จะเป็นอย่างไรถ้าวันนี้ ทุกคนสามารถมี ‘ทรัพย์สินในโลกดิจิทัลเป็นของตัวเอง’ ภายใต้เครือข่ายที่ตัดคนกลางออกไป อย่างเทคโนโลยี Blockchain ได้อย่างอิสระ ซึ่งแน่นอนว่า ที่ดิน ย่อมมีแนวโน้มจะเพิ่มมูลค่าสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แปลกใจที่ The Sandbox จะกลายเป็นบริษัทที่ปลุกปั้น SAND Coin (เหรียญคริปโทเคอร์เรนซี) ให้มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 2021 มากถึง 10,000% ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น
ซึ่งกระแสหลักของ The Sandbox คือ การสนับสนุนและตอบโจทย์ให้กับระบบนิเวศในเครือข่าย Blockchain มากขึ้น และนั่นก็เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถือครอง กระเป๋าเหรียญคริปโทฯ เข้ามาร่วมลงทุน ซื้อขาย สร้างสรรค์ไอเดียผ่านการเล่นเกมจำลองที่มียอดดาวน์โหลดกว่า 40 ล้านครั้ง
ในบทความนี้ The Growth Master จะพาไปหาคำตอบว่าเพราะอะไรที่ทำให้ The Sand box ปลุกปั้น SAND coin ให้กลายเป็นเหรียญที่มีมูลค่าและทะยานพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 2 ในโลกไร้ตัวกลางอย่าง Blockchain ไปได้อย่างสวยงามกัน
The Sandbox คืออะไร?
The Sandbox คือ บริษัทสตาร์ทอัป Tech Company ในเครือของ Animoca Brands ที่สร้างแพลตฟอร์มเกมจำลอง Vitual Land (ที่ดินดิจิทัล) ขึ้นมาให้เป็นหนึ่งในโลกเสมือนจริง หากนึกไม่ออกตัวกราฟิกจะคล้าย ๆ เกมชื่อดังอย่าง Minecraft
The Sandbox สร้างเหรียญ SAND coin สำหรับใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน ที่ดิน, ไอเทมเกม หรือสิ่งของต่าง ๆ ในแพลตฟอร์ม โดยผู้เล่นสามารถพูดคุย ทำภารกิจ สร้างมินิเกม เพื่อคิดค่าบริการผู้เข้าเล่น หรือจะสร้างเมือง ซื้อที่ดิน ปล่อยเช่าต่อ เพื่อทำกำไรก็ได้ โดยตัวเกมได้ให้อิสระและอำนาจในการตัดสินใจว่าจะถือครองที่ดินต่อไปเรื่อย ๆ หรือแลกเปลี่ยนกับผู้เล่นอื่น
แน่นอนว่าผู้ที่ถือครอบครองที่ดิน จะมีโอกาสเปิดประตูไปสู่โลกของ Blockchain ได้อีกมากมาย และด้วยการมีอยู่อย่างจำกัดของที่ดินเพียง 166,464 Lands เท่านั้น (ทางบริษัทระบุว่าไม่สามารถสร้างเพิ่มหรือทำซ้ำขึ้นมาได้) ทำให้สิ่งของต่าง ๆ ในเกมเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ
หากเทียบเป็นมูลค่า ก็ต้องบอกว่าที่ดินจาก The Sandbox ถูกขายได้มูลค่าสูงสุดเมื่อสิ้นปี 2021 ที่ผ่านมา มากถึง 4.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้ซื้อคือ Republicrealm (หนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่สนับสนุนเทคโนโลยี Metaverse และอยู่ในระบบ NFT Ecosystem นั่นเอง)
นอกจากนี้ในเดือนมกราคมปี 2022 ที่ผ่านมา The Sandbox ได้จับมือกับ Brinc ร่วมลงทุนมากกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้คำปรึกษานักลงทุนหน้าใหม่ในระบบ Smart Contract โดยนักลงทุนที่เข้าร่วมจะได้รับเงินลงทุนเริ่มต้นสูงสุดถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อราย
หรือจะเป็น Ubisoft หนึ่งในผู้ผลิตเกมล้ำสมัย ซึ่งพวกเขาโปรโมตด้วยการนำตัวละคร ‘กระต่ายสุดกวน’ จากแฟรนไชน์เกม ‘Rabbids’ มาชักชวนผู้เล่นให้เข้าสู่ Ubisoft LAND ที่เป็นหนึ่งในพื้นที่ของโลก The Sandbox นั่นเอง
แน่นอนว่าทั้ง The Sandbox และพาร์ทเนอร์ก็ได้ร่วมลงทุน และไม่หยุดพัฒนาลูกเล่นใหม่ ๆ ออกมาให้ผู้ใช้งานได้ใช้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเติบโตของ SAND coin จะมีความสำคัญในส่วนไหนของโลก Blockchain ให้เราได้เตรียมครอบครองบ้าง มาดูกัน
ทำความรู้จัก SAND coin เหรียญมูลค่าหลักล้าน
SAND coin คือ เหรียญคริปโทเคอร์เรนซี ที่ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain ชนิด ERC-20 ซึ่งใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนทำธุรกรรมต่าง ๆในระบบนิเวศของเกม The Sandbox รวมถึงตลาด NFTs โดยถูกสร้างขึ้นมาจำนวนจำกัดเพียงแค่ 3,000 ล้านเหรียญเท่านั้น
มาถึงปัจจุบันSAND coin ก็เป็นเหรียญที่ติดใน 100 อันดับแรกของสถิติ คริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งตามที่รายงานมูลค่าในตลาดนั้น พุ่งขึ้นมากถึง 200% ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 ด้วยการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมยุค Metaverse ที่น่าสนใจพร้อมกับกระแสจากกลุ่มนักลงทุนในสินทรัพย์ ทำให้นักวิเคราะห์ได้ออกมาคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2022 นี้ มูลค่าเหรียญอาจแตะมากถึง 26.66 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 876 บาท) เลยทีเดียว
โดยปัจจัยที่ทำให้มูลค่าของ SAND coin เติบโตขึ้นก็คือ ระบบที่ทำให้ผู้เล่นมีความสะดวกในการครอบครอง Virtual Land รวมถึง การประมูลที่ดินที่มีอย่างจำกัด ใน The Sandbox ที่สามารถขายหมดอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 1 นาที เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2021 ที่ผ่านมาด้วยมูลค่ากว่า 340,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือมากถึง 10.8 ล้านบาท)
นอกจากนี้ ยังมีแถลงการณ์ที่เรียกว่าเป็นกระแสทันที หลังจากที่ Meta (หรือบริษัทแม่ของ Facebook) ได้ออกมายืนยันตัวเข้าร่วมสนับสนุน มุ่งพัฒนาเทคโนโลยี Metaverse นั่นส่งผลให้มูลค่าของเหรียญ SAND coin ยิ่งดึงดูดนักลงทุนมากขึ้นไปอีก
(หากอยากทราบ ความเปลี่ยนแปลงที่ Mark Zuckerberg ออกมาแถลงวิสัยทัศน์ถึงเทคโนโลยี Metaverse ว่าเป็นอย่างไรนั้น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก)
โดยวิธีถือครอง SAND coin นั้นก็ไม่ยุ่งยากเพียงแค่ผู้เล่นมี Crypto Wallet (กระเป๋าเหรียญคริปโทฯ) ก็สามารถเทรดเพื่อลงทุนหรือสร้างกำไร บนกระดานอย่าง Binance ได้ ทำให้ SAND coin เป็นที่นิยมและเป็นโอกาสที่จะดึงให้เหล่านักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาร่วมลงทุนในปี 2022 อีกด้วย
กลยุทธ์อะไรที่ทำให้ The Sandbox มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10,000% ภายในหนึ่งปี
หลังจากที่ Webflow ได้นำ ClickUp เครื่องมือ Project Management ที่เรียกได้ว่าครบเครื่อง และตอบโจทย์ทุกความต้องการของพนักงานทุกคน ก็มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น
1. Play to Earn เปิดโอกาสให้ผู้เล่นถือครอง ‘ที่ดินดิจิทัล’
ช่วงเริ่มแรกปี 2012 The Sandbox ได้สร้างเกมเป็นรูปแบบเล่นบนมือถือ ที่เรียกว่า Sandbox mode ตัวเกมสามารถให้ผู้เล่นสร้างจักรวาลของตัวเองได้ด้วยทรัพยากรในเกมที่มี เช่น นำแบตเตอร์รี่มาสร้างวงจรไฟฟ้า, สร้างพื้นที่ของตัวเองขึ้นมาจากดิน น้ำ ไฟ รวมถึงตัวละครและสัตว์ป่าต่าง ๆ
โดยสามารถอัปโหลดผลงานของพวกเขา ขึ้นโชว์ไปยังแกลเลอรีบนโลกออนไลน์ได้ และประสบความสำเร็จ มีผู้ดาวน์โหลดเล่นมากกว่า 800,000 ครั้งภายในปีเดียว จึงทำให้บริษัทมุ่งมั่นอัปเกรดเวอร์ชัน เพื่อพัฒนาเกม The Sandbox เป็นเวอร์ชัน PC ทันที
นอกจากนี้ในปี 2016 ทีมงาน The Sandbox ได้อัปเดตตัวเกมถึง 45 รายการ มีพื้นที่อยู่บนแกลเลอรีออนไลน์ถึง 1.5 ล้านที่ดิน และสถิติชั่วโมงเล่นรวมกันถึง 120 ล้านชั่วโมง ด้วยตัวเลขที่แข็งแกร่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า The Sandbox ควรพัฒนาแฟรนไชส์ภาคต่อ
หลังจากนั้นเกม The Sandbox ถูกผสานเข้ากับ Metaverse สู่โลก Blockchain อย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2018 โดยจนถึงปัจจุบัน มีผู้เล่นออนไลน์กว่า 1 ล้านบัญชี ต่อเดือนที่เข้าถือครอง Virtual Land (ที่ดินดิจิทัลภายในเกม)
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทุกคนอาจจะยังไม่รู้คือ ระบบตัวเกม The Sandbox ณ ปัจจุบันสามารถเล่นได้บนระบบ Windows เท่านั้น ทำให้สาวก Apple อาจจะต้องรออีกสักหน่อย (หรือถ้าอยากลงทุนก่อนก็สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการฝั่ง Windows เพิ่มไปได้เลย)
2. Tool Sandbox เครื่องมือครีเอเตอร์
ผู้เข้าร่วมเล่น The Sandbox สามารถเลือกเป็นได้ทั้ง ‘ผู้สร้างและผู้เล่น’ ไปพร้อมกัน หากยังไม่อยากลงทุนมากนัก พวกเขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานวางขายโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Tool Sandbox สร้างตัวละคร 3D หรืออสังหาริมทรัพย์ในเกม ให้มีลักษณะเฉพาะตัวได้ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด ในแบบที่ผู้เล่นทั่วไปสามารถทดลองใช้เครื่องมือได้เลยที่ทางเว็บไซต์ของ The Sandbox คลิก)
ลองคิดดูว่า ถ้าตัวเกมเปิดขยายพื้นที่มากกว่านี้ เท่ากับว่า The Sandbox จะมีเกมใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ ออกมาเติมเต็มแพลตฟอร์มด้าน ศิลปะ วัฒนธรรม ของสะสม ให้ได้สัมผัสอีกเพียบ และเมื่อถึงตอนนั้นราคาที่ดินก็จะสูงขึ้นไปอีก
หากดูจากบัญชี @TheSandboxGame (Twitter ของบริษัทที่มีผู้ติดตามถึง 8 แสนคน) ก็มีนักสร้างสรรค์รายย่อย ออกมาทวีตผลงานศิลปะของพวกเขา โดยแทนตัวเองว่า VoxelArtist เพื่อทำรายได้ผ่าน Hashtag #TheSandboxGame อย่างสม่ำเสมอ เรียกว่าแต่ละผลงาน มีเอกลักษณ์และเพลินตาสุด ๆ
3. NFTs Marketplace มอบกำไรให้ผู้เล่น
ทางตัวเกม The Sandbox มีระบบ NFTs (Non Fungible Tokens) หรือง่าย ๆ ก็คือ ‘ระบบถือครองเหรียญดิจิทัล’ ที่เข้ามาช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถ ทำกำไร ซื้อขายส่งต่อ หรือแม้กระทั่งอัปโหลดผลงานเข้า Marketplace อย่าง OpenSea (ที่ไม่ผ่านตัวกลาง) ได้อย่างอิสระ
อีกทั้งยังสามารถซื้อขาย ไอเทม ของเกมอื่น ๆ ที่อยู่บนตลาด NFTs เหมือนกัน นอกจากกำไรที่หมุนเวียนแล้ว นั่นอาจรวมถึง ‘ความภูมิใจของผู้สร้าง’ เมื่อสิ่งที่ขายออกไปได้รับการสนับสนุนอีกด้วย อ่านบทความที่เกี่ยวข้องอื่นๆได้ที่ คลิก
และเมื่อตลาด NFTs กว้างขึ้นจึงทำให้ The Sandbox มีโอกาสได้เข้าร่วมกับแบรนด์ใหญ่ ๆ และศิลปินระดับโลกมากถึง 165 แบรนด์ เช่น Adidas, Snoop Dogg, The Walking Dead, South China Morning Post, The Smurfs, Care Bears เป็นต้น โดยแบรนด์เหล่านี้ช่วยขยายจำนวนผู้เล่น จากคอมมูนิตี้ ทำให้เกิดกระแสขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4. แนวคิดระบบ Blockchain ช่วยสร้างคอมมูนิตี้
ระบบ Blockchain ที่ทาง The Sandbox นำมาพัฒนาความสนุกในรูปแบบเกม ‘ซื้อขาย ที่ดินดิจิทัล’ ทำให้นักลงทุนรายใหญ่หันมาให้ความสนใจ และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายเล็กได้สร้างชื่อเสียง และเทคนิคการครอบครองทรัพย์สินของตัวเอง
ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำให้ผู้เล่นเข้าถึงวงการคริปโทเคอร์เรนซีได้ง่ายมากขึ้น อย่างในไทยเราก็มีกลุ่ม The Sandbox Thailand Community ไว้แลกเปลี่ยนข้อมูล เทคนิคเล่นเกมต่าง ๆ โดยปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 25,000 คน (เริ่มทำความเข้าใจวันนี้ มีโอกาสก่อนใครแน่ ๆ เพราะในไทยยังมีจำนวนผู้เล่นไม่เยอะมาก)
แน่นอนว่าในโลก Blockchain สามารถดึงดูดให้เหล่า PR หรือ Influlencer อิสระ ที่ต้องการทำคอนเทนต์สาย Play to Earn จากช่อง Youtube (ที่มีรวมมากกว่า 6 หมื่นคลิป) สาธิตวิธีเล่น สำหรับผู้เริ่มต้นหรือวิธีสร้างรายได้ให้ผู้ชมของเขา โดยที่ทาง The Sandbox ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ก็ได้รับการโปรโมตจากบุคคลทั่วโลกไปแบบ Win-Win
ในส่วนของเหล่าผู้พัฒนา (Developer) ก็มีเสียงตอบรับที่ดีเช่นกัน เพราะพวกเขาสามารถเชื่อมต่อ และเข้าถึงข้อมูลสำหรับนำมาพัฒนาได้โดยตรง ในรูปแบบ Web 3.0 ที่ปลอดภัยไร้ตัวกลาง หากเป็น Web 2.0 ข้อมูลจะถูกรวบรวมไว้โดยบุคคลที่สาม (Third-party) ซึ่งมีความซับซ้อนกว่า
นอกจากนี้ ยังเกิดข่าวลืออีกว่า Meta อาจจะทำการสร้างระบบเกม Metaverse คุณภาพ มาในรูปแบบ Free to Play นั่นทำให้ผู้คนตั้งคำถามว่า The Sandbox จะยังมีความน่าสนใจอยู่ไหม? ทาง Sebastien Borget (Sandbox Co-founder) ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงกลยุทธ์ตั้งต้น ที่เขาเลือกใช้ เมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ โดยเผยว่า
“ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อซื้อ Vitual Land ตั้งแต่แรกเข้า เพราะสามารถสนุกกับการเสพผลงาน NFTs ที่ผู้เล่นอื่นสร้างไว้ได้ คุณจ่ายเพียงเวลา เพื่อเข้ามารับชมเท่านั้น ”
สรุปทั้งหมด
The Sandbox ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจและน่าจับตามองมาก ๆ ในโลกของ Blockchain ที่มีการเติบโตตลอด ไม่ว่าจะเป็นในด้านตัวเลขผู้ใช้งาน หรือมูลค่าบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทั้งหมดถูกสร้างเพื่อกระตุ้นให้ สตาร์ทอัป, อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผู้ร่วมลงทุนในเหรียญคริปโทฯ ได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
และด้วยระบบ Ecosystem ที่หมุนเวียน รวมถึงตลาด NFTs ที่เป็นแหล่งเปิดรับความคิดสร้างสรรค์
แบบไม่สิ้นสุด ทำให้มูลค่าของ SAND coin ยังคงเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา ทั้งนี้ผู้ลงทุน ก็ต้องไม่ลืมที่จะประเมินความเสี่ยง ความผันผวนต่าง ๆ ในแต่ละ Virtual Land ที่ต้องการจะถือครองด้วยตัวเอง เพราะการลงทุนในโลกคริปโทเคอร์เรนซีก็มีความเสี่ยงเช่นกัน
สำหรับใครที่ไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือบทความดี ๆ ก็สามารถกดติดตามช่องทางต่าง ๆ ของ The Growth Master ได้เลย เพราะเรามีการอัปเดตข่าวสารใหม่ ๆ ให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ คลิก
Source: dappradar, Beyondgames, Medium, Sandbox