Services
Services
Performance MarketingContent Led GrowthLaunchpad WebsiteBranding
PORTFOLIO
Let's Talk
Services
Performance MarketingContent Led GrowthLaunchpad WebsiteBranding
Services
Portfolio
Let's Talk
คุยกับเรา
Thank you! Your submission has been received!
Oops! Something went wrong while submitting the form.

Growth Update

Starbuck เริ่มใช้เทคโนโลยี AI ที่ชื่อว่า "Deep Brew" มาพัฒนาประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

"Deep Brew" เทคโนโลยี AI จาก Starbucks และ Microsoft
By
The Growth Master Team
November 16, 2019
Light
Dark
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

ปัจจุบันดูเหมือนว่าแบรนด์ใหญ่ๆ หลากหลายแบรนด์จะเริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งสตาบัคก็เป็นหนึ่งแบรนด์ที่ตระหนักและเริ่มนำเทคโนโลยี AI (artificial intelligence) เข้ามาช่วยพัฒนากลยุทธ์การตลาดและประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้น

โดย AI ของสตาบัคที่ว่านั้นมีชื่อว่า ‘Deep Brew’

“Deep Brew” คืออะไร ?

‍

ภาพจาก youtube

Deep Brew คือแพลตฟอร์ม AI ที่เกิดจากการร่วมมือกันพัฒนาของบริษัท Starbucks และ Microsoft Azure ซึ่ง Deep Brew ถือเป็นเครื่องมือที่จะเข้ามายกระดับเรื่องการมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า พร้อมทั้งเรื่องระบบการบริหารจัดการภายในร้านที่ดีขึ้นด้วยในขณะเดียวกัน

“DeepBrew จะเข้ามาช่วยเพิ่มพลกำลังที่ขับเคลื่อนประสบการณ์แบบ Personalized ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรพนักงานและการบริหารจัดการสินค้าคงคลังภายในร้าน” – Kevin Johnson ตำแหน่ง CEO ของบริษัท Starbucks

โดย 4 สิ่งที่ Deep Brew เข้าไปช่วยพัฒนาประสบการณ์ของธุรกิจสตาบัคคือ

1. Mobile Pay

2. Digital Menu Board

3. Drive Thru

4. Voice Ordering

ทีนี้ เราลองไปดูกันว่าแต่ละประสบการณ์นั้นมีรายละเอียดอย่างไร

1. Mobile Pay

ด้วยจำนวนของลูกค้าที่สมัครบัตรสมาชิกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี ทำให้สตาบัคเกิดช่องว่างในการพัฒนาประสบการณ์แบบ Personalized ที่มากขึ้น

“Starbucks มีจำนวนลูกค้าที่เป็นสมาชิก My Starbucks Rewards™ อยู่ที่ประมาณ 17.6 ล้านคน ในช่วงท้ายของไตรมาสที่ 4 ของปี 2018 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 15%”

ทำให้สตาบัคเลือกที่พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกเพื่อให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น โดยหลักๆ คือการที่สตาบัคนั้นเก็บข้อมูลของลูกค้าจากพฤติกรรมการใช้แอพพลิเคชั่นของลูกค้า และข้อมูลการซื้อขาย (Transaction) ของลูกค้า เพื่อให้แอพพลิเคชั่นสามารถแนะนำเมนูอาหารและเครื่องดื่มของร้านให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าชอบมากที่สุด

2. Digital Menu Board

ระบบของ Deep Brew จะทำให้บอร์ดเมนูของแต่ละร้านสามารถเชื่อมต่อกับสินค้าคงคลังได้โดยตรง นอกจากแต่ละเมนูจะสามารถอัพเดทได้แบบ Real-time แล้ว ในกรณีที่สินค้าหมดบอร์ดเมนูก็มีการอัพเดทแบบอัตโนมัติ แน่นอนว่ามันก็จะไม่มีเหตุการณ์ที่ลูกค้าสั่งแล้วต้องผิดหวังเพราะสินค้าหมดอีก

3. Drive Thru

สำหรับบริการ Drive Thru พวกเขาได้เพิ่มส่วนที่เป็นเมนูแนะนำเข้าไปในเมนูที่จะแสดงบนหน้าจอการสั่งเครื่องดื่ม แต่การแนะนำเมนูของก็ไม่ใช่การแนะนำแบบปกติทั่วไปเฉยๆ เพราะด้วยเทคโนโลยี Deep Brew ระบบจะแนะนำเมนูอาหารและเครื่องดื่มจากปัจจัยต่างๆ ที่เจาะจงเฉพาะพื้นที่มากขึ้น คือ สถานที่ตั้งของร้าน ฤดูกาล เวลา และสภาพอากาศ (ของ ณ วันนั้นที่ลูกค้าไปซื้อ)

ดังนั้นเมนูแนะนำในหน้าจอสั่งเครื่องดื่มและอาหารของสตาบัคบน Drive Thru ก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ภูมิภาค ประเทศ หรือสถานที่ ตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ก็อย่างเช่น หากคุณไปใช้บริการที่ประเทศที่มีภูมิอากาศหนาว ระบบก็อาจจะแนะนำเมนูเครื่องดื่มร้อน แต่หากคุณใช้บริการที่ประเทศมีภูมิอากาศร้อน ระบบก็อาจจะแนะนำเมนูเครื่องดื่มเย็นนั่นเอง

ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้สตาบัคสามารถตอบสนองความต้องการของฐานลูกค้าทั่วทั้งโลกได้ดีขึ้น

4. Voice Ordering

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สตาบัคพัฒนาออกมาเพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าก็คือ Voice Ordering หรือการสั่งเครื่องดื่มผ่านคำสั่งเสียงนั่นเอง โดยลูกค้าสามารถใช้คำสั่งเสียงเพื่อสั่งเครื่องดื่มแก้วโปรด (สามารถบอกรายละเอียดในเครื่องดื่มได้ตามที่ต้องการ) และรอเพื่อให้ออเดอร์นั้นมาส่งถึงที่ได้อย่างสะดวกสบาย

โดยลูกค้าสามารถสั่งใช้คำสั่งเสียงเพื่อสั่งเครื่องดื่มได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ของบริษัทต่างๆ ที่สตาบัคได้เข้าไปร่วมมือด้วย เช่น Alexa (Amazon) , แอพพลิเคชั่นในระบบ IOS (Apple) หรือแม้แต่ Tmall Genie (Alibaba)

ซึ่งสิ่งที่ Deep Brew จะมีบทบาทในส่วนนี้ก็คือการเก็บข้อมูลผ่านเสียงเหล่านั้นและนำมาประผลเพื่อแนะนำเมนูเครื่องดื่มที่เหมาะสมและเจาะจงเฉพาะลูกค้าคนนั้นๆ

Starbucks กับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี

นอกจาก 4 สิ่งด้านบนที่สตาบัคได้นำ Deep Brew เข้ามาพัฒนาประสบการณ์ให้กับลูกค้าสตาบัคแล้ว ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ สตาบัคก็ได้นำเทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วย เช่น การนำระบบ IoT (Internet of Things) เข้ามาเก็บข้อมูลเครื่องชงกาแฟของแต่ละร้านอย่างละเอียดเพื่อให้รู้ว่าเมื่อไหร่เครื่องชงเหล่านั้นควรได้รับการซ่อมแซม หรือ ถุงกาแฟที่มาพร้อมกับบาร์โค้ดเพื่อให้ลูกค้าสามารถสแกนผ่านแอพฯ และรู้ว่าที่มาของเมล็ดกาแฟแต่ละถุงนั้นมีที่มาอย่างไรกว่าจะมาถึงมือลูกค้าคนนั้น

สตาบัคนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่เริ่มมีการปรับตัวอย่างจริงจังสำหรับอนาคตของโลกเทคโนโลยีที่กำลังใกล้เข้ามา โดยพวกเขาได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาผสานกับบริการและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถือเป็นหัวใจของธุรกิจ  

ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนมองว่า ด้วยเทคโนโลยี Deep Brew นี้จะทำให้สตาบัคสามารถเพิ่มประสบการณ์ (Customer Experience) ที่ดีให้กับลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนสุดท้าย ทำให้ลูกค้าเหล่านั้นติดใจประสบการณ์และกลับมาซื้ออีกเรื่อยๆ

แหล่งอ้างอิง: medium , marketingtechnews , marketwatch , devouriq
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

คุณอาจจะชอบบทความนี้...

สรุปสถิติ Digital และ Social Media จาก We Are Social ที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้ อัปเดตปี 2023
รวม 7 บทความการตลาดที่เราแนะนำให้คุณอ่านก่อนปี 2023

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

เราช่วยธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม

Services
Growth AgencyDesign StudioSoftware ConsultingDigital TalentsOur Portfolio
Category
All ArticlesSoftware ReviewGrowth Trends
Company
We're HiringCommunityContact
ติดตามข้อมูลการตลาด
Growth Hacking ได้เลยทีนี่
มากกว่า 4,000 บริษัทติดตาม The Growth Master ตอนนี้
ไปที่หน้า Subscribe

© Copyright 2024 The Growth Master Company Limited All Rights Reserved