หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้ว (วันที่ 27 ตุลาคม) The Growth Master ได้นำเสนอประเด็นการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของ Facebook หลังกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นลดน้อยลง รวมถึงทิศทางในปีหน้าที่ Mark Zuckerberg กำลังจะให้ความสำคัญกับโลกเสมือน Metaverse ที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่
ซึ่งใครจะไปคาดคิดว่าเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ Facebook ปล่อยประกาศนั้นออกมา Mark Zuckerberg ก็ได้เขย่าวงการเทคโนโลยีของโลก ด้วยการประกาศว่า Facebook ได้ชื่อเป็น ‘Meta’ แล้วเรียบร้อย พร้อมเปิดตัว Logo และวิสัยทัศน์ใหม่ ที่จะมุ่งสู่การเติบโตครั้งใหญ่กว่าเดิมด้วย Metaverse ที่ Mark Zuckerberg เป็นคนพรีเซนต์คอนเซปต์ทุกอย่างด้วยตัวเอง
แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Metaverse คืออะไร หรือยังไม่ทราบประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้ The Growth Master เลยขอสรุปทุกอย่างที่คุณควรต้องรู้ ไว้ในบทความนี้ ไปติดตามกันได้เลย
จุดเริ่มต้นจาก “Hello Meta” คำสั้น ๆ 4 พยางค์จาก Mark Zuckerberg ที่จะเป็นประโยคเปลี่ยนโลกในอนาคต
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของ Facebook ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณวันศุกร์ที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย) เมื่อ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งและ CEO คนปัจจุบันของ Facebook ได้ทำการโพสต์รูปที่ถ่ายกับป้าย Logo ใหม่ของ Facebook อย่าง Meta โดยมีแคปชันประกอบว่า Hello Meta
ซึ่งภายหลังเจ้าตัวก็ได้มีการออกมาเฉลยว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป Facebook จะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta และทำการรีแบรนด์ใหม่ทั้งหมด เพื่อตอกย้ำถึงการแสดงวิสัยทัศน์ว่าต่อไปนี้ Meta จะเป็นบริษัทสำหรับให้บริการโลกเสมือน หรือ Metaverse อย่างเต็มตัว
โดย Mark Zuckerberg กล่าวเสริมถึงความหมายของ Metaverse ว่ามาจากการรวมกัน 2 คำคือ Meta ที่มาจากภาษากรีกที่แปลว่า "เหนือกว่า" (Beyond) และ Universe ที่แปลว่า “จักรวาล” ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว Metaverse จะแปลความหมายได้ว่า จักรวาลที่เหนือกว่า ไร้ขอบเขต นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม แฟน ๆ ของ Facebook รวมถึงโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ในเครือเช่น Instagram ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะจริงอยู่ว่า Facebook เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta (รวมถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทด้วย) แต่ Mark Zuckerberg ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะยุติการให้บริการของ Facebook หรือเท่ากับว่าทั้ง Facebook และ Instagram ก็ยังใช้งานได้เหมือนเดิมทุกประการ
Metaverse คืออะไร ?
Metaverse คือ เทคโนโลยีที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกแห่งความจริงและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น "โลกเสมือนจริง" ที่สามารถผสานวัตถุรอบตัวและสภาพแวดล้อมให้เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทำกิจกรรมทุกอย่างที่เหมือนโลกแห่งความจริงได้ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ 5G
โดยผสานเทคโนโลยีทั้งแบบ AR (Augmented Reality) อย่างการสร้างตัวละคร Avatar ที่จะเป็นเหมือนร่างกายของคุณบนโลก Metaverse และ VR (Virtual Reality) เช่นการจำลองภาพให้เสมือนจริงแบบ 360 องศา ผ่านการใช้งานแว่นตา Oculus เพื่อเปลี่ยนมนุษย์เข้าสู่โลกเสมือนเข้ามาช่วยให้การสื่อสารและการทำงาน หรือการทำการกิจกรรมอื่น ๆ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร้รอยต่อ บนสิ่งที่เรียกว่าโลกเสมือน Metaverse
โดยกิจกรรมที่จะสามารถเกิดขึ้นได้บนโลก Metaverse นั้นถือว่าเป็นอะไรที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับการใช้ชีวิตของเราเป็นอย่างมาก ถ้าให้เปรียบง่าย ๆ มันคงเปรียบเหมือนกับเป็นอีกโลกหนึ่ง ที่ตัวคุณเองจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ โดยไม่มีข้อกำหนด หรือข้อจำกัดต่าง ๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย (แต่อันดับแรกคุณต้องมีอุปกรณ์ที่จะใช้สัมผัสประสบการณ์ Metaverse อย่างแว่น Oculus ก่อนนะ)
เช่นคุณสามารถเข้าไปเล่นเกมอย่าง Call of Duty หรือ Fortnite ได้เหมือนคุณเป็นตัวละครในเกมจริง ๆ สัมผัสบรรยากาศเหมือนอยู่กลางสนามรบ, ชวนเพื่อนไปดูคอนเสิร์ต ดูภาพยนตร์ นั่งทำงาน กระทั่ง ปาร์ตี้กันได้แบบสนุกสุดเหวี่ยง โดยไม่ต้องกลัวว่าคนจะเยอะ เสี่ยงโควิดเหมือนโลกจริง
หรือทำลายกำแพงด้านระยะทาง ให้คุณสามารถไปเที่ยวได้ตามสถานที่สำคัญทุกที่ของโลก เช่น ไปวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้าที่ Central Park New York เสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นคุยกับเพื่อน ที่หอไอเฟล ปารีส ก็ทำได้แบบเหมือนจริงสุด ๆ
โดยประสบการณ์การติดต่อและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นบน Metaverse ทาง Mark Zuckerberg เชื่อว่าจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าแพลตฟอร์มอื่น หรือแม้แต่การวิดีโอคอลเลยทีเดียว ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองมาก ๆ ว่าเมื่อ Metaverse เปิดให้เข้าใช้งานได้จริง จะสร้างประสบการณ์ที่ดีได้เหมือนที่ Mark Zuckerberg ได้กล่าวไว้หรือไม่
Metaverse มีการใช้งานอย่างไร ?
Meta ได้มีการสรุปอุปกรณ์ที่จะใช้งานเข้าถึงประสบการณ์บนโลก Metaverse ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 แบบได้แก่
- การใช้งานแว่นตา Oculus ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แว่น VR (Virtual Reality) ของ Facebook เองที่ทำให้คุณเห็นภาพ 3 มิติแบบ 360 องศา เพื่อรับประสบการณ์การใช้งานแบบเต็มตัว (Fully Immerse) การใส่แว่น Oculus จะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงที่สุดเกือบ 20,000 บาท
- การใช้งานด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เช่นแว่นตาอัจฉริยะ Ray-Ban Smart Glasses อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ Facebook ที่มีความเป็น Ecosystem เดียวกัน แม้จะไม่ได้รับประสบการณ์การเข้าถึงโลก Metaverse ที่ดีเท่า Oculus แต่ก็จัดว่าได้รับประสบการณ์ในเกณฑ์ปานกลาง ไม่มาก ไม่น้อย
- การใช้งานผ่านอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน จะได้รับประสบการณ์น้อยที่สุด
และสุดท้ายก็คือเรื่องของสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่จำเป็นต้องใช้งานเทคโนโลยีระบบเครือข่ายความเร็วสูง 5G ในการเข้าใช้งานด้วย ถึงจะได้สัมผัสประสบการณ์การเข้าถึงโลก Metaverse ที่ดีที่สุด
สรุปประเด็นของ Metaverse อนาคตของ Facebook ในอนาคต จากปากของ Mark Zuckerberg
The Growth Master ขอมาสรุปประเด็นสำคัญของ Metaverse จากงาน Keynote Facebook Connect 2021 ที่ Mark Zuckerberg ได้อธิบายเกี่ยวกับ Metaverse สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจในคอนเซปต์รวมถึงวิสัยทัศน์ของ Metaverse ดังนี้
ทุกคนจะมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเองใน Horizon World
สำหรับผู้ใช้งาน Metaverse นั้นแต่ละคนจะมีพื้นที่ของตัวเอง หรือที่เรียกว่า Horizon Home ที่เป็นเหมือนบ้านของคุณในโลกเสมือน ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบครันเหมือนบ้านของเราจริง ๆ ซึ่ง Horizon Home นี้ก็เปรียบเหมือนกับการเป็น หน้าแรก ก่อนที่เราจะเข้าใช้งานส่วนต่าง ๆ ของ Metaberse เช่นเล่นเกม หรือเข้าแอปพลิเคชันอื่น ๆ ซึ่ง Horizon Home ของแต่ละคนก็สามารถชวนเพื่อน ๆ ของเราเข้ามาสร้างปฏิสัมพันธ์กันได้
อีกทั้งยังเอาใจคนทำงาน สังคมออฟฟิศด้วยการมี Horizon Workrooms ที่เป็นเหมือนห้องประชุมสำหรับทำงานร่วมกับทีมในบริษัทของเรา ประชุมกันได้โดยไม่ต้องพึ่งการวิดีโอคอล แถมได้ความรู้สึกเหมือนทำงานด้วยกันที่ออฟฟิศ และ Horizon Worlds ที่จะเป็นเหมือนศูนย์กลางโลกเสมือน ที่ในอนาคตจะมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ เข้ามาเชื่อมต่อเพื่อสร้างประสบการณ์การทำกิจกรรมอื่น ๆ บนโลกเสมือนต่อไป
กิจกรรมความบันเทิงต่าง ๆ บนโลก Metaverse ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้
จากนั้น Mark Zuckerberg ได้แนะนำสิ่งที่ทำให้ Metaverse สร้างความแตกต่างจากโลกจริงได้ โดยเริ่มจากอุตสาหกรรม เกมและความบันเทิงที่บนโลก Metaverse เพียงแค่เราใส่แว่น VR ก็สามารถเข้าไปชมคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังในโลกเสมือนพร้อมกับเพื่อนกี่คนก็ได้ (ซึ่งเพื่อนก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ที่เดียวกับคุณ) ไม่ต้องกังวลเรื่องของบัตรหมด สถานที่ หรือคนเยอะเลย เพราะทั้งหมดจะอยู่บน Metaverse
หรือจะทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น เล่นหมากรุก หรือตีปิงปองร่วมกับเพื่อนในโลกเสมือนก็ทำได้เช่นกัน เรียกว่าข้อจำกัดด้านสถานที่นั้น ไม่มีอยู่บนโลก Metaverse เลยแม้แต่น้อย และยังรวมไปถึงอนาคตที่จะมีเกมต่าง ๆ เข้ามาให้ทุกคนได้เล่นกันบน Metaverse ผ่านการสวมใส่แว่น Oculus อีกมากมาย
ยกระดับการออกกำลังกายบนโลกเสมือน (Virtual Exercise)
Metaverse เข้ามายกระดับการออกกำลังกายบนโลกเสมือน ช่วยทำให้ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ สามารถออกกำลังกายบนโลก Virtual Reality ได้อย่างสนุกสนาน เหมือนการออกกำลังกายจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปั่นจักรยาน ชกมวย ฟันดาบ เล่นบาสเกตบอล หรือกีฬาอื่น ๆ ผ่านการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันฟิตเนสต่าง ๆ ซึ่งก็มีหลายเลเวลโปรแกรม ให้ผู้ใช้แต่ละคนได้เลือก ตามความสามารถของตนเอง ทั้งการเล่นแบบมือสมัครเล่น เพื่อความสนุกสนาน, เลเวลสำหรับการออกกำลังกายแบบทั่วไป ไปจนถึงฝึกซ้อมแบบนักกีฬามืออาชีพ ที่อาจทำให้คุณเสียเหงื่อได้จริงเลยทีเดียว
เปลี่ยนโฉมรูปแบบการทำงานกับการสร้างออฟฟิศบน Metaverse
ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ใครหลายคนให้ความสนใจ นั่นก็คือเรื่องของการทำงาน บนโลกเสมือน Metaverse ซึ่งถือเป็นจุดที่ Mark Zuckerberg พูดถึงมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงต้นปี ว่าการเข้ามาของ Metaverse จะช่วยทำให้การทำงานของบริษัท/องค์กรต่าง ๆ ไม่มีขอบเขตหรือข้อจำกัดด้านสถานที่อีกต่อไป
ซึ่งในส่วนของ การทำงาน บนโลกเสมือน Metaverse นั้นจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้เราสามารถประชุมงาน คุยงานได้อย่างสะดวกและเหมือนจริงมาก เหมือนกับมีเพื่อนร่วมงานนั่งอยู่กับเราด้วย (ซึ่งจริง ๆ แล้วจะอยู่กันคนละที่) สามารถพรีเซนต์งาน ระดมไอเดียได้เหมือนการวิดีโอคอล โดยเฉพาะบางอาชีพที่มีความจำเป็นต้องอาศัยการทำงานสไตล์ Visualization เช่น กราฟฟิกดีไซน์ สถาปนิก หรืออื่น ๆ ที่ AR จะเข้ามาทำให้การทำงานของคุณสะดวก และมีประสิทธิภาพเทียบเท่า (หรือมากกว่า) การทำงานแบบปกติ
ส่วนประโยชน์อีกอย่าง นั่นก็คือเรื่องของความสะดวกสบายของการทำงาน ที่ในอนาคตพนักงานอาจไม่มีความจำเป็นต้องเข้า ออฟฟิศจริง ๆ แล้วก็ได้ เพราะในโลกเสมือน Metaverse ได้ทำให้ทุกคนมาอยู่รวมกันในออฟฟิศเดียวแล้ว ช่วยทำให้การทำงานแบบ Remote Working หรือ Hybrid Working มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยลดปัญหาที่เกิดกับสังคมบางอย่าง เช่น แก้ปัญหามลภาวะต่าง ๆ จากการใช้รถยนต์เดินทาง หรือปัญหาการจราจรในแต่ละที่ เป็นต้น
โลกธุรกิจกำลังจะเปลี่ยนไป ด้วยเทคโนโลยี E-Comerce ที่เกิดขึ้นบน Metaverse
สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะ E-Commerce ตลาดบนโลกของ Metaverse ถือเป็นบ่อน้ำมันบ่อใหญ่ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มารวมตัวกันในโลกอนาคต ซึ่งจะเข้ามาส่งเสริมการทำธุรกิจ E-Commerce บนโลกจริง ให้เติบโตได้มากขึ้นอีกด้วย
ซึ่งการเข้ามาจับจองพื้นที่ เริ่มทำร้านค้าในโลกเสมือน Metaverse จะช่วยเสริมประสบการณ์ช้อปปิ้งของลูกค้าได้ดีขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่าง ๆ ที่มี Pain Point ในการทดลองสินค้า ที่แต่ก่อนลูกค้าอยากจะลองสินค้าจริง ๆ ก็ต้องไปถึงเคาน์เตอร์แบรนด์ตามห้าง (ซึ่งบางผลิตภัณฑ์ก็ไม่สามารถลองได้) แต่เมื่ออยู่บนโลก Metaverse แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นไปได้ โดยแบรนด์ต่าง ๆ สามารถสร้างร้านหรือ Studio Brand ของตนเองในโลก Metaverse เพื่อทดลอง Effect หรือ Filter ของเครื่องสำอางแต่ละตัวกับใบหน้าของเราได้
ซึ่งในปัจจุบันก็มีแบรนด์ความงามที่มีชื่อเสียง เริ่มหันมาสนใจและเตรียมตัวสู่โลกเสมือน Metaverse กันบ้างแล้วเช่น Dior, Clinique
นอกจากนั้นแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แบบใดก็ตาม ยังสามารถจับจองพื้นที่ป้ายโฆษณาบนโลก Metaverse ได้เหมือนโลกจริงทุกประการอีกด้วย ซึ่งถือเป็นอีกพื้นที่บนความเป็นออนไลน์ที่น่าสนใจ
แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีการระบุรายละเอียดว่าบนโลกเสมือน Metaverse จะสามารถซื้อ-ขายสินค้ากันบนแพลตฟอร์ม เหมือนแนว E-Commerce ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือบนโลกเสมือน Metaverse จะสามารถเข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ในการช้อปปิ้ง เลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ ให้คุณได้แน่นอนในอนาคต
Metaverse คืออนาคตของการศึกษาแบบไร้ข้อจำกัด ที่เพิ่มจินตนาการในการเรียนรู้
นอกจากเรื่องของไลฟ์สไตล์ การทำงาน กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก Metaverse นั้นอีกประเด็นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือเรื่องของ ‘การศึกษา’ โดยในโลกเสมือน Metaverse จะมีส่วนช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของทุกคน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี
เพราะในเมื่อบนโลก Metaverse ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นจริงได้ โดยไม่มีขอบเขตหรือข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ ทำให้จินตนาการในการเรียนรู้ก็ถูกต่อยอดไปได้อย่างไม่จำกัดเช่นกัน ลองคิดภาพตาม ตัวอย่างเช่น เราสามารถเรียนรู้วิชา ดาราศาสตร์ ผ่านการทัวร์ดวงจันทร์เสมือนจริงบนโลกเสมือน หรือ เราสามารถเรียนพฤกษศาสตร์ ชีววิทยา ผ่านการทัวร์ป่าในอเมซอนโดยที่ตัวเรานั่งอยู่ที่บ้าน
นอกจากนั้นในการศึกษาแบบจริงจังหรือแบบที่เป็นทางการขึ้นมาสักหน่อย บนโลกเสมือน Metaverse ก็ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้ เช่น การศึกษาที่ต้องอาศัยการสอนแบบ Visualization สูง เช่นการเรียนการผ่าตัดของแพทย์ หรือ การเรียนระบบการทำงานของนวัตกรรมต่าง ๆ ก็สามารถจำลองการเรียนการสอนได้อย่างเสมือนจริงที่สุด ด้วยเทคโนโลยี VR ผ่านโลกเสมือนที่ความรู้สามารถนำไปประยุกต์ใช้บนโลกจริงของเราได้ทั้งหมด และทำให้แวดวงอุตสาหกรรมการศึกษาพัฒนาไปได้ไกลมากขึ้นกว่าเดิม
โดยบริษัท Meta (หรือ Facebook เดิม) กำลังตั้งเป้าหมายในการผลักดันกลุ่ม Content Creator และ Programmer ให้เริ่มหันมาสนใจในโลกเสมือน Metaverse มากขึ้นเพื่อหวังสร้างการเติบโตให้แพลตฟอร์มของ Metaverse ต่อไป
ขอเน้นย้ำว่าประเด็นทั้งหมดที่ The Growth Master ทำการสรุปมาให้ทุกคนได้ศึกษากันในครั้งนี้ นั้นยกมาเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับการใช้ชีวิตของเราในอนาคตเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว Mark Zuckerberg และทีมของ Meta ยังได้สรุปสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสู่โลก Metaverse ไว้อีกเยอะพอสมควร (หลัง ๆ จะมีเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ด้วย) ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการศึกษารายละเอียดทั้งหมด สามารถเข้าไปรับชมได้ที่ ลิงก์นี้
สรุปทั้งหมด
ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า Mark Zuckerberg และทีมของ Meta กำลังเดินหน้าเต็มกำลังในการพัฒนา Metaverse ให้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดในอนาคตอันใกล้ ซึ่ง Mark Zuckerberg เองก็ออกมายอมรับแบบแมน ๆ ว่าตอนนี้เขาเดิมพันหมดหน้าตัก (All In) ให้กับ Metaverse ไปแล้ว ด้วยเงินพัฒนาจำนวนมหาศาลกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสุดท้าย Metaverse จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในแง่มุมใดได้อีกบ้าง จะมีเรื่องของ Cryptocurrency หรือ NFT’s ที่จะเข้ามาใช้งานได้แบบเต็มระบบ เหมือนที่ใครหลายคนลุ้นกันหรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ เรากล้าการันตีได้เลยว่าสำหรับโลกของธุรกิจและเทคโนโลยี นี่คือความท้าทายครั้งใหม่ ที่จะมาสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับการทำธุรกิจของคุณได้แน่นอน ซึ่ง โลกเสมือน Metaverse จะกลายเป็นโลกที่ 2 ของมนุษย์ทุกคนได้อย่างที่ Mark Zuckerberg ตั้งใจไว้ได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ ไม่นานเกินรอแน่นอน