendly จะสามารถช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้มากถึง 30% ซึ่งเมื่อลองเทียบกับเว็บไซต์ที่ไม่มีความ Mobile Friendly เราจะเห็นได้เลยว่า มันแตกต่างกันมากเพียงใด

ภาพจาก truconversion

#3 : ปรับปรุง Page Speed ให้เร็วกว่าเดิม

แน่นอนครับว่าผู้ใช้งานเว็บไซต์ส่วนใหญ่ จะมีเวลาเฉลี่ยในการอยู่ที่เว็บไซต์นั้นมากกว่า 1 นาที แต่จะมีแค่บางกรณีครับที่จะทำให้ลูกค้ากดออกไปตั้งแต่เวลายังไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำ

นั่นก็คือปัญหา Page Speed หรือถ้าให้พูดกันแบบง่ายๆ คือ “เว็บโหลดช้า” นั่นเอง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า ไม่ทันใจ ก็มีด้วยกันหลายสาเหตุครับ เช่น มีการใช้รูปภาพที่มีขนาดใหญ่ (ไม่ได้ย่อก่อน) , ใช้ภาพ Animation ความละเอียดสูงมาประกอบ หรืออาจเกิดจากปัญหาด้านเทคนิคเครือข่าย เช่นเรื่องของ Web Hosting เป็นต้น

ซึ่งจริงๆ แล้วความเร็วของเว็บไซต์ (Page Speed) ที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ลูกค้าไม่กดออกไปซะก่อนก็คือ ไม่เกิน 2 วินาทีครับ ซึ่งเราควรทำให้ได้ประมาณ 0.5 - 1 วินาทีด้วยซ้ำ

เพราะทุกวินาทีที่เวลาในการโหลดเดินไป จำนวน Visitor ที่พวกเขาต้องการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณก็หายไป และส่งผลทำให้ค่า Bounce Rate ของคุณสูงลิบด้วยเช่นกัน

ซึ่งทาง  Google ได้มีการทำวิจัยออกมาครับว่า ถ้าเว็บไซต์บนมือถือโหลดช้าเกิน 3 วินาที จำนวน Visitor จะลดลงไปถึง 53% และถ้ารอนานเกิน 5 วินาที  Visitor ก็จะหายไปถึง 90% (ผมคนนึงแหละที่จะไม่รอ) 

ภาพจาก Google Research

สำหรับนักการตลาดหรือผู้ประกอบการท่านใด ที่กำลังประสบปัญหาเว็บไซต์โหลดช้าอยู่ วิธีเบื้องต้นผมแนะนำให้ลอง Optimize ไฟล์รูปหรือวีดีโอที่อยู่บนหน้าเว็บดูครับ โดยเครื่องมือก็หาได้ตาม Google หรือ PlugIn ต่างๆ ก็มีให้จัดการเช่นกัน วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ Page Speed ดีขึ้นแล้วยังส่งผลต่อการทำ SEO และสร้างประสบการณ์ใช้งานเว็บไซต์ที่ดีให้กับ User ได้ด้วยครับ

หรือถ้าใครอยากทำความเข้าใจเรื่องของ Image Optimize สำหรับเว็บไซต์ให้มากกว่าเดิมคุณสามารถกดอ่านบทความ 7 วิธีการทำ Image Optimization สำหรับรูปภาพบนเว็บไซต์เพื่อ SEO ของ The Growth Master ได้เลยครับ

#4 : ออกแบบ Call To Action ให้มีความ Personalized มากขึ้น

การได้มากซึ่ง Conversion Rate น่าจะเป็นเป้าหมายลำดับต้นๆ ที่นักการตลาดหรือเจ้าของเว็บไซต์ต้องการมากที่สุด ซึ่งการที่จะได้มานั้น ต้องอาศัยการออกแบบ Call To Action ให้มีความโดดเด่นกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ ในตลาดครับ

โดยในส่วนประกอบของ Call To Action หลายคนอาจจะคิดว่ามันมีแค่ส่วน “ปุ่ม” อย่างเดียว แต่ความจริงไม่ใช่ครับ เพราะมันครอบคลุมทั้งตัวปุ่มและข้อความเชิญชวน ที่จะทำให้ User สนใจในตัวธุรกิจของคุณและยอมทำตาม Conversion ที่คุณต้องการ (เช่น กรอกข้อมูล , กด Subscibe , กดซื้อสินค้า)

แต่ถ้า User อยู่ในเว็บไซต์คุณแค่แปปเดียว และกดออกไป แน่นอนครับว่าถ้าเป็นแบบนี้คุณไม่มีทางที่จะได้ยอด Conversion Rate ที่คุณต้องการแน่นอน 

ซึ่งในการออกแบบ Call To Action ที่ดีและสามารถมัดใจลูกค้าได้นั้น คุณต้องมีการออกแบบให้มีความ Personalized มากขึ้น เป็นไปได้ไหมครับที่คุณจะลองออกแบบปุ่ม CTA ให้มีความน่าสนใจมากกว่าแค่คำว่า “อ่านต่อ” , “ลงทะเบียน” หรือ “คลิกที่นี่” เพราะไม่มีลูกค้าคนไหนชื่นชอบคำชวนที่เยือกเย็นเหมือนคุยกับสิริแบบนี้หรอกครับ

หน้าที่ของคุณคือการทำให้ปุ่ม CTA และข้อความเชิญชวน (เน้นสั้นๆ กระชับๆ) มีความเป็นน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมและถูกสเปคของกลุ่มเป้าหมายให้ได้ครับ เช่น “เริ่มใช้งานฟรี” , “เป็นส่วนหนึ่งกับเรา” ,  “รู้จักเรามากขึ้น” หรือคำอื่นๆ ที่คุณคิดว่าเหมาะสมกับธุรกิจคุณครับ

ตัวอย่างการออกแบบ Personalized CTA ของ Uber
ภาพจาก uber

#5 : เพิ่ม Search Bar ทุกหน้า เพื่อให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง

Search Bar เป็นเทคนิคที่นักการตลาดหลายท่านอาจจะลืมนึกไปครับ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าเทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่สามารถทำให้ลูกค้าอยู่บนเว็บไซต์คุณได้นานขึ้นและเพิ่มค่าเฉลี่ยต่างๆ ได้ดีพอสมควร

สำหรับ Search Bar ถ้าใครนึกภาพไม่ออก มันก็คือเป็นแท่งที่มีไว้ให้ User ได้ค้นหาข้อมูลต่างๆ ผ่าน Keyword ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะถ้าเว็บไซต์คุณเป็นเว็บไซต์ที่มีหลายหน้าเพจ เช่นเว็บ E-Commerce หรือเว็บไซต์แนวบทความ (เช่นเว็บไซต์ The Growth Master ของเรา)

ภาพจาก Tigren

สำหรับเว็บไซต์จำพวกดังกล่าว มันเป็นไปไม่ได้เลยครับ ที่ลูกค้าเข้ามาเว็บไซต์คุณแล้วจะเจอสิ่งที่พวกเขากำลังต้องการทันทีเลยในหน้าแรก และเมื่อพวกเขาลองเลื่อนๆ ดูก็ไม่พบสิ่งที่พวกเขาต้องการ (ทั้งที่ความจริงอาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนซักที่ในเว็บไซต์คุณ) สิ่งที่ตามมาแน่นอนครับ “พวกเขาจะกดออกไปทันที”

การเพิ่ม Search Bar ที่ด้านบนขวาหรือบนซ้ายลงไปในทุกเพจของเว็บไซต์คุณ ก็เปรียบเหมือนการให้ลูกค้าได้มีโอกาสลองค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อพวกเขาเจอเว็บเพจหรือสิ่งที่เขาต้องการ ก็จะทำให้มีโอกาสที่คุณจะได้ยอด Reach หรือ Conversion Rate ที่ดี

และยังเป็นโอกาสให้พวกเขาได้เจอกับเว็บเพจบทความอื่นๆ หรือสินค้าอื่นๆ ที่มีความใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการหรือสนใจอยู่อีกก็เป็นได้ครับ เรียกได้ว่าเทคนิคนี้อาจทำให้คุณได้โชค 2 ชั้นเลยก็ได้ครับเพียงแค่การลองเพิ่ม Search Bar ลงไปในเว็บไซต์ของคุณเท่านั้นเอง

สรุปทั้งหมด

จะสังเกตุได้ว่าการที่จะทำให้ลูกค้าอยู่บนเว็บไซต์ของคุณให้นานขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคใดๆ สิ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “Website Design” ครับ

เพราะในปัจจุบัน เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีคอนเทนต์บนเว็บไซต์ที่ดีนั้น มันสู้อะไรไม่ได้เลยกับการที่เว็บไซต์นั้นมีดีไซน์ที่สวยงาม น่าใช้ และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการท่องโลกเว็บไซต์ให้กับ User 

สุดท้ายผมหวังว่าบทความนี้จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหล่านักการตลาด ผู้ประกอบการ และเจ้าของเว็บไซต์ทุกท่านให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ของการทำธุรกิจได้เร็วขึ้นนะครับ :)

Source : techwyse , gorocketfuel , hobouk




ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

เราช่วยธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม

ติดตามข้อมูลการตลาด
Growth Hacking ได้เลยทีนี่
มากกว่า 2,000 บริษัทติดตาม The Growth Master ตอนนี้
ไปที่หน้า Subscribe