Eung Rachkorn
ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ การตลาด และเทคโนโลยี / ClickUp Expert คนแรกของประเทศไทย / เป็นนักการตลาดที่ชอบเขียน และเป็นนักเรียนของทุกเรื่องใหม่ (นักทดลองผิด) 🪐
นักเขียน
ทำไมต้องมีนักออกแบบปุ่ม? รู้หรือไม่ ในบริษัทใหญ่หลาย ๆ บริษัท มีนักออกแบบปุ่ม Call To Action (CTA) โดยเฉพาะ หรือแม้กระทั่งปุ่มไลก์ ปุ่ม Engagement ในเฟซบุ๊ก ก็ผ่านการคิดอย่างรอบคอบว่า สีแบบไหน ใช้คำว่าอะไร รูปทรงปุ่มที่โค้งมนหรือสี่เหลี่ยม แบบไหนล่ะที่จะทำให้คุณกดที่ปุ่มนั้น
ภาพจาก Skooldio
เพราะปุ่มเหล่านั้น จะช่วยพาผู้ใช้ให้ไปยังปลายทางที่เราต้องการ อาจจะเป็นการคลิกเพื่ออ่านต่อ การคลิกเพื่อสั่งซื้อ การคลิกเพื่อแชร์ (ซึ่งทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากขึ้น) ดังนั้นปุ่มเหล่านี้จะต้องผ่านการออกแบบมาอย่างดี กดได้ง่ายและตรงเข้าหาเป้าหมายของธุรกิจได้ทันที
และแน่นอน การทดลองคือหัวใจส่วนสำคัญ
ถึงแม้การทดลองจะเป็นวิธีที่เรียบง่ายในการทำความเข้าใจผู้ใช้ หาองค์ประกอบที่สร้างอิมแพคได้มาก ปรับแต่งเว็บไซต์ตามนั้นได้โดยไม่หลงทาง แต่จากรายงาน กลับพบว่า 45% ของธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง มักไม่ทำการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ (Optimize) เพราะมองว่า ในการทดลองเพื่อหาผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เป็นวิธีที่ใช้ทรัพยากรค่อนข้างสูงทั้งในด้านทั้งบุคคล การเงิน เวลา และความรู้
รวมไปถึงเว็บไซต์ที่จะทำการทดลองนั้นควรมี Traffic พอมาก (มากกว่า 1,000) เพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจน
ดังนั้นเครื่องมือที่เราจะมาแชร์ในวันนี้ จึงเป็นเครื่องมือดี ๆ ใช้งานง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่าย! เหมาะสำหรับการเปิดประตูสู่โลกแห่งการทดลองทางการตลาดอย่างที่สุด ไปทำความรู้จักกับ Google Optimize กันเลย!!
Google Optimize เครื่องมือทดลองเว็บไซต์ให้ถูกใจยูสเซอร์
Google Optimize คือ เครื่องมือที่ใช้จำลอง - ทดลองเพื่อหารูปแบบเว็บไซต์ที่ถูกใจผู้ใช้มากที่สุด เป็นหนึ่งในเครื่องมือบน Google Analytics จะทำงานร่วมกันในการทดสอบสมมติฐานของคุณที่มีต่อองค์ประกอบหน้าเว็บนั้น
เช่น รูปคนจริงหรือรูปกราฟิกดึงดูดมากกว่ากัน สีเขียวมีผลให้คนกดปุ่มมากขึ้นจริงหรือไม่ (มี Click Rate สูงขึ้น) การใช้ฟอนต์ที่มีหัวโค้งมนจะทำให้คนอ่านรู้สึกเป็นมิตรและน่าอ่านมากขึ้น (มี Avg. time duration/page สูงขึ้น) เป็นต้น
ในตอนแรก Google Optimize ใช้งานได้บน Google Analytics 360 เท่านั้น (แพ็กเกจเสียเงิน) ก่อนจะปล่อยให้ใช้งานได้ฟรีเมื่อ 30 มีนาคม 2017 เพื่อสนับสนุนให้บริษัทขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการเครื่องมือทรงพลังมาช่วยในการทำเทสต์เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
การทดลองใช้เวลาเพื่อเก็บสถิติ ยิ่งมีมาก ยิ่งแม่นยำ ถ้าคุณเริ่มก่อน คุณจะเป็นคนที่เติบโตก่อน และเป็นผู้นำในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มผู้ใช้ โดย Optimize จะช่วยคุณทำการทดลองได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น A/B Testing, Multivariate Testing หรือ Split URL Testing โดยใช้ Visual Editor ในการปรับเปลี่ยนหน้าตาหรือองค์ประกอบบนเว็บไซต์ของแต่ละตัวแปรได้โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโค้ด
ค้นหาว่ารูปแบบไหน คือรูปแบบที่ผู้ใช้ชอบมากที่สุด ใช้รูปแบบนั้น และนำไปสู่การเข้าชมหน้าเว็บไซต์ที่มากขึ้น มี Conversion Rate ที่สูงขึ้น
ทั้งหมดของ Optimize คุณสามารถเริ่มใช้งานได้โดยเพิ่มโค้ดเข้าไปบรรทัดเดียวเท่านั้น!
เริ่มใช้งานทันที
Experiment Type : ระบบการเทสต์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง คุณสามารถสร้างประสบการณ์การเข้าชมเว็บไซต์ที่ดีให้กับผู้ใช้ได้ผ่านการทดลอง 3 รูปแบบของ Optimize
A/B Test หรือที่เรียกว่า Split Test คือ การทดลองสุ่มระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป ให้ผู้ใช้ในปริมาณที่เรากำหนด แล้วดูผลลัพธ์ว่าเกิด Conversion จากตัวแปรไหนมากที่สุด
ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น
ภาพจาก Startup for Startup
ตั้งสมมติฐานขึ้นมาว่า การเปลี่ยนปุ่มสีฟ้าให้เป็นสีแดงจะช่วยดึงดูดให้ผู้ใช้มองเห็นปุ่มชัดเจนขึ้น และทำให้ผู้ใช้คลิกปุ่มเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% หรือไม่
ตัวแปร 1 : ปุ่มสีแดง
ตัวแปร 2 : ปุ่มสีน้ำเงิน
โดย Optimize จะสุ่ม ส่งแบบที่ 1 และ 2 ไปให้ผู้ใช้คนละกลุ่มกัน ในปริมาณที่เรากำหนด แต่ปกติแล้วมักจะตั้งค่าให้ส่งไปในปริมาณที่เท่า ๆ กัน เพื่อที่จะเห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
Multivariate Test จะมีฟังก์ชันที่แตกต่างจาก A/B Test เล็กน้อย คือ Multivariate Test จะมีการจับคู่ระหว่างเซ็กชัน แล้วระบบของ Optimize จะทำการจับคู่รูปแบบทั้งหมดออกมา ส่งแบบสุ่มให้กับผู้ใช้ หาว่าคู่ไหนคือการจับคู่หรือคอมบิเนชันที่ลงตัวและทำให้เกิด Conversion มากที่สุด โดยสามารถสร้างคอมบิเนชันได้สูงสุด 16 รูปแบบ (ถ้าเป็น Optimize 360 จะได้มากถึง 36 รูปแบบ)
ยกตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์สำนักข่าวออนไลน์ อาจใช้ทดสอบว่าในข่าวข่าวหนึ่ง ตั้งชื่อหัวข้อ (Heading) แบบไหน คู่กับรูปข่าวไหนที่ดึงดูดให้คนคลิกเข้าไปอ่านต่อมากที่สุด
รูปแบบที่ถูกใจยูสเซอร์มากที่สุดอาจจะเป็นรูปแบบที่ไม่ได้คุณคิดไว้ตั้งแต่ทีแรกก็ได้นะ
Split URL Test หรือ Redirect Test ที่จะช่วยให้คุณทดสอบหน้าเว็บไซต์ที่ลักษณะแตกต่างกันว่ารูปแบบไหนที่สร้างประสบการณ์ที่ดีได้มากกว่า มักใช้ในการทดสอบ Landing Page ที่ต่างกัน หรือ ทดสอบการดีไซน์หน้าเว็บไซต์ที่แตกต่างกัน
ในจุดนี้อาจจะเกิดความสงสัยว่า Redirect Test นั้นแตกต่างจาก A/B Test อย่างไร
การทำ A/B Test ที่ Optimize ออกแบบมานั้นคือ ในลิงก์เดียวกัน คุณสามารถทดสอบองค์ประกอบในนั้นให้แตกต่าง กันได้ โดยมีข้อแนะนำให้ทดลองครั้งละ 1 อย่างเท่านั้น เช่น เปลี่ยนฟอนต์หัวข้ออย่างเดียว ไม่ทดลองร่วมกับการเปลี่ยนสี เป็นต้น ไม่อย่างนั้นคงจะมึนกันน่าดูว่าผลลัพธ์ที่ดีนี้ มาจากการเปลี่ยนฟอนต์หรือการเปลี่ยนสีกันแน่
การทำ Split URL Test ก็เหมือนตามชื่อเลย คือ ลิงก์ของทั้งสองหน้าจะเป็นลิงก์คนละลิงก์ กัน สุ่มพาผู้เข้าชมเว็บไซต์ไปลงที่หน้าเว็บไซต์ที่มีการออกแบบคนละแบบกัน เพื่อทดสอบการวางองค์ประกอบ การจัดรูปแบบ ว่าแบบไหนผู้ใช้รักมากกว่า
ยกตัวอย่างจากภาพด้านบน เป็นเว็บไซต์ The Growth Master 2.0
เมื่อผู้ใช้มายังหน้าเว็บไซต์ผ่านลิงก์ https://thegrowthmaster.com/ ระบบจะสุ่มพาผู้ใช้กลุ่มหนึ่งไปยัง Landing Page ของ The Growth Master ซึ่งเป็นลิงก์ตัว Original ที่ได้รับการออกแบบใหม่เรียบร้อยแล้ว และอีกกลุ่มจะถูกพาไปยัง http://old.thegrowthmaster.com (Redirect)
**เป็นการยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น**
เริ่มใช้งานทันที
Personalization จากการสำรวจ พบว่า 79% ของลูกค้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับข้อเสนอที่เกี่ยวกับพฤติกรรมก่อนหน้าของเขา
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เรามองเห็นความสนใจที่แตกต่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น และเราต่างก็รับรู้ได้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะพอดีสำหรับทุกคน เช่นกันกับหน้าเว็บไซต์
รูปหนึ่งรูป ข้อความหนึ่งข้อความ
คนแต่ละคนถูกดึงดูดด้วยสิ่งที่แตกต่างกันออกไป เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดี เพียงแต่จะทำอย่างไรดี ให้เราสามารถดึงดูดคนแต่ละกลุ่มมาบนเว็บไซต์ของเราได้มากที่สุด?
ฟีเจอร์ Personalization ของ Optimize น่าจะเป็นคำตอบหนึ่งให้กับคุณได้ เจ้าฟีเจอร์นี้ไม่ใช่การทดลองแบบ 3 ตัวทางด้านบน การทดลองเมื่อได้ผลเรียบร้อยแล้ว เราขยับไปใช้ตัวที่ชนะ แต่ Personalization เป็นชุดหน้าเว็บไซต์ หรืออธิบายได้ว่า ออกแบบเว็บไซต์ไว้รองรับหลาย ๆ แบบ แต่ไม่ใช่ตัวแปรแบบการทดลอง ไม่ได้สุ่มส่งให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
แต่จะวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมการเยี่ยมชมเว็บไซต์ ปัจจัยทางประชากรศาสตร์ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบว่าหน้าเว็บรูปแบบไหนจะเหมาะสมกับคนกลุ่มนี้
เช่น เว็บไซต์ขายอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ถ้าข้อมูลจากพฤติกรรมการเยี่ยมชมเว็บไซต์มีการเข้าเพจเกี่ยวกับสุนัขบ่อย แบนเนอร์ของเว็บฯก็จะขึ้นเป็นรูปสุนัข ถ้าเข้าเพจเกี่ยวกับแมวบ่อย แบนเนอร์ก็จะเป็นรูปแมว
เพียงเท่านี้ ผู้ใช้ก็จะได้รับประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับเรากลับไปในทุกครั้งที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ
วิธีการใช้งานเบื้องต้น หลักการใช้งานการทดลองทั้ง 3 รูปแบบจะมีลักษณะเริ่มต้นใช้งานที่เหมือนกัน ในที่นี้เราจะขอยกตัวอย่างการทำ A/B Test
หลังจากที่ติดตั้ง Snippet Code ไว้บนเว็บไซต์ ติดตั้ง Optimize Extension บน Google Chrome และเชื่อมต่อกับ Google Analytics แล้วก็มาเริ่มใช้งานกันเลย
1. Create experience เลือกสร้างรูปแบบการทดลอง, Personalization หรือ Banner Template
3. Add Variant เพิ่มตัวแปรที่ต้องการปรับเปลี่ยนบนหน้าเว็บไซต์ เช่น ตัวแปรที่ 1 ถูกตั้งให้ภาพประกอบที่เป็นรูปคนจริง ตัวแปรที่ 2 ถูกตั้งให้เป็นภาพคนแบบกราฟิก และตัวแปรที่ 3 ถูกตั้งให้เป็นภาพอักษรศิลป์ (Text Design)
4. Edit Variant แก้ไขตัวแปรด้วย Visual Editor ของ Optimize ที่เป็นแบบ What you see is what you get คุณสามารถคลิกเข้าไปที่องค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บฯและปรับเปลี่ยนได้ทันที
ถ้าต้องการปรับแต่งมากกว่าที่อุปกรณ์มีคุณสามารถคลิกที่ <> เพื่อเพิ่มโค้ดเข้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็น HTML, CSS หรือ JavaScript
4. Audience Targeting ตั้งค่าว่าจะให้ใครเห็นการทดลองนี้บ้าง Optimize ก็ให้ตัวเลือกมาใช้เยอะพอสมควรเลย สามารถเชื่อมต่อกับ Google Analytics audiences ได้โดยอัปเกรดเป็น Optimize 360
สรุปโดยย่อว่าตัวเลือกพวกนี้ช่วยกำหนดเป้าหมายอย่างไรได้บ้าง
Google Ads : กำหนดผ่านบัญชีของ Google Ads, แคมเปญ, กลุ่มโฆษณา และคีย์เวิร์ด UTM parameter : กำหนดจาก UTM parameter สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ UTM parameter ได้ที่นี่ Device Category : เจาะจงเฉพาะอุปกรณ์ เช่น เข้าผ่านมือถือ เข้าผ่านคอมพิวเตอร์ Behavior : ติดคุกกี้ในผู้ใช้ใหม่ สำหรับผู้ใช้ที่มาจาก Referral sources จะมายังหน้าที่เราปรับแต่งให้เฉพาะได้Geography : เลือกเป้าหมายเจาะจงเฉพาะพื้นนั้น ๆ (จังหวัด, ภูมิภาค, ประเทศ ฯลฯ)Technology : เจาะจงอุปกรณ์, เบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการQuery parameter : เจาะจงหน้าเว็บไซต์เฉพาะ โดยใช้ (Query parameter ใน URL)Data layer variable : เลือกเป้าหมายอิงจาก Key values ที่อยู่ในชั้น Data layerJavaScript variable : เจาะจากโค้ดต้นฉบับของเว็บฯFirst-party cookie : ใช้ข้อมูลจากผู้ใช้ที่มีคุกกี้จากเว็บฯของคุณCustom JavaScript : สามารถติดตั้ง JavaScript บนหน้าเว็บฯแล้วเลือกจากข้อมูล JavaScript นั้นส่งกลับมา5. Set Objective เลือก Objective ของการทดลองนี้ ในส่วนนี้จะมีผลกับการแสดงในรายงาน โดย Optimize จะแสดงผลเฉพาะส่วน Objective ที่เราต้องการ (สามารถดูทั้งหมดเต็ม ๆ ได้บน Analytics) บน Optimize คุณสามารถตั้งได้ 1 Objective หลักและ 2 Objective รอง
6. Reporting หลังจากเราทำการทดลองไป ในหน้ารายงานจะมีการอัปเดตอยู่เสมอว่ารูปแบบไหนมีผลอย่างไรบ้าง ตัวแปรไหนที่มีโอกาสจะชนะในการทดลองนี้ โดย Optimize ก็แนะนำว่าควรจะใช้เวลาทดลองอย่างน้อย 2 อาทิตย์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากพอในการวิเคราะห์
ทั้งนี้ เรายังสามารถเข้า View in Analytics เพื่อดูผลตัวเลขที่เกิดขึ้นแท้จริงบนหน้าเว็บไซต์ได้เช่นกัน Analytics จะแสดงผลตามข้อมูลจริงที่เก็บได้จากพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ ถ้าคุณต้องการดูตัวเลขจริงแบบไม่ได้ผ่านการประมวลผลของ Optimize ก็สามารถดูและวิเคราะห์จาก Analytics ได้เช่นกัน
เริ่มใช้งานทันที
ข้อดีข้อเสีย ข้อดี ไม่มีค่าใช้จ่าย อย่างที่ได้บอกไปว่าจริง ๆ แล้วการทำการทดลองหารูปแบบที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้นั้นต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างเยอะเลย แต่คุณสามารถทำทั้งหมดนั้นฟรีได้ด้วย OptimizeBuilt on Google Analytics - อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Google คุณสามารถเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในตระกูล Google ได้ลื่น (เช่น Google Analytics, Google Adwords) ด้วยความที่เชื่อมกับตัว Analytics ทำให้วัดผลได้ง่ายว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ที่ต้องปรับปรุง ทดสอบได้อย่างรวดเร็ว และให้ข้อมูลที่แม่นยำมากด้วย สามารถแก้ได้ด้วย Visual Editor - เขียนโค้ดไม่เป็นก็ใช้ Optimize ได้ (อยากปรับแต่งแบบแอดวานซ์สามารถเขียน HTML/JavaScript/CSS เพิ่มเข้าไปได้) Optimize จะจำลองอัตรา Conversion ที่น่าจะเพิ่มขึ้นผ่านข้อมูลที่เก็บได้เพื่อคำนวณหาว่ารูปแบบไหนที่ชนะ (รูปแบบที่น่าจะมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ได้มากที่สุด) ข้อเสีย ไม่ยืดหยุ่นต่อการใช้งานบนเบราว์เซอร์อื่น ๆ - ต้องใช้งานผ่าน Google Chrome และติดตั้ง Optimize Extension ในการปรับแต่งรูปแบบ รายงานไม่ตามเวลาจริง - รายงานที่เราเห็นใน Optimize มาจากการประมวลผลที่ผ่าน Analytics มาก่อน ดังนั้นผลใน Optimize และ Analytics จะไม่เท่ากัน แล้วอาจจะใช้เวลานานถึง 12 ชั่วโมงในการดูผลของ Optimize เป็นการดูผลโดยรวมตาม Objective ที่ได้ตั้งเท่านั้น ไม่มีเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ผลบนหน้าเว็บไซต์ เช่น Heat Map ที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้มักชี้เมาส์ไปที่ไหน ซึ่งอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาเหล่านี้ จะทำให้เรามองเห็นข้อแตกต่างเล็กน้อยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลได้ สรุป นักออกแบบอาจช่วยบอกคุณได้ว่าการออกแบบไหน คือ การออกแบบที่ดี แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครบอกคุณได้หรอก ว่าแบบไหนที่ผู้ใช้จะชอบมากที่สุด
นั่นเป็นคำตอบที่คุณต้องหาได้ผ่านการทดลองเท่านั้น เพราะคุณจะสามารถส่งแบบทดลองนี้ไปให้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณทุกคน
และการปรับแต่งหรือที่เราเรียกกันอย่างติดปากว่า Optimize นี้ จะช่วยพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด
ที่จะพาพวกเขากลับมาเป็นลูกค้าบนเว็บไซต์ของคุณอีกครั้งหนึ่ง :)
เริ่มต้นใช้งาน Google Optimize ที่นี่
ช่องทางอัปเดตซอฟต์แวร์กับ The Growth Master ติดตาม Youtube Channel ‘The Growth Master’ และ We Need TOOL Talk ได้ก่อนใคร ไม่พลาดทุกการแชร์ซอฟต์แวร์น่าใช้ที่จะทำให้การทำงานของคุณง่ายขึ้น
และช่องทางอัปเดตข่าวสารการตลาดที่สดใหม่
Facebook : The Growth Master
Facebook Group : TechTribe Thailand
Blockdit : The Growth Master
Line@ : @thegrowthmaster
===================================
สามารถให้กำลังใจพวกเราได้ผ่านการกดไลก์ กดแชร์ และกดติดตาม รวมไปถึงการสมัครใช้งานผ่านลิงก์ด้านบน โดย The Growth Master จะได้รับค่าแนะนำจากซอฟต์แวร์บางตัวเท่านั้นเมื่อมีการกดสมัครใช้งานซอฟต์แวร์นั้น ๆ
source: blog.google , support.google