Service
Business Tech Stack ConsultantClickUp ConsultantSAP APITech ReviewEndlessloop ConsultantMarketing Service
Service
All Articles
Growth Trends
Growth Video
We Need Tool Talk
Startup Partners
Community
Advertise
ClickUp Course
Subscribe
🔥 Hot!
สอบถามทุกปัญหาเกี่ยวกับการสร้างธุรกิจด้านดิจิทัลที่นี่
Service
Business Tech Stack ConsultantClickUp ConsultantSAP APITech ReviewEndlessloop Consultant
Service
All Articles
Growth Trends
Growth Video
We Need Tool Talk
Startup Partners
Community
Advertise

software review

Google Optimize ทดสอบเว็บไซต์ แบบไหนที่ผู้ใช้รัก (สาย Growth ห้ามพลาด)

By
Eung Rachkorn
February 28, 2021
Light
Dark
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ
Eung Rachkorn
Eung Rachkorn

เป็นนักทดลองผิด และรับแก้ปัญหาแบบผิด ๆ ด้วย ชอบท้องฟ้า, ดาวอังคาร, อวกาศ และกลิ่นฝน กำลังตื่นเต้นกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทุกวัน 🪐

นักเขียน

เลือกอ่านตามหัวข้อ

- ทำไมการทดลองเว็บไซต์จึงสำคัญ
- Google Optimize เครื่องมือทดลองเว็บไซต์ให้ถูกใจยูสเซอร์
- Experiment Type : ระบบการเทสต์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
- สร้างหน้าเว็บไซต์ให้ตรงใจกับผู้ใช้ที่แตกต่างกันด้วย Personalize
- วิธีการใช้งาน Google Optimize เบื้องต้น
- ข้อดีข้อเสีย
- ทำไมการทดลองเว็บไซต์จึงสำคัญ
- Google Optimize เครื่องมือทดลองเว็บไซต์ให้ถูกใจยูสเซอร์
- Experiment Type : ระบบการเทสต์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
- สร้างหน้าเว็บไซต์ให้ตรงใจกับผู้ใช้ที่แตกต่างกันด้วย Personalize
- วิธีการใช้งาน Google Optimize เบื้องต้น
- ข้อดีข้อเสีย

ทำไมต้องมีนักออกแบบปุ่ม?

รู้หรือไม่ ในบริษัทใหญ่หลาย ๆ บริษัท มีนักออกแบบปุ่ม Call To Action (CTA) โดยเฉพาะ หรือแม้กระทั่งปุ่มไลก์ ปุ่ม Engagement ในเฟซบุ๊ก ก็ผ่านการคิดอย่างรอบคอบว่า สีแบบไหน ใช้คำว่าอะไร รูปทรงปุ่มที่โค้งมนหรือสี่เหลี่ยม แบบไหนล่ะที่จะทำให้คุณกดที่ปุ่มนั้น

ภาพจาก Skooldio

‍

เพราะปุ่มเหล่านั้น จะช่วยพาผู้ใช้ให้ไปยังปลายทางที่เราต้องการ อาจจะเป็นการคลิกเพื่ออ่านต่อ การคลิกเพื่อสั่งซื้อ การคลิกเพื่อแชร์ (ซึ่งทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากขึ้น) ดังนั้นปุ่มเหล่านี้จะต้องผ่านการออกแบบมาอย่างดี กดได้ง่ายและตรงเข้าหาเป้าหมายของธุรกิจได้ทันที

และแน่นอน การทดลองคือหัวใจส่วนสำคัญ

ถึงแม้การทดลองจะเป็นวิธีที่เรียบง่ายในการทำความเข้าใจผู้ใช้ หาองค์ประกอบที่สร้างอิมแพคได้มาก ปรับแต่งเว็บไซต์ตามนั้นได้โดยไม่หลงทาง แต่จากรายงานกลับพบว่า 45% ของธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง มักไม่ทำการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ (Optimize) เพราะมองว่า ในการทดลองเพื่อหาผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เป็นวิธีที่ใช้ทรัพยากรค่อนข้างสูงทั้งในด้านทั้งบุคคล การเงิน เวลา และความรู้

รวมไปถึงเว็บไซต์ที่จะทำการทดลองนั้นควรมี Traffic พอมาก (มากกว่า 1,000) เพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจน

ดังนั้นเครื่องมือที่เราจะมาแชร์ในวันนี้ จึงเป็นเครื่องมือดี ๆ ใช้งานง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่าย!

เหมาะสำหรับการเปิดประตูสู่โลกแห่งการทดลองทางการตลาดอย่างที่สุด ไปทำความรู้จักกับ Google Optimize กันเลย!!

Google Optimize เครื่องมือทดลองเว็บไซต์ให้ถูกใจยูสเซอร์





Google Optimize คือ เครื่องมือที่ใช้จำลอง - ทดลองเพื่อหารูปแบบเว็บไซต์ที่ถูกใจผู้ใช้มากที่สุด เป็นหนึ่งในเครื่องมือบน Google Analytics จะทำงานร่วมกันในการทดสอบสมมติฐานของคุณที่มีต่อองค์ประกอบหน้าเว็บนั้น

เช่น รูปคนจริงหรือรูปกราฟิกดึงดูดมากกว่ากัน สีเขียวมีผลให้คนกดปุ่มมากขึ้นจริงหรือไม่ (มี Click Rate สูงขึ้น) การใช้ฟอนต์ที่มีหัวโค้งมนจะทำให้คนอ่านรู้สึกเป็นมิตรและน่าอ่านมากขึ้น (มี Avg. time duration/page สูงขึ้น) เป็นต้น

ในตอนแรก Google Optimize ใช้งานได้บน Google Analytics 360 เท่านั้น (แพ็กเกจเสียเงิน) ก่อนจะปล่อยให้ใช้งานได้ฟรีเมื่อ 30 มีนาคม 2017 เพื่อสนับสนุนให้บริษัทขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการเครื่องมือทรงพลังมาช่วยในการทำเทสต์เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การทดลองใช้เวลาเพื่อเก็บสถิติ ยิ่งมีมาก ยิ่งแม่นยำ ถ้าคุณเริ่มก่อน คุณจะเป็นคนที่เติบโตก่อน และเป็นผู้นำในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มผู้ใช้

โดย Optimize จะช่วยคุณทำการทดลองได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น A/B Testing, Multivariate Testing หรือ Split URL Testing โดยใช้ Visual Editor ในการปรับเปลี่ยนหน้าตาหรือองค์ประกอบบนเว็บไซต์ของแต่ละตัวแปรได้โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโค้ด

ค้นหาว่ารูปแบบไหน คือรูปแบบที่ผู้ใช้ชอบมากที่สุด ใช้รูปแบบนั้น และนำไปสู่การเข้าชมหน้าเว็บไซต์ที่มากขึ้น มี Conversion Rate ที่สูงขึ้น



ทั้งหมดของ Optimize คุณสามารถเริ่มใช้งานได้โดยเพิ่มโค้ดเข้าไปบรรทัดเดียวเท่านั้น!


เริ่มใช้งานทันที

Experiment Type : ระบบการเทสต์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

คุณสามารถสร้างประสบการณ์การเข้าชมเว็บไซต์ที่ดีให้กับผู้ใช้ได้ผ่านการทดลอง 3 รูปแบบของ Optimize

A/B Test

หรือที่เรียกว่า Split Test คือ การทดลองสุ่มระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไปให้ผู้ใช้ในปริมาณที่เรากำหนด แล้วดูผลลัพธ์ว่าเกิด Conversion จากตัวแปรไหนมากที่สุด

ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น

ภาพจาก Startup for Startup

‍

ตั้งสมมติฐานขึ้นมาว่า การเปลี่ยนปุ่มสีฟ้าให้เป็นสีแดงจะช่วยดึงดูดให้ผู้ใช้มองเห็นปุ่มชัดเจนขึ้น และทำให้ผู้ใช้คลิกปุ่มเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% หรือไม่

ตัวแปร 1 : ปุ่มสีแดง

ตัวแปร 2 : ปุ่มสีน้ำเงิน

โดย Optimize จะสุ่มส่งแบบที่ 1 และ 2 ไปให้ผู้ใช้คนละกลุ่มกัน ในปริมาณที่เรากำหนด แต่ปกติแล้วมักจะตั้งค่าให้ส่งไปในปริมาณที่เท่า ๆ กัน เพื่อที่จะเห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

Multivariate Test

จะมีฟังก์ชันที่แตกต่างจาก A/B Test เล็กน้อย คือ Multivariate Test จะมีการจับคู่ระหว่างเซ็กชัน แล้วระบบของ Optimize จะทำการจับคู่รูปแบบทั้งหมดออกมา ส่งแบบสุ่มให้กับผู้ใช้ หาว่าคู่ไหนคือการจับคู่หรือคอมบิเนชันที่ลงตัวและทำให้เกิด Conversion มากที่สุด โดยสามารถสร้างคอมบิเนชันได้สูงสุด 16 รูปแบบ (ถ้าเป็น Optimize 360 จะได้มากถึง 36 รูปแบบ)


ยกตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์สำนักข่าวออนไลน์ อาจใช้ทดสอบว่าในข่าวข่าวหนึ่ง ตั้งชื่อหัวข้อ (Heading) แบบไหน คู่กับรูปข่าวไหนที่ดึงดูดให้คนคลิกเข้าไปอ่านต่อมากที่สุด



รูปแบบที่ถูกใจยูสเซอร์มากที่สุดอาจจะเป็นรูปแบบที่ไม่ได้คุณคิดไว้ตั้งแต่ทีแรกก็ได้นะ

Split URL Test

หรือ Redirect Test ที่จะช่วยให้คุณทดสอบหน้าเว็บไซต์ที่ลักษณะแตกต่างกันว่ารูปแบบไหนที่สร้างประสบการณ์ที่ดีได้มากกว่า มักใช้ในการทดสอบ Landing Page ที่ต่างกัน หรือ ทดสอบการดีไซน์หน้าเว็บไซต์ที่แตกต่างกัน


ในจุดนี้อาจจะเกิดความสงสัยว่า Redirect Test นั้นแตกต่างจาก A/B Test อย่างไร

การทำ A/B Test ที่ Optimize ออกแบบมานั้นคือ ในลิงก์เดียวกัน คุณสามารถทดสอบองค์ประกอบในนั้นให้แตกต่างกันได้ โดยมีข้อแนะนำให้ทดลองครั้งละ 1 อย่างเท่านั้น เช่น เปลี่ยนฟอนต์หัวข้ออย่างเดียว ไม่ทดลองร่วมกับการเปลี่ยนสี เป็นต้น ไม่อย่างนั้นคงจะมึนกันน่าดูว่าผลลัพธ์ที่ดีนี้ มาจากการเปลี่ยนฟอนต์หรือการเปลี่ยนสีกันแน่

การทำ Split URL Test ก็เหมือนตามชื่อเลย คือ ลิงก์ของทั้งสองหน้าจะเป็นลิงก์คนละลิงก์กัน สุ่มพาผู้เข้าชมเว็บไซต์ไปลงที่หน้าเว็บไซต์ที่มีการออกแบบคนละแบบกัน เพื่อทดสอบการวางองค์ประกอบ การจัดรูปแบบ ว่าแบบไหนผู้ใช้รักมากกว่า


ยกตัวอย่างจากภาพด้านบน เป็นเว็บไซต์ The Growth Master 2.0

เมื่อผู้ใช้มายังหน้าเว็บไซต์ผ่านลิงก์ https://thegrowthmaster.com/ ระบบจะสุ่มพาผู้ใช้กลุ่มหนึ่งไปยัง Landing Page ของ The Growth Master ซึ่งเป็นลิงก์ตัว Original ที่ได้รับการออกแบบใหม่เรียบร้อยแล้ว และอีกกลุ่มจะถูกพาไปยัง http://old.thegrowthmaster.com (Redirect)

**เป็นการยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น**

‍

เริ่มใช้งานทันที

Personalization

จากการสำรวจพบว่า 79% ของลูกค้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับข้อเสนอที่เกี่ยวกับพฤติกรรมก่อนหน้าของเขา


ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เรามองเห็นความสนใจที่แตกต่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น และเราต่างก็รับรู้ได้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะพอดีสำหรับทุกคน เช่นกันกับหน้าเว็บไซต์

รูปหนึ่งรูป ข้อความหนึ่งข้อความ

คนแต่ละคนถูกดึงดูดด้วยสิ่งที่แตกต่างกันออกไป เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดี เพียงแต่จะทำอย่างไรดี ให้เราสามารถดึงดูดคนแต่ละกลุ่มมาบนเว็บไซต์ของเราได้มากที่สุด?

ฟีเจอร์ Personalization ของ Optimize น่าจะเป็นคำตอบหนึ่งให้กับคุณได้

เจ้าฟีเจอร์นี้ไม่ใช่การทดลองแบบ 3 ตัวทางด้านบน การทดลองเมื่อได้ผลเรียบร้อยแล้ว เราขยับไปใช้ตัวที่ชนะ แต่ Personalization เป็นชุดหน้าเว็บไซต์ หรืออธิบายได้ว่า ออกแบบเว็บไซต์ไว้รองรับหลาย ๆ แบบ แต่ไม่ใช่ตัวแปรแบบการทดลอง ไม่ได้สุ่มส่งให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์

แต่จะวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมการเยี่ยมชมเว็บไซต์ ปัจจัยทางประชากรศาสตร์ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบว่าหน้าเว็บรูปแบบไหนจะเหมาะสมกับคนกลุ่มนี้


เช่น เว็บไซต์ขายอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ถ้าข้อมูลจากพฤติกรรมการเยี่ยมชมเว็บไซต์มีการเข้าเพจเกี่ยวกับสุนัขบ่อย แบนเนอร์ของเว็บฯก็จะขึ้นเป็นรูปสุนัข ถ้าเข้าเพจเกี่ยวกับแมวบ่อย แบนเนอร์ก็จะเป็นรูปแมว

เพียงเท่านี้ ผู้ใช้ก็จะได้รับประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับเรากลับไปในทุกครั้งที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ

วิธีการใช้งานเบื้องต้น

หลักการใช้งานการทดลองทั้ง 3 รูปแบบจะมีลักษณะเริ่มต้นใช้งานที่เหมือนกัน ในที่นี้เราจะขอยกตัวอย่างการทำ A/B Test

หลังจากที่ติดตั้ง Snippet Code ไว้บนเว็บไซต์ ติดตั้ง Optimize Extension บน Google Chrome และเชื่อมต่อกับ Google Analytics แล้วก็มาเริ่มใช้งานกันเลย

1. Create experience

เลือกสร้างรูปแบบการทดลอง, Personalization หรือ Banner Template



3. Add Variant

เพิ่มตัวแปรที่ต้องการปรับเปลี่ยนบนหน้าเว็บไซต์ เช่น ตัวแปรที่ 1 ถูกตั้งให้ภาพประกอบที่เป็นรูปคนจริง ตัวแปรที่ 2 ถูกตั้งให้เป็นภาพคนแบบกราฟิก และตัวแปรที่ 3 ถูกตั้งให้เป็นภาพอักษรศิลป์ (Text Design)


4. Edit Variant

แก้ไขตัวแปรด้วย Visual Editor ของ Optimize ที่เป็นแบบ What you see is what you get คุณสามารถคลิกเข้าไปที่องค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บฯและปรับเปลี่ยนได้ทันที


ถ้าต้องการปรับแต่งมากกว่าที่อุปกรณ์มีคุณสามารถคลิกที่ <> เพื่อเพิ่มโค้ดเข้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็น HTML, CSS หรือ JavaScript



4. Audience Targeting

ตั้งค่าว่าจะให้ใครเห็นการทดลองนี้บ้าง Optimize ก็ให้ตัวเลือกมาใช้เยอะพอสมควรเลย สามารถเชื่อมต่อกับ Google Analytics audiences ได้โดยอัปเกรดเป็น Optimize 360



สรุปโดยย่อว่าตัวเลือกพวกนี้ช่วยกำหนดเป้าหมายอย่างไรได้บ้าง

  • Google Ads : กำหนดผ่านบัญชีของ Google Ads, แคมเปญ, กลุ่มโฆษณา และคีย์เวิร์ด
  • UTM parameter : กำหนดจาก UTM parameter
    สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ UTM parameter ได้ที่นี่
  • Device Category : เจาะจงเฉพาะอุปกรณ์ เช่น เข้าผ่านมือถือ เข้าผ่านคอมพิวเตอร์
  • Behavior : ติดคุกกี้ในผู้ใช้ใหม่ สำหรับผู้ใช้ที่มาจาก Referral sources จะมายังหน้าที่เราปรับแต่งให้เฉพาะได้
  • Geography : เลือกเป้าหมายเจาะจงเฉพาะพื้นนั้น ๆ (จังหวัด, ภูมิภาค, ประเทศ ฯลฯ)
  • Technology : เจาะจงอุปกรณ์, เบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการ
  • Query parameter : เจาะจงหน้าเว็บไซต์เฉพาะ โดยใช้ (Query parameter ใน URL)
  • Data layer variable : เลือกเป้าหมายอิงจาก Key values ที่อยู่ในชั้น Data layer
  • JavaScript variable : เจาะจากโค้ดต้นฉบับของเว็บฯ
  • First-party cookie : ใช้ข้อมูลจากผู้ใช้ที่มีคุกกี้จากเว็บฯของคุณ
  • Custom JavaScript : สามารถติดตั้ง JavaScript บนหน้าเว็บฯแล้วเลือกจากข้อมูล JavaScript นั้นส่งกลับมา

5. Set Objective

เลือก Objective ของการทดลองนี้ ในส่วนนี้จะมีผลกับการแสดงในรายงาน โดย Optimize จะแสดงผลเฉพาะส่วน Objective ที่เราต้องการ (สามารถดูทั้งหมดเต็ม ๆ ได้บน Analytics) บน Optimize คุณสามารถตั้งได้ 1 Objective หลักและ 2 Objective รอง



6. Reporting

หลังจากเราทำการทดลองไป ในหน้ารายงานจะมีการอัปเดตอยู่เสมอว่ารูปแบบไหนมีผลอย่างไรบ้าง ตัวแปรไหนที่มีโอกาสจะชนะในการทดลองนี้ โดย Optimize ก็แนะนำว่าควรจะใช้เวลาทดลองอย่างน้อย 2 อาทิตย์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากพอในการวิเคราะห์

ทั้งนี้ เรายังสามารถเข้า View in Analytics เพื่อดูผลตัวเลขที่เกิดขึ้นแท้จริงบนหน้าเว็บไซต์ได้เช่นกัน Analytics จะแสดงผลตามข้อมูลจริงที่เก็บได้จากพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ ถ้าคุณต้องการดูตัวเลขจริงแบบไม่ได้ผ่านการประมวลผลของ Optimize ก็สามารถดูและวิเคราะห์จาก Analytics ได้เช่นกัน


เริ่มใช้งานทันที

ข้อดีข้อเสีย

ข้อดี

  • ไม่มีค่าใช้จ่าย อย่างที่ได้บอกไปว่าจริง ๆ แล้วการทำการทดลองหารูปแบบที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้นั้นต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างเยอะเลย แต่คุณสามารถทำทั้งหมดนั้นฟรีได้ด้วย Optimize
  • Built on Google Analytics - อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Google คุณสามารถเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในตระกูล Google ได้ลื่น (เช่น Google Analytics, Google Adwords)
  • ด้วยความที่เชื่อมกับตัว Analytics ทำให้วัดผลได้ง่ายว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ที่ต้องปรับปรุง ทดสอบได้อย่างรวดเร็ว และให้ข้อมูลที่แม่นยำมากด้วย
  • สามารถแก้ได้ด้วย Visual Editor - เขียนโค้ดไม่เป็นก็ใช้ Optimize ได้ (อยากปรับแต่งแบบแอดวานซ์สามารถเขียน HTML/JavaScript/CSS เพิ่มเข้าไปได้)
  • Optimize จะจำลองอัตรา Conversion ที่น่าจะเพิ่มขึ้นผ่านข้อมูลที่เก็บได้เพื่อคำนวณหาว่ารูปแบบไหนที่ชนะ (รูปแบบที่น่าจะมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ได้มากที่สุด)

ข้อเสีย

  • ไม่ยืดหยุ่นต่อการใช้งานบนเบราว์เซอร์อื่น ๆ - ต้องใช้งานผ่าน Google Chrome และติดตั้ง Optimize Extension ในการปรับแต่งรูปแบบ
  • รายงานไม่ตามเวลาจริง - รายงานที่เราเห็นใน Optimize มาจากการประมวลผลที่ผ่าน Analytics มาก่อน ดังนั้นผลใน Optimize และ Analytics จะไม่เท่ากัน แล้วอาจจะใช้เวลานานถึง 12 ชั่วโมงในการดูผลของ Optimize
  • เป็นการดูผลโดยรวมตาม Objective ที่ได้ตั้งเท่านั้น ไม่มีเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ผลบนหน้าเว็บไซต์ เช่น Heat Map ที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้มักชี้เมาส์ไปที่ไหน ซึ่งอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาเหล่านี้ จะทำให้เรามองเห็นข้อแตกต่างเล็กน้อยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลได้

สรุป

นักออกแบบอาจช่วยบอกคุณได้ว่าการออกแบบไหน คือ การออกแบบที่ดี แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครบอกคุณได้หรอก ว่าแบบไหนที่ผู้ใช้จะชอบมากที่สุด

นั่นเป็นคำตอบที่คุณต้องหาได้ผ่านการทดลองเท่านั้น เพราะคุณจะสามารถส่งแบบทดลองนี้ไปให้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณทุกคน

และการปรับแต่งหรือที่เราเรียกกันอย่างติดปากว่า Optimize นี้ จะช่วยพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด

ที่จะพาพวกเขากลับมาเป็นลูกค้าบนเว็บไซต์ของคุณอีกครั้งหนึ่ง :)

เริ่มต้นใช้งาน Google Optimize ที่นี่

‍

ช่องทางอัปเดตซอฟต์แวร์กับ The Growth Master

ติดตาม Youtube Channel ‘The Growth Master’ และ We Need TOOL Talk ได้ก่อนใคร ไม่พลาดทุกการแชร์ซอฟต์แวร์น่าใช้ที่จะทำให้การทำงานของคุณง่ายขึ้น

และช่องทางอัปเดตข่าวสารการตลาดที่สดใหม่

Facebook : The Growth Master

Facebook Group : TechTribe Thailand

Blockdit : The Growth Master

Line@ : @thegrowthmaster


===================================


สามารถให้กำลังใจพวกเราได้ผ่านการกดไลก์ กดแชร์ และกดติดตาม รวมไปถึงการสมัครใช้งานผ่านลิงก์ด้านบน โดย The Growth Master จะได้รับค่าแนะนำจากซอฟต์แวร์บางตัวเท่านั้นเมื่อมีการกดสมัครใช้งานซอฟต์แวร์นั้น ๆ



source: blog.google, support.google

ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe
แหล่งเรียนรู้สำหรับคุณและธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม
connect@thegrowthmaster.com
Privacy Policy
Terms & Agreement
User Data Deletion
Services
Business Tech Stack
Advertise
Tech Review
Subscribe
Category
Software Review
All Articles
Growth Trends
Company
We're Hiring
Internship Program
Community
Contact
Channels
Facebook
Line OA
Youtube
© Copyright 2020 W JAMES Company Limited All Rights Reserved
"Grow Like a Master"