Service
Business Tech Stack ConsultantClickUp ConsultantSAP APITech ReviewEndlessloop ConsultantMarketing Service
Service
All Articles
Growth Trends
Growth Video
We Need Tool Talk
Startup Partners
Community
Advertise
ClickUp Course
Subscribe
🔥 Hot!
สอบถามทุกปัญหาเกี่ยวกับการสร้างธุรกิจด้านดิจิทัลที่นี่
Service
Business Tech Stack ConsultantClickUp ConsultantSAP APITech ReviewEndlessloop Consultant
Service
All Articles
Growth Trends
Growth Video
We Need Tool Talk
Startup Partners
Community
Advertise

Growth Update

5 กลยุทธ์การตลาด Go-to-Market ที่จะเปลี่ยนไปหลังจากนี้

5 สิ่งที่เปลี่ยนไปในการทำการตลาดแบบ Go-to-Market
By
The Growth Master Team
July 27, 2020
Light
Dark
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ
The Growth Master Team
The Growth Master Team

The Growth Master Team ผู้รักในการเรียนรู้ หลงใหลในเทคโนโลยี และแฮปปี้กับการเติบโต

นักเขียน

Go-to-market เป็นกลยุทธ์ที่นักการตลาดหลาย ๆ คนรู้จักกันดี  ในการบริหารทรัพยากรทั้งภายใน และ นอกองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างคุณค่าสำหรับส่งมอบให้ลูกค้า และ สร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าคู่แข่ง การตลาดแบบ Go-to-market ถูกใช้อย่างแพร่หลาย เมื่อต้องการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด หรือ พัฒนาสินค้าที่มีอยู่แล้ว ให้ลูกค้าได้มีประสบการณ์น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น 

แต่ในสถาณการณ์ปัจจุบัน หลายธุรกิจถูกปิดตัวลงจากวิกฤตการณ์ Covid-19 ที่สร้าง New normal ให้ผู้บริโภค ธุรกิจที่ปรับตามไม่ทันก็ไม่วายหายไปทีละเจ้า เรียกว่าใครอ่อนแอก็ต้องแพ้ไป การใช้กลยุทธ์ชนิดนี้เลยไม่พ้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตามยุคสมัยของมัน เพื่อให้เท่าทันผู้บริโภค 

วันนี้เราจะมาดูกันว่า 5 สิ่งที่เปลี่ยนไปในการทำการตลาดแบบ Go-to-market มีอะไรบ้าง

1. เปลี่ยน Outside Selling ไปทำ Inside Selling

ในยุคที่ทุกบริษัทเร่งทำ Digital transform การตัดสินใจที่จะซื้อขายจึงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในออฟฟิศอีกต่อไป เดิมทีทีมขายใช้วิธี Outside selling หรือ นัดแนะออกไปเจอลูกค้าถึงบริษัทและสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทำการขาย 

แต่ปัจจุบันการไปถึงที่ ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้ว 

เมื่อบริษัททำ Digital transformation การทำงานสามารถอยู่กันคนละที่ หากจะนัดพบแบบเจอตัว ก็จะสร้างความลำบากได้  ทีมขายในหลายธุรกิจเลยเปลี่ยนมาขายแบบ Inside selling หรือ ขายแบบอยู่กับที่  ใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลางติดต่อ สามารถเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องตระเวนออกไปหาลูกค้าด้วยตัวเอง

การใช้ซอฟต์แวร์ในหมวดการขาย เป็นหนึ่งในวิธีทำ Inside selling โดยใช้เครื่องมืออย่างเช่น เก็บข้อมูลเพื่อวิเคาะห์ลูกค้า ส่งอีเมลล์ที่สร้างขึ้นเฉพาะให้ลูกค้าแต่ละราย ทำไลฟ์แชท 1:1 ระหว่างทีมขายกับลูกค้า เครื่องมือที่เหล่านี้จะทำให้คุณมีคลังข้อมูลที่เอาไปพัฒนา ให้เกิดความแม่นยำในการขายได้มากขึ้น 

นอกจากนั้น Inside sell ยังมีข้อดีที่ว่า สามารถเพิ่มยอดการโทรติดต่อกลับได้ถึง 43% จากสถิติ และ ยังประหยัดเวลากว่าการขายแบบ Outside selling ทำให้ทีมขายมีเวลาเหลือมาพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าด้านอื่นให้ดียิ่งขึ้น


ภาพจาก Pexels

2. ย้ายการตลาดแบบ Offline มาเป็น Online 

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การทำการตลาดออนไลน์มีการเติบโตที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะนอกจากสามารถควบคุมงบประมานและมีหน่วยวัดผลที่ชัดเจนแล้ว นักการตลาดยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับแต่งให้ตรงความต้องการของผู้ซื้อได้ทันท่วงทีอีก

ในทางกลับกัน จากที่ผู้บริโภคหันไปใช้ช่องทางออนไลน์ การทำการตลาดแบบเก่าเลยกลายเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้ซื้อได้น้อยลง บวกกับความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนเนื้อหาที่ยังช้ากว่ามาก  เป็นเหตุผลให้ออนไลน์ กลายเป็นช่องทางที่หลายธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ โดยแทบจะไม่ต้องคิดเลย

Tip : การย้ายมาทำการตลาดบนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ สำหรับผู้ที่ไม่เคยทำมาก่อน ควรเริ่มจากงกลวิธีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปในระยะแรก เช่น แทนที่จะสร้างแอคเค้าท์บนโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง เลือก 1-2 ช่องทางที่เหมาะกับแบรนด์เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ซื้อ เมื่อทำได้ดีค่อยขยายช่องทางไปต่อ


ภาพจาก Pexels

3. Customer Service ไม่พอ ต้องมี Self-service ด้วย

ตั้งแต่มีเหตุการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา ยอดนึงที่น่าสนใจ คือตัวเลขของลูกค้าที่เข้าหาแบรนด์ก่อน ในแง่การริเริ่มบทสนทนา ซึ่งมีมากขึ้นถึง 45% บ่งบอกว่าการทำ Self-service ไม่ใช่ทางเลือกเสริม แต่เป็นหนึ่งในพื้นฐานที่ธุรกิจคุณต้องมี 

ข้อความตอบกลับอัตโนมัติ คือหนึ่งในทางเลือกสำหรับให้ลูกค้าบริการตัวเองในคำถามหรือบริการขั้นพื้นฐาน เพราะในปัจจุบัน ความต้องการของลูกค้าไม่ได้มีแค่โจทย์ของความแม่นยำ แต่ยังมีโจทย์ความรวดเร็วด้วย การตั้งโปรแกรมสำหรับข้อความตอบกลับ จะช่วยตอบคำถาม และ ความต้องการลูกค้าคุณได้ ก่อนที่เขาจะกดโทรหาคอลเซ็นเตอร์ หรือ อีเมลล์หาคุณเสียอีก 

67% ของลูกค้าชอบการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง มากกว่าขอความช่วยเหลือจากฝ่ายบริการของบริษัท  การทำ Self-service จึงเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ลูกค้าได้บริการตัวเองตามที่ต้องการ ฝ่ายบริการได้ประหยัดเวลาไปแก้ไขเฉพาะปัญหาที่ซับซ้อนให้ลูกค้าคนอื่น ๆ 


ภาพจาก OODSSEY

4. หมดยุคการทำ Funnel เปลี่ยนไปใช้ Loop  

ก่อนหน้านี้ ธุรกิจทั่วไปจะใช้โมเดล Funnel ที่โฟกัสการได้มาซึ่งลูกค้า แต่ต่อไปนี้ โมเดลใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ คือการทำการตลาดแบบ Loop ที่จะทำให้ลูกค้าได้ความประทับใจตลอดเส้นทางการใช้บริการของคุณ จนเกิดการใช้ซ้ำ วนในวงจรธุรกิจคุณต่อ ๆ ไป

จากที่กุญแจสำคัญเพื่อการเติบโตของธุรกิจ คือประสบการณ์ของลูกค้า  โมเดลแบบลูป จึงมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตั้งแต่ขั้นการได้มาซึ่งลูกค้า สร้างสัมพันธ์  ไปจนถึงช่วยให้ลูกค้าไปถึงเป้าหมายในระยะยาว 

การใช้โมเดลแบบลูป ทำให้คุณเห็นรอยร้าวในเส้นทางการใช้งานที่ต้องสมาน และ สามารถเพิ่มให้ลูปนี้แข็งแกร่งขึ้น จากการทำให้ลูกค้าได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีมากจนต้องบอกต่อ นำไปสู่จำนวนคนที่เพิ่มเข้ามาในลูป และ กลับมาใช้ซ้ำอีกในบริการเดิม และ บริการอื่น ๆ ที่มีให้

ภาพจาก Newbreedmarketing

5. ยกเลิก Tech stack เยอะๆ  ใช้ Tech แต่พอดี

เพราะความต้องการในการทำ Digital transform ของแต่ละบริษัทมีมาก จึง ไม่แปลกที่เครื่องมือเทคโนโลยีที่ถูกสร้างมาเพื่อตอบความต้องการนี้จะมากตาม  การมีตัวเลือกเครื่องมือมากมายเพื่อทำ Tech stack แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่คุณควรคำนึงไว้ตลอด คือ ความสามารถในการใช้งานของธุรกิจคุณ 

เมื่อรีบเปลี่ยนการทำงานไปแพลตฟอร์มออนไลน์ ธุรกิจจำนวนมาก เสียทรัพยากรไปกับการทำโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยีที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือ ไม่ได้ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น สุดท้ายจบลงที่การมีเทคโนโลยี และ ข้อมูลที่ล้นมือแต่ไม่สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เพิ่มงานในการบริหาร ไปจนถึงคนในทีมเห็นภาพแตกต่างกัน

ดังนั้น ในการนำโครงสร้างเทคโนโลยีมาใช้ในบริษัท คุณควรศึกษาข้อมูลให้ดี เพื่อเลือกระบบที่ทั้งทีมสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเดียวกันได้ และที่สำคัญ อย่าลืมคำนึงถึงความยากในการใช้เครื่องมือนั้น ๆ ร่วมกับแพลตฟอร์มที่บริษัทคุณใช้อยู่  ไม่จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์จำนวนมาก แต่มีในปริมาณที่คุณต้องการ และ ใช้ประโยชน์ได้สูงสุดก็พอแล้ว

ภาพจาก Marketing al Dente

สรุป

การทำกลยุทธ์ GTM หรือ Go-to-Market คือ การใช้ทรัพยากรบริษัทสร้างให้เกิดคุณค่า และ ข้อได้เปรียบสูงสุด อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้ว หลายธุรกิจจึงต้องปรับตัว ทั้งในแง่การเปลี่ยนรูปแบบการจัดการให้คล่องตัวมากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อเก็บข้อมูล และ อำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคด้านต่าง ๆ  การพลิกกลยุทธ์คราวนี้ จะทำให้ธุรกิจคุณสามารถส่งต่อคุณค่าที่ตรงกับความต้องการใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่เป็นรองจากคู่แข่งรายอื่นในตลาด 

หากคุณเป็นนักการตลาดยุคใหม่ พร้อมจะไล่ตามการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และ นำหน้าในครั้งต่อ ๆ ไป อย่าลืมสมัครสมาชิกเพื่อรับอีเมลล์อัพเดทเทรนด์ใหม่ ๆ จากเรานะคะ

อ้างอิงข้อมูลจาก : blog.hubspot.com
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

คุณอาจจะชอบบทความนี้...

สรุปสถิติ Digital และ Social Media จาก We Are Social ที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้ อัปเดตปี 2023
รวม 7 บทความการตลาดที่เราแนะนำให้คุณอ่านก่อนปี 2023

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe
แหล่งเรียนรู้สำหรับคุณและธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม
connect@thegrowthmaster.com
Privacy Policy
Terms & Agreement
User Data Deletion
Services
Business Tech Stack
Advertise
Tech Review
Subscribe
Category
Software Review
All Articles
Growth Trends
Company
We're Hiring
Internship Program
Community
Contact
Channels
Facebook
Line OA
Youtube
© Copyright 2020 W JAMES Company Limited All Rights Reserved
"Grow Like a Master"