Services
Services
Performance MarketingContent Led GrowthLaunchpad WebsiteBranding
PORTFOLIO
Let's Talk
Services
Performance MarketingContent Led GrowthLaunchpad WebsiteBranding
Services
Portfolio
Let's Talk
คุยกับเรา
Thank you! Your submission has been received!
Oops! Something went wrong while submitting the form.

Growth Update

สาย Ads งานหนัก! ผลสำรวจเผยผู้ใช้งาน iOS14.5 ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้แอปพลิเคชันติดตามกิจกรรมการใช้งาน

ผลสำรวจยืนยัน! ผู้ใช้งาน iOS14.5 ทั่วโลกกว่า 90% ไม่ยินยอมให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำการ Tracking ข้อมูลและกิจกรรมส่วนตัวเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการทำการตลาด
By
Pea Tanachote
May 10, 2021
Light
Dark
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

สำหรับใครที่ต้องทำงานในสาย Digital Marketing โดยเฉพาะคนที่ต้องคลุกคลีกับ Facebook Ads ช่วงนี้อาจจะต้องเจองานหนักสักหน่อยเพราะการเข้ามาของระบบปฏิบัติการ iOS14.5 เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว ซึ่งหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของระบบปฏิบัติการ iOS14.5 ที่ถูกอัปเดตเพิ่มเข้ามาก็คือเรื่องของ App Tracking Transparency หรือระบบความโปร่งใสในการติดตามของแอปพลิเคชันต่าง ๆ

ซึ่งตัว App Tracking Transparency นี้เองที่จะเข้ามาทำให้การทำโฆษณาออนไลน์มีความท้าทายขึ้น เพราะถ้าผู้ใช้งานเลือกที่จะกด ไม่อนุญาตให้แอปติดตามกิจกรรมการใช้งาน นั่นเท่ากับการยิงโฆษณาแบบเจาะจงเป้าหมายที่เคยสร้างความได้เปรียบให้กับธุรกิจคุณจะทำได้ยากขึ้นเป็นสองเท่า

และเชื่อว่าคงมีนักการตลาดบางส่วนก็ต้องการทราบข้อมูลเหมือนกันว่าแล้วแบบนี้พฤติกรรมของผู้ใช้งานส่วนใหญ่เขาเลือกกดให้แอปพลิเคชันติดตามการใช้งานกันมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้ทำการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือช่องทางในการทำโฆษณาออนไลน์

เรื่องนี้ถูกไขข้อสงสัยโดยบริษัท Flurry ที่ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งาน iOS14.5 ทั่วโลกมาตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน พบว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่เลือกที่จะกด “ไม่อนุญาตให้แอปติดตามกิจกรรมการใช้งาน” เท่ากับว่าการทำ Facebook Ads หลังจากนี้จะเป็นโจทย์หินของนักการตลาดอย่างแท้จริง แล้วเรื่องทั้งหมดนี้จะมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง The Growth Master สรุปมาให้คุณแล้ว ติดตามต่อได้เลย

App Tracking Transparency คืออะไร ? ทำไมถึงเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้

App Tracking Transparency คือระบบความโปร่งใสการติดตามและเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้งานของแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนระบบ iOS14 ทั้งหมด ซึ่งจะรวมถึงระบบปฏิบัติการ iPadOS 14 ด้วยซึ่งตัว App Tracking Transparency นี้เองก็ถือเป็นฟีเจอร์สำคัญที่ถูกเพิ่มเข้ามาล่าสุดจากไอเดียของ Apple ที่ต้องการทำให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของผู้ใช้งานบนอุปกรณ์ของตนมีความปลอดภัยมากขึ้น

ภาพจาก fonearena

สำหรับใครที่ไม่ได้มีความรู้ด้าน Digital Marketing มาเลยต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนครับว่าในการที่เราเข้าใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ เหล่านักการตลาด นักโฆษณาจะทำการไปติดตั้งระบบ Tracking ต่าง ๆ ในแอปพลิเคชันนั้น ๆ เพื่อทำการยิงโฆษณาที่เกี่ยวข้องไปหาตัวคุณ เช่น สมมติคุณเข้า Shopee เพื่อไปเลือกซื้อรองเท้าวิ่งสักคู่ แต่คุณยังไม่ได้ทำการซื้อ กดออกจาก Shopee มาก่อน และเมื่อคุณกลับไปเล่น Facebook, Instagram คุณกลับเจอ Ads ของรองเท้าวิ่งทั้งแบรนด์ที่คุณเล็งไว้ หรือแบรนด์อื่น ๆ โผล่มาหน้า News Feed เต็มไปหมด (คล้าย ๆ Retargeting) นี่แหละครับคือการติดตามกิจกรรมการใช้งานที่เราพูดถึง ซึ่งเทคนิคนี้สามารถสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจทั้งเล็กหรือใหญ่มาแล้วมากมาย

แต่พอมาในปัจจุบันทาง Apple กลับมองว่าการกระทำแบบนั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยในการใช้งานของผู้ใช้ เพราะนอกจากเป็นการทำให้ฝั่งแบรนด์สามารถ Tracking ข้อมูลของผู้ใช้งานเพื่อเอาไปทำการโฆษณาได้อย่างเต็มที่ บางธุรกิจยังหัวใสแอบเอาข้อมูลของผู้ใช้งานไปขายให้กับนายหน้าที่รับซื้อข้อมูลของผู้ใช้งานแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของตัวเองอีกด้วย ซึ่งข้อมูลนั้นก็คือข้อมูลส่วนตัวที่เราลงทะเบียนผ่าน Apple ID นั่นเอง

เลยทำให้ Apple ที่ยึดมั่นมาตลอดว่า “ลูกค้าของเราไม่ใช่สินค้าของใคร” ต้องออกการอัปเดต App Tracking Transparency มาเพื่อเป็นตัวเลือกให้ผู้ใช้งานได้มีสิทธิ์ที่จะยินยอมในการให้ระบบ Tracking การดำเนินกิจกรรมและข้อมูลส่วนตัวของตน ซึ่งในที่นี้ผู้ใช้ก็สามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาต ให้แอปพลิเคชันเลือกติดตามหรือไม่ โดยถ้ากด Allow หรืออนุญาตก็เท่ากับให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ สามารถ Tracking การดำเนินกิจกรรมและข้อมูลส่วนตัวของตนได้ต่อไปเหมือนเดิม แต่ถ้าเกิดว่าคุณไม่ต้องการให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ มายุ่งเกี่ยวกับคุณก็เลือก Ask App Not To Track 

ภาพจาก macrumors

ถึงอย่างไรก็ตามคุณสามารถเลือกได้ว่าคุณจะปิดการ Tracking ข้อมูลและกิจกรรมจากแอปพลิเคชันไหนบ้าง (ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งหมด) เช่นถ้าคุณไม่ต้องการให้ Lazada ได้สิทธิ์ในการ Tracking ข้อมูลของคุณแต่ต้องการให้ Shopee ยังสามารถ Tracking ข้อมูลของคุณได้อยู่เพื่อการเห็นโฆษณาสินค้าใหม่ ๆ ที่ตัวเองสนใจ ก็สามารถเข้าไปที่ Settings เพื่อตั้งค่า App Tracking Transparency แบบเจาะจงเป็นแอปได้เลยเช่นกัน

ภาพจาก iphonemod

และที่ผมต้องบอกว่าเป็นโจทย์หินของนักการตลาดโดยเฉพาะสาย Ads ก็เพราะว่าถ้าผู้ใช้งานเลือกที่จะไม่อนุญาตให้แอปพลิเคชัน Tracking กิจกรรมของพวกเขานั่นเท่ากับ ผู้ใช้งานก็จะไม่เห็นโฆษณาของสินค้าที่พวกเขาเคยเห็นแล้วอีกซึ่ง Facebook ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ใช้งานกำลังสนใจอะไรอยู่ บอกเลยว่านี่คือโจทย์ใหญ่สำหรับนักการตลาดที่จะไม่สามารถใช้ Ads ในรูปแบบเดิม ๆ มาทำการตลาดได้อีกต่อไป

แม้ระบบปฏิบัติการ Android จะยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่เรื่องของ App Tracking Transparency ก็สร้างแรงสะเทือนต่อ “ภาพรวม” ของการทำโฆษณาออนไลน์ได้พอตัวเพราะว่าระบบในการเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง (Custom Audience) ทั้งจากฝั่งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ก็จะทำได้น้อยลง ซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้คุณภาพของกลุ่มเป้าหมายในการทำ Lookalike ลดลงไปด้วยเช่นกัน รวมถึงการยิง Ads แบบ Application Install หรือ Conversion ก็จะถูกลดประสิทธิภาพลงไปด้วย

ผลสำรวจชี้ชัด! ผู้ใช้งาน iOS 14.5 ส่วนใหญ่เลือกที่จะ “ไม่อนุญาต” ให้แอปพลิเคชัน Tracking กิจกรรมการใช้งาน

สำหรับนักการตลาดท่านใดที่กำลังมองโลกในแง่บวกอยู่ว่าการที่ iOS14.5 มีคำขอ App Tracking Transparency ก็ไม่ได้แปลว่าผู้ใช้งานจะพร้อมใจกันกด “ไม่อนุญาต” กันทั้งหมด อาจมีผู้ใช้งานส่วนใหญ่ที่ยินยอมให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ Tracking ข้อมูลกันบ้างก็ได้ เพราะการทำ Ads ที่จะมีปัญหานั้น ถ้าผู้ใช้งานกดอนุญาต ทุกอย่างมันก็จบ แต่สมมติฐานของคุณจะถูกต้องจริงหรอ?

ล่าสุดข้อสงสัยนี้ได้ถูกคลี่คลายแล้วโดยบริษัท Flurry ที่เป็นบริษัทด้าน Application Analytics ได้ทำการสำรวจถึงพฤติกรรมผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ iOS14.5 เป็นเวลา 2 สัปดาห์ตั้งแต่ที่ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันนี้ถูกปล่อยออกมาให้ใช้งานกันครั้งแรกในวันที่ 26 เมษายน ว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเลือกให้แอปพลิเคชันสามารถ Tracking กิจกรรมของพวกเขากันไหม

ซึ่งทาง Flurry ได้ทำการสำรวจใน 2 กลุ่มประชากรได้แก่ กลุ่มผู้ใช้งาน iOS14.5 ในสหรัฐอเมริกาและกลุ่มผู้ใช้งาน iOS14.5 จากทั่วโลก โดยในกลุ่มแรกจากผู้ใช้งานในอเมริกาพบว่า ในวันที่ 26 เมษายน (วันแรกที่เปิดให้อัปเดต iOS14.5) จากกลุ่มตัวอย่างจำนวนกว่า 2.5 ล้านบัญชีมีเพียงแค่ 2% เท่านั้นที่ยินยอมให้แอปพลิเคชัน Tracking ข้อมูลและกิจกรรมการใช้งาน และเมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ (8 พฤษภาคม) มียอดผู้ใช้งานที่กดยินยอมเพิ่มขึ้นมาเป็น 5% จากผู้ใช้งานทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาหรือมีแค่ 125,000 บัญชีจากทั้งหมด 2.5 ล้านบัญชีที่กดยินยอม

ภาพจาก flurry

ส่วนฝั่งที่ 2 ฝั่งผู้ใช้งาน iOS14.5 ทั่วโลกพบว่าจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนกว่า 5.3 ล้านบัญชีมีเพียงแค่ 11% เท่านั้นที่ยินยอมให้แอปพลิเคชัน Tracking ข้อมูลและกิจกรรมการใช้งานในวันแรกที่เปิดตัว iOS เวอร์ชันนี้ และเมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์พบว่ามียอดผู้ใช้งานที่กดยินยอมขยับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 13% เท่านั้นหรือมีแค่ 689,000 บัญชีจากผู้ใช้งานทั่วโลกเท่านั้นที่กดยินยอม

ภาพจาก flurry

ซึ่งจากตัวเลขทั้ง 2 กลุ่มตัวอย่างผู้ใช้งานสิ่งที่เราสังเกตุได้เลยก็คือตัวเลขของผู้ใช้งานที่ยินยอมให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ Tracking ข้อมูลและกิจกรรมของเรามี “น้อยมาก” สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เริ่มมองว่าเรื่องของ Privacy Policy นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญต่อพวกเขามากขึ้น และผู้ใช้งานคงไม่ชอบที่ทางฝั่งแบรนด์นำเอาข้อมูลกิจกรรมต่าง ๆ ของตนไปสร้างประโยชน์ทางการตลาด จะเรียกได้ว่าการเข้ามาของระบบ App Tracking Transparency ช่วยตอบโจทย์ปัญหาของกลุ่มผู้ใช้งานบางส่วนได้ดีแค่ไหน

อย่างไรก็ตามทาง Flurry ก็ได้ออกมาทิ้งท้ายว่าข้อมูลทั้งหมด เป็นเพียงแค่การสำรวจโดยใช้เวลาเพียง 2 อาทิตย์หลังจาก iOS14.5 เปิดตัว ดังนั้นผลสำรวจฉบับนี้ก็ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปได้ตามเทรนด์ในอนาคต ซึ่งก็อาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ แต่จากข้อมูลชุดนี้ก็น่าจะทำให้คุณรู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่าพฤติกรรมผู้ใช้งานส่วนใหญ่ “ไม่เห็นด้วย” กับเรื่องการติดตามข้อมูลและกิจกรรมส่วนตัว

สรุปทั้งหมด

สำหรับใครที่ทำงานด้าน Digital Marketing หรือด้าน Ads ทั้งหลายบอกเลยว่าคุณกำลังเจอความท้าทายระลอกใหม่ที่จะมาวัดไอเดียในการแก้ปัญหาของคุณ ซึ่งสำหรับทางออกของเรื่องนี้ก็มีอยู่ 2 ทางที่เราแนะนำ อย่างแรกคือใช้เทคนิคเชิงลึกในการเข้าแก้ปัญหาเช่น ทำการ Verify Domain ใน Facebook Business Manager หรือการอัปเดต Facebook SDK เพื่อให้การทำโฆษณาบน iOS14.5 ยังพอแสดงผลได้อยู่

หรือทางออกที่ 2 คือหันมาใช้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing มากขึ้นเช่นการเขียนบทความเพื่อการทำ SEO , การทำ Original Content ในรูปแบบต่าง ๆ แม้ประสิทธิภาพอาจจะไม่มีความหวือหวา รวดเร็วเท่ากับการใช้ Ads แต่วิธีดังกล่าวจะช่วยสร้างคุณค่าและความยั่งยืนให้กับธุรกิจคุณได้ดี และที่สำคัญคือทำให้คุณไม่ต้องใช้งบประมาณมากมายไปกับการยิง Ads เหมือนก่อน

แต่อยากให้ทุกคนสบายใจครับว่าถึงอย่างไร Facebook ที่น่าจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คงไม่ยอมให้ฝั่ง Apple ทำแบบนี้ไปได้ตลอดแน่นอน เพราะรายได้หลักส่วนใหญ่ของ Facebook ก็มาจากการโฆษณานี่แหละ ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าเร็ว ๆ นี้ Facebook ต้องออกมาหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้ เพื่อให้การทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มของตนสะดวกเหมือนเดิมแน่นอน

Source : flurry , macrumors
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

คุณอาจจะชอบบทความนี้...

สรุปสถิติ Digital และ Social Media จาก We Are Social ที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้ อัปเดตปี 2023
รวม 7 บทความการตลาดที่เราแนะนำให้คุณอ่านก่อนปี 2023

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

เราช่วยธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม

Services
Growth AgencyDesign StudioSoftware ConsultingDigital TalentsOur Portfolio
Category
All ArticlesSoftware ReviewGrowth Trends
Company
We're HiringCommunityContact
ติดตามข้อมูลการตลาด
Growth Hacking ได้เลยทีนี่
มากกว่า 4,000 บริษัทติดตาม The Growth Master ตอนนี้
ไปที่หน้า Subscribe

© Copyright 2024 The Growth Master Company Limited All Rights Reserved