Service
Business Tech Stack ConsultantClickUp ConsultantSAP APITech ReviewEndlessloop Consultant
Service
All Articles
Growth Trends
Growth Video
We Need Tool Talk
Startup Partners
Community
Advertise
Subscribe
🔥 Hot!
สอบถามทุกปัญหาเกี่ยวกับการสร้างธุรกิจด้านดิจิทัลที่นี่
Service
Business Tech Stack ConsultantClickUp ConsultantSAP APITech ReviewEndlessloop Consultant
Service
All Articles
Growth Trends
Growth Video
We Need Tool Talk
Startup Partners
Community
Advertise

Growth Update

วิธีส่องโฆษณาของคู่แข่งแบบฟรีๆ ด้วย Ad Library

คุณจะได้เปรียบแค่ไหน ? ถ้าคุณสามารถรู้ได้ว่าคู่แข่งของคุณกำลังโฆษณาอะไรอยู่
By
The Growth Master Team
August 24, 2019
Light
Dark
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ
The Growth Master Team
The Growth Master Team

The Growth Master Team ผู้รักในการเรียนรู้ หลงใหลในเทคโนโลยี และแฮปปี้กับการเติบโต

นักเขียน

ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (ปี 2019) Facebook ได้ทำการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ “Ad Library” ซึ่งมันคือฐานข้อมูลที่รวบรวม Ads ทั้งหมดที่กำลังทำงานอยู่บน Facebook โดยพวกเขาตั้งใจพัฒนามันออกมาเพื่อความโปร่งใสของโฆษณาที่มากขึ้น หลังจากที่มีพรรคการเมืองใช้มันเพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อปี 2016

แต่นอกเหนือจากประโยชน์เรื่องความโปร่งใสแล้ว มันก็ยังกลายมาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำหรับนักการตลาดสาย Spy ที่สามารถนำมาใช้เพื่อส่องข้อมูลโฆษณาของคู่แข่งได้อีกด้วย

ซึ่งในบทความนี้เอง ผมก็ได้นำเทคนิคการใช้ฟีเจอร์ Ad Library เพื่อวิเคราะห์โฆษณาของคู่แข่งมาฝากทุกคน (จะอยู่ในหัวข้อถัดๆ ไป) แต่ก่อนอื่นเลย เราจะไปศึกษานิยามและวิธีการใช้งานมันเบื้องต้นกันก่อน

นิยามของ Ad Library จาก Facebook

ต้องอธิบายก่อนว่าฟีเจอร์ Ad Library นั้นถูกพัฒนามาจากฟีเจอร์เดิมคือ Ad Archive ที่ได้ปล่อยออกมาในปี 2018 โดยผู้ใช้จะสามารถดูได้เฉพาะข้อมูลโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและประเด็นในเรื่องนโยบายต่างๆ เท่านั้น

แต่สำหรับฟีเจอร์ Ad Library นั้นก็ได้ขยายขอบเขตของฟังก์ชั่นการใช้งานให้มากขึ้น โดยมันอนุญาตให้คุณสามารถค้นหาและดูข้อมูลของโฆษณาบน Facebook ได้อย่างอิสระมากขึ้น ไม่ว่าโฆษณาเหล่านั้นจะอยู่ในหมวดหมู่ไหน และไม่ว่าคุณจะเป็นเป้าหมายของโฆษณาเหล่านั้นหรือไม่ คุณก็สามารถดูได้

โดย Facebook ได้นิยามคอนเซปต์ของฟีเจอร์นี้ไว้ว่า :

– Available to everyone : ใครก็ตามที่มีลิงก์สามารถค้นหาและดูข้อมูลการโฆษณาบน Facebook ของแต่ละเพจได้ ไม่ว่าเพจนั้นจะเป็น Brand, Publisher หรือ Influencer ก็ตาม แต่ในกรณีถ้าเนื้อหาในโฆษณานั้นอยู่ในประเภทที่จำกัด (เช่น โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการพนัน) Facebook ก็จะไม่แสดงข้อมูลนั้นต่อผู้ใช้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

– Completely searchable : คุณสามารถค้นหาได้ด้วยการใส่ชื่อเพจลงไปในช่อง Search ซึ่งจะเป็น บุคคล องค์กร หรือผลิตภัณฑ์ ก็ได้ เช่น คุณอาจจะกำลังค้นหาเพจที่ขายสินค้าแบบเดียวกับคุณ หรือหาบุคคลที่เป็นนักการตลาดสายเดียวกับคุณ ก็สามารถทำได้

จะเห็นได้ว่าคอนเซปต์ของ Facebook นั้นคือการตั้งใจทำให้โฆษณาต่างๆ ดูเป็นสาธารณะมากขึ้น และทำให้ผู้ใช้ทั่วไปรวมถึงผู้ประกอบการหรือนักการตลาดอย่างเราสามารถเข้าถึงมันได้ง่ายขึ้น

วิธีการใช้งาน Ad Library

วิธีการเข้าไปใช้งานมันจะมีทั้งหมด 2 วิธี คือ

1. คุณสามารถเข้าไปที่หน้าของ Ad library ได้โดยตรงเลยที่ลิงก์ :  https://www.facebook.com/ads/library และค้นหาในช่อง Search

‍

‍

2. อีกหนึ่งวิธีก็ คือการเข้าไปในเพจนั้นๆ และเลือกที่ “Page Transparency” ที่อยู่ด้านขวาของเพจ และคลิ๊ก ‘See more’ จากนั้นก็เลื่อนลงมาในเซคชั่น “Ads From This Page” และคลิ๊กที่ ‘Go to Ad Library’ เท่านี้คุณก็สามารถดูเนื้อหาโฆษณาของเพจดังกล่าวได้แล้ว

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น คุณสามารถดูวิธีการใช้งานได้จากวิดีโอด้านล่างนี้ครับ :

‍

ที่สำคัญคือ คุณสามารถใช้งานมันได้โดยไม่จำเป็นต้องล็อคอิน Facebook Account ของคุณเลยด้วยซ้ำ

เอาหล่ะครับ ทีนี้คุณก็น่าจะเข้าใจวิธีการใช้งานมันแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาที่คุณจะได้เรียนรู้แล้วว่า ถ้าเราจะใช้ฟีเจอร์ Ad Library ในการส่องคู่แข่งของเรา ต้องส่องอย่างไร ? แล้ววิเคราะห์จากอะไรเป็นหลัก ?

ไปดูกันเลย

5 จุดที่ต้องสนใจเมื่อใช้ Ad Library ในการส่องคู่แข่ง

ถึงตรงนี้ เชื่อว่าคุณก็คงรู้สึกว่าอยากจะเริ่มต้นแล้ว แต่อาจจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรเริ่มยังไง ครั้งนี้ผมจึงจะมาช่วยนำทางคุณด้วย 7 ขั้นตอนด้านล่างนี้เลยครับ

1. รูปแบบการเขียน Copy Writing

เทคนิคในการสังเกตุการเขียน Copy Wirting ของคู่แข่งก็คือ :

– พวกเขามีสไตล์การเขียนอย่างไร ?

– พวกเขาใช้โทนเสียง (Tone of voice) แบบไหนในการสื่อสารกับลูกค้า ?

– พวกเขาเลือกใช้การเขียนแบบ Long – form หรือ Short – form ?

– พวกเขาใช้เทคนิคอื่นๆ เพื่อให้คอนเทนต์ดูเข้าถึงง่ายไหม (เช่น การใส่ Emoji เป็นต้น)

สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าวิเคราะห์ออกมาแล้ว คุณจะได้รู้อะไรหลายๆ อย่างจากมัน เช่น พวกเขามีกลุ่มลูกค้าแบบไหน (จากการใช้ภาษาหรือคำ) หรือก็จะสามารถบอกได้ว่าด้วยการสื่อสารแบบนี้ มันเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเหล่านั้นได้ดีแค่ไหนนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น Hubspot ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการทางด้าน Inbound Marketing and Sales โดยเราจะสามารถสังเกตุได้จาก Ads ของพวกเขาว่า พวกเขามีการใช้รูปแบบของ Ad , CTA (Call to action) และรูปภาพที่เหมือนกัน แต่ใช้รูปแบบการเขียน Copy writing ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อทดสอบว่ารูปแบบการเขียนแบบไหนที่เวิร์คที่สุด

‍

2. Title ของลิงก์เว็บไซต์

Title ของลิงก์เว็บไซต์เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ดี ซึ่งเพียงแค่เปลี่ยนคอนเทนต์ของ Title นั้น กลุ่มเป้าหมายก็อาจจะเปลี่ยนได้เช่นกัน หลากหลายเพจจึงมักจะลองด้วยประโยคที่หลากหลาย

ตัวอย่างจาก Hubspot (อีกเช่นเคย) นอกจาก Copy Writing แล้ว พวกเขาได้ทำการทดสอบกับคอนเทนต์ Title ของลิงก์เว็บไซต์เช่นเดียวกัน โดยจะสังเกตุได้ว่าพวกเขานั้นใช้รูปภาพ และรูปแบบโฆษณาที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ Title ของลิงก์นั่นเอง

‍

3. ความสร้างสรรค์ของดีไซน์

รูปหรือวิดีโอมักเป็นสิ่งแรกๆ ที่สามารถหยุดสายตาของคนที่กำลังเลื่อนหน้าจออยู่ได้ ซึ่งถ้ารูปภาพหรือวิดีโอเหล่านั้นมีดีไซน์ที่สวยงาม พร้อมกับคอนเซปต์ที่สร้างสรรค์และน่าสนใจแล้ว มันก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะอยากทำความรู้จักกับสินค้าหรือข้อเสนอของคุณมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น Canva เว็บไซต์สำหรับการออกแบบดีไซน์ Artwork ต่างๆ ที่พวกเขาเลือกใช้วิดีโอใน Ad ของพวกเขา ซึ่งมีทั้งวิดีโอที่มีสีสันสะดุดตา และวิดีโอแบบเรียบง่ายแต่เข้าถึงได้ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันนั่นเอง

‍

4. Format ของโฆษณา

ปัจจุบันโฆษณาบน Facebook นั้นมีหลากหลายประเภท เช่น

– Image Ads : โฆษณาที่เป็นรูปภาพ

– Video Ads : โฆษณาที่ใช้วิดีโอ

– SlideShow Ads : โฆษณาแบบรูปภาพที่เลื่อนไปเรื่อยๆ

– Carousel Ads : โฆษณาแบบเป็นเซ็ตรูปภาพหรือวิดีโอ

ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกัน โดยคุณสามารถใช้มันส่องได้ว่าโฆษณารูปแบบไหนจะเหมาะกับสินค้าหรือข้อเสนอของเรา เช่น ถ้าสินค้าของคุณมีหลากหลายประเภท คุณอาจจะได้ค้นพบว่า การใช้โฆษณารูปแบบ Carousel Ads นั้นได้ผลดีกว่าการเลือกโฆษณาแบบ Image Ads ที่เป็นรูปภาพเดี่ยวๆ

ตัวอย่างจาก Target ซึ่งเป็น Re-tailer เจ้าดังของสหรัฐ โดยเพจของพวกเขาเองก็ได้ใช้รูปแบบของโฆษณาที่แตกต่างกัน

‍

5. ปุ่ม Call – to – Action

อย่างที่รู้กันว่า Facebook Ads นั้นสามารถใส่ปุ่ม CTA ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น

  • Send Message
  • Apply now
  • Book Now
  • Contact Us
  • Download
  • Get Offer
  • Get showtime
  • Learn More

แต่ละปุ่มก็จะถูกนำไปใช้ในจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้คุณก็สามารถดูได้ว่าคู่แข่งของคุณใช้ CTA แบบไหนในแคมเปญโฆษณานั้นๆ ตัวอย่างเช่น Nike ที่ใน 1 แคมเปญ พวกเขาก็ได้ใช้ CTA ที่หลากหลายสรุป

‍

‍

สรุป

หวังว่าคุณเองจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับฟีเจอร์ Ad Library มากขึ้นและสามารถนำมันไปใช้ส่องคู่แข่งหรือแบรนด์โปรดของคุณได้จากการอ่านบทความนี้

แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรใช้เครื่องมือนี้เพื่อจุดประสงค์ในการลอกเลียนแบบ แต่ควรใช้มันเพื่อค้นหาไอเดียใหม่ๆ ในการพัฒนาโฆษณา Paid Campaign บนเพจ Facebook ของคุณครับ

ref : https://cn.engadget.com , https://www.theverge.com/
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

คุณอาจจะชอบบทความนี้...

Elon Musk ย้ำ ‘ผมจะสนับสนุน Dogecoin’ แม้ราคาจะร่วงอย่างต่อเนื่องก็ตาม
Celsius Network เตรียมปรับสภาพคล่องยกใหญ่ อ้างตลาดคริปโทผันผวนรุนแรง

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe
แหล่งเรียนรู้สำหรับคุณและธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม
connect@thegrowthmaster.com
Privacy Policy
Terms & Agreement
Services
Business Tech Stack
Advertise
Tech Review
Subscribe
Category
Software Review
All Articles
Growth Trends
Company
We're Hiring
Internship Program
Community
Contact
Channels
Facebook
Line OA
Youtube
© Copyright 2020 W JAMES Company Limited All Rights Reserved
"Grow Like a Master"