แม้ว่าจะพบข้อผิดพลาดด้านการใช้งานมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ก็ต้องยอมรับว่า Facebook ยังคงเป็นผู้นำเบอร์ 1 ด้านแพลตฟอร์ม Social Media ของโลกต่อไป หลังจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Facebook นำโดย Mark Zuckerberg ได้ออกมาแถลงการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2021
ซึ่งจากรายงานผลประกอบการนั้นพบว่า Facebook สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน (2020) โดยรายได้หลักยังมาจากค่าโฆษณาเหมือนไตรมาสที่แล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับ Monthly Active Users ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างไรก็ตามมีประเด็นสำคัญในไตรมาสนี้ ที่ Mark Zuckerberg ต้องออกมาแถลงการณ์อย่างตรงไปตรงมา ในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งาน Facebook ที่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อกลุ่มวัยรุ่นใช้งาน Facebook น้อยลง เพราะมองว่าเป็นแพลตฟอร์มของคนแก่ ซึ่งทำเอา Mark Zuckerberg ถึงกับต้องเร่งประชุมทีมครั้งใหญ่ แล้วรายละเอียดทั้งหมดจะเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามต่อได้ในบทความนี้
ผู้นำ No.1 ! Facebook รายได้เติบโตขึ้นกว่า 35% ในไตรมาสที่เต็มไปด้วยปัญหา
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา Facebook ได้ทำการเปิดเผย รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2021 พบว่ารายได้ทั้งหมดอยู่ที่ 29,010 ล้านดอลลาร์ (นับถึงวันที่ 30 กันยายน) ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นกว่า 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ที่รายได้อยู่ที่ 21,470 ล้านดอลลาร์
ซึ่งตัวเลขที่น่าสนใจอยู่ที่รายได้จากค่าโฆษณาที่เป็นช่องทางที่ Facebook สามารถสร้างรายได้ได้มากที่สุด โดยในไตรมาส 3/2021 รายได้จากค่าโฆษณาของ Facebook อยู่ที่ 28,276 ล้านดอลลาร์ นับว่าเพิ่มขึ้นถึง 33% เมื่อเทียบกับปี 2020 ที่ทำรายได้จากค่าโฆษณาไปแค่ 21,221 ล้านดอลลาร์ เท่านั้น
ภาพจาก facebook
ส่วนกำไรสุทธิที่ Facebook กวาดไปได้ในไตรมาสนี้ ก็มีจำนวนสูงถึง 9,194 ล้านดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 1,400 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว (ช่วงไตรมาส 3/2020 ทำกำไรได้ทั้งหมด 7,846 ล้านดอลลาร์) ซึ่งถือว่ามากกว่าที่ Facebook คิดไว้เพราะถือว่ากำไรยังคงเติบโตขึ้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงของการทำโฆษณา Facebook บนระบบปฏิบัติการ iOS แบบใหม่
ไม่เพียงแต่เรื่องรายได้และกำไรเท่านั้น ที่ Facebook ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะ ตัวเลขจำนวนผู้ใช้งาน Facebook เป็นประจำทุกเดือน หรือ Monthly Active Users ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยในไตรมาส 3/2021 มีตัวเลข MAU’s เพิ่มขึ้น 6% หรือเท่ากับ 2,910 ล้านบัญชีจากทั่วโลก นับเฉพาะแค่แพลตฟอร์ม Facebook อย่างเดียวเท่านั้น
แต่ถ้าเกิดนับตัวเลขของแพลตฟอร์มอื่น ๆ ในเครือของ Facebook ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Instagram, WhatsApp, Messenger และบริการอื่น ๆ จะมีตัวเลขผู้ใช้งานรวมอยู่ที่ 3,580 พันล้านคน นับว่าเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว
โดยเรื่องนี้ทาง CFO (Chief Financial Officer) ของ Facebook อย่าง Dave Wehner ได้ออกมาแถลงการณ์เอาไว้เพิ่มเติมว่า จริงอยู่ที่รายได้และกำไรส่วนใหญ่ของ Facebook ยังคงเติบโตได้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าผลกระทบของรายได้โฆษณาที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสถัดไป (4/2021) นั้นยังมีความไม่ชัดเจนเป็นอย่างมาก
เพราะผลกระทบจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวของ iOS 14.5 ที่ทำให้ผู้ใช้งาน iOS สามารถเลือกได้ว่าจะให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ Tracking การใช้งานหรือไม่ ยังส่งผลอยู่และมีแนวโน้มว่าคนส่วนใหญ่จะเริ่มกดไม่ให้ติดตามเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกจากโควิด-19 ก็ยังไม่ฟื้นตัวเป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ Facebook และทีมงานทุกคนจะต้องวางแผนรับมือถึงความเปลี่ยนแปลงที่ Dave Wehner ได้กล่าวมาให้ได้ เพื่อการสร้างการเติบโตที่มากขึ้นไปกว่าเดิมในไตรมาสหรือปีถัดไป อีกทั้งในไตรมาสหน้า Facebook จะมีการแบ่ง Category ของธุรกิจออกเป็น 2 ประเภท เพื่อความง่ายในการจำแนกได้แก่
- Family of Apps (FoA) คือ บริการแพลตฟอร์มหลักที่รวม Facebook, Instagram, Messenger, WhatsApp และบริการแพลตฟอร์มอื่น ๆ ในเครือ Facebook ทั้งหมด
- Facebook Reality Labs (FRL) คือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และคอนเทนต์ของ VR และ AR ทั้งหมดในเครือ Facebook เช่น แว่นตา RayBan Stories ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานก็นับว่าเป็นธุรกิจฝั่ง FRL เหมือนกัน
โดยในไตรมาสหน้า Facebook จะมีการจำแนกตัวเลขรายได้และกำไร ของทั้ง 2 ประเภทธุรกิจอย่างชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้เห็นถึงการเติบโตของแต่ละ Business Unit ที่ Facebook มีอยู่อย่างชัดเจน เพื่อสเกลการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มเป้าหมายเปลี่ยน! เมื่อ Facebook ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่ถูกยอมรับของกลุ่มวัยรุ่นอีกต่อไป..
อย่างไรก็ตามแม้ตัวเลขรายได้และผลกำไรของ Facebook ในไตรมาสนี้ยังสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องมีเรื่องให้ Mark Zuckerberg วุ่นวายกันต่อ เพราะมีสื่อหลายสำนักจากสหรัฐฯ ได้ออกมาเผยว่า จริง ๆ แล้วตอนนี้ Facebook กำลังปิดข่าวเรื่องที่กลุ่มวัยรุ่นในสหรัฐฯ ใช้งาน Facebook กันน้อยลง โดยจากตัวเลขที่มีการเก็บสถิติมาล่าสุดพบว่า ในปี 2019 ผู้ใช้งาน Facebook ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น (อายุต่ำกว่า 20 ปี) มีจำนวนลดลงถึง 13%
และทีมงานของ Facebook ได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า จะมีจำนวนผู้ใช้งานกลุ่มวัยรุ่นที่ลดลงไปอีกกว่า 45% อีกทั้งกลุ่มผู้ใช้งานที่มีอายุ 20-30 ปี ก็จะมีจำนวนลดลงอีก 4% ด้วยเช่นกัน
รวมถึงสื่อชั้นนำอย่าง The Verge และ Bloomberg ยังได้ออกมาเปิดเผยอีกว่าจำนวนผู้ใช้งานฐานกลุ่มวัยรุ่นของ Facebook กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาเกิดค่านิยมว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มของผู้ใหญ่ช่วงอายุ 40-50 ปี ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาและโพสต์แสนน่าเบื่อ มีแต่เนื้อหาแง่มุมด้านลบ
ในทางกลับกันแพลตฟอร์มที่อยู่ในเครือเดียวกันกับ Facebook อย่าง Instagram กลับเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นมากกว่า แต่จำนวนผู้ใช้งานกลุ่มวัยรุ่นก็กำลังลดลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ Instagram ต้องหนักใจเท่าไรเพราะตัวเลขผู้ใช้งานกลุ่มวัยรุ่น (ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี) ของ Facebook นั้นลดลงเร็วกว่ามาก
โดยปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ทาง Facebook นำโดยหัวเรือใหญ่อย่าง Mark Zuckerberg ต้องออกมาจัดการโดยด่วน เพราะเป็นปัญหาที่กระทบต่อประสบการณ์การใช้งานและภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่ง Mark Zuckerberg ถึงขั้นประชุมด่วนกับทีมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ซึ่งในการประชุมครั้งนั้นทำให้ Mark Zuckerberg ได้ข้อสรุปในการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายใหม่ เป็นเหมือนการโฟกัสครั้งใหม่ของบริษัท ซึ่งฐานลูกค้าที่ Facebook เล็งไว้ใหม่ก็คือ กลุ่มวัยหนุ่ม-สาว หรือกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ Facebook เท่านั้น แต่รวมถึง Instagram ที่จะมีการเปลี่ยนทิศทางไปเจาะกลุ่มเป้าหมายในช่วงอายุนี้ที่มากขึ้นด้วย
แต่จะมีการเปลี่ยนทิศทางการเข้าหากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม Mark Zuckerberg ก็ยังยืนยันว่าจะไม่ได้ทิ้งกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ เพราะ Facebook ยังมีความจำเป็นต้องสร้างการเติบโตและใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อสร้าง Metaverse หรือรูปแบบของการสร้างองค์กรแบบใหม่ที่เชื่อมต่อระหว่าง Virtual Reality และโลกมนุษย์จริง ๆ ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นแผนการที่ Mark Zuckerberg ยืนยันว่าไม่ทิ้งแน่นอน
โดย Mark กล่าวเพิ่มเติมถึงคู่แข่งที่น่ากลัวของ Facebook ไว้ว่าตอนนี้เราต้องจับตาการเติบโตของ TikTok และ iMessage (แอปแชทของ Apple) ที่กำลังมาแรง ที่ตอนนี้เรากำลังเร่งพัฒนาฟีเจอร์ Reels ของ Instagram อย่างหนัก เพื่อใช้ในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มที่กล่าวมา ซึ่งในปีหน้า Facebook จะมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอมากขึ้น หลังจากที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทั้ง Facebook และ Instagram เพิ่มฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์วิดีโอมาเป็นจำนวนมาก
รวมถึงเป้าหมายในการสร้าง Metaverse ก็รวมอยู่ในทิศทางปีหน้าของบริษัทด้วยเช่นกัน ซี่งเรื่องนี้ Mark ได้กล่าวปิดท้ายว่า Facebook นั้นเอาจริงกับการสร้าง Metaverse เป็นอย่างมากโดยเรามีเป้าหมายให้สามารถเข้าถึงได้ในหลักพันล้านคนทั่วโลก ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ทางการค้าและเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราคาดการณ์ว่าอาจมีมูลค่าสูงถึงหลักแสนล้านดอลลาร์
สรุปทั้งหมด
นับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายโจทย์การทำงานของ Facebook เป็นอย่างมากในการเปลี่ยนทิศทางการเจาะกลุ่มเป้าหมาย ที่จะไปเน้นโฟกัสสร้างฟีเจอร์เจาะกลุ่มวัยทำงาน กลุ่มวัยหนุ่มสาวมากขึ้น แล้วดันให้ Instagram เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการสร้างการแข่งขันกับคลื่นลูกใหม่ (ที่ใหญ่มาก) อย่าง TikTok
คราวนี้ต้องมาดูกันว่า Facebook นำโดย Mark Zuckerberg จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับ Facebook ในปีหน้าได้มากแค่ไหน แล้วสิ่งที่ Mark ตั้งเป้าหมายไว้อย่างการสร้างโลก Metaverse จะเป็นจริงหรือไม่ เชื่อว่าปีหน้า (หรืออีกไม่เกิน 3 ปี) เราน่าจะได้เห็นเค้าโครงรูปร่างมากขึ้นอย่างแน่นอน
แต่จะออกมาประสบความสำเร็จเหมือนที่พวกเขาตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ Users อย่างเราทุกคน จะเป็นผู้ที่กำหนด..