ในยุคที่การตลาดมีผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางและเหล่ากลยุทธุ์ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่เก็บจากผู้ใช้บริการ การเก็บข้อมูลผู้บริโภคจากการใช้เว็บเบราว์เซอร์ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่คุ้นเคยกันดีในหมู่นักการตลาดยุคดิจิทัล เพราะมันทั้งง่าย มีประสิทธิภาพ และนำไปใช้ได้จริง เมื่อมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมชมเว็บไซต์ ตัวเว็บไซต์จะเริ่มติดตามพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของผู้เยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็น ระบุตำแหน่ง เครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่ใช้ การคลิ้กเข้าชมโฆษณา แม้แต่สิ่งที่เขาสนใจหรือแชร์ และอื่นๆอีกมากมาย
แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ให้บริการ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เกิดความขัดแย้งด้านความเป็นส่วนตัว ที่ไม่ว่าผู้ใช้จะตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างไร ก็หนีไม่พ้นการติดตามทุกฝีก้าวของ Tracker
เป็นที่มาให้เกิดนโยบายหรือการพัฒนาด้านความเป็นส่วนตัวจากหลายผู้ให้บริการ รวมถึง Apple ที่พึ่งออกฟีเจอร์บล็อกการเก็บ Cookie ใน Safari ส่งผลให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลจากผู้ใช้เบราว์เซอร์จาก Safari บนเดสก์ท็อปได้อีกต่อไป แม้ Safari จะไม่ได้เป็นที่นิยมที่สุดในหมู่ผู้ให้บริการ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลให้มองข้าม Safari ไปได้
ส่วนแบ่งการตลาดของเว็บเบราว์เซอร์ Safari
จากผู้ใช้บริการเบราว์เซอร์ทั่วโลกที่เข้าใช้โดยเดสก์ท็อป Safari มีส่วนแบ่งการตลาด 9.4% เป็นอันดับสอง รองจาก Chrome ที่ 68% และตกไปอันดับ 3 ที่ 5.7%ในตลาดเอเชีย ทิ้งห่างจาก Chrome และ Firefox ที่ 74.5% และ 7.2% ตามลำดับ
ภาพจาก Statcounter
แต่เมื่อหันมามองที่ การใช้เบราว์เซอร์บนโทรศัพท์และแท็บแล็ต Safari นับเป็นผู้ให้บริการที่น่าจับตามอง เพราะส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาเป็นอันดับ 2 มีผู้ใช้ 15.4% ในเอเชียและมากถึง 25.83% ในทั่วโลก
ภาพจาก Statcounter
ณ เวลานี้ฟีเจอร์ป้องกันความเป็นส่วนตัวมีแค่บนเว็บบราวเซอร์ แต่ในอนาคตเมื่อไหร่ที่ Apple นำฟีเจอร์นี้มาใช้บนไอโฟนหรือแท็บแล็ต นักการตลาดคงจะนั่งไม่ติดเก้าอี้กันเลยทีเดียว
Big Sur macOs ใหม่จาก Apple เพิ่มฟีเจอร์ความปลอดภัย
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา การเผยโฉม macOs Big Sur จาก Apple ในงาน Worldwide Developer Conference (WWDC) นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ macOs ทั้งในตัว Message, Map รวมไปถึงเบราว์เซอร์ Safari ที่ปรับปรุงการใช้งานและที่สำคัญเพิ่มฟีเจอรฺ์ด้านความเป็นส่วนตัวที่ Apple ชูให้เป็นจุดเด่นของ Safari มาโดยตลอด
“ พาสเวิร์ดหรือข้อมูลผู้ใช้ของ Safari ไม่เคยถูกเปิดเผยที่ใด แม้แต่ที่ Apple เอง ” - Apple.
ฟีเจอร์ที่ macOs Big Sur ได้ใส่เพิ่มเพื่อมาตราการด้านความปลอดภัยมีอยู่ 2 ฟีเจอร์หลักๆ คือ ฟีเจอร์รายงาน และ ฟีเจอร์การป้องกัน ฟีเจอร์รายงานจะแจ้งให้เห็นว่าในเว็บไซต์ที่เยี่ยมชมอยู่ มี Tracker อะไรบ้างและแสดงให้เห็นรายชื่อของ Tracker ที่ถูกบล็อกอยู่ ส่วนฟีเจอร์ป้องกัน จะทำการปกป้องการเก็บข้อมูลการใช้เบราว์เซอร์จาก Tracker อย่างเช่น Google Analytic, Amazon, DoubleClick, Optimizely เป็นต้น โดยที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Safari Extension เมื่อไหร่หรือกับเว็บไซต์ไหนบ้าง โดย macOs Big Sur เริ่มใช้ในเดือนหน้าที่จะถึงนี้แล้ว
ภาพจาก Apple
ผลกระทบจากการบล็อกการเก็บข้อมูล
ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวนี้ส่งผลอย่างมาก โดยเฉพาะกับธุรกิจที่มีผู้บริโภคเป็นกลุ่มคนที่ใช้ macOS ยิ่งถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่ใช้เบราว์เซอร์ Safari จากเดสก์ท็อปมากผลกระทบยิ่งมีมากตาม เพราะการป้องกันการเก็บข้อมูลทำให้รายละเอียดและพฤติกรรมบางส่วนของผู้ใช้หายไป เมื่อความแม่นยำหายไป การยิงโฆษณาย่อมไม่ง่ายเหมือนเดิม ทำให้ต้นทุนค่าโฆษณาของ Safari มีแนวโน้มที่จะลดลง ตรงข้ามกับเบราว์เซอร์เจ้าอื่นๆที่มีสิทธิเพิ่มขึ้นในอนาคต นับเป็นผลดีกับผู้ซื้อโฆษณาบน Safari ที่มีต้นทุนที่ถูกลง แต่จะกลายเป็นการลดรายได้สำหรับเจ้าของเว็บไซต์แทน
การปรับตัวของนักการตลาด
เมื่อข้อมูลที่สามารถเก็บได้หายไปบางส่วน การคาดเดาและวางแผนการตลาดย่อมมีประสิทธิภาพลดลง
จากที่มีรายละเอียดพฤติกรรมทุกฝีก้าวของผู้บริโภค นำมาปะติดปะต่อคาดเดาได้แม้กระทั่งความรู้สึกหรือการตอบสนองต่างๆในอนาคต แต่อยู่ดีๆจิ๊กซอว์บางส่วนก็หายไป นักการตลาดทั้งหลายเลยจะต้องหันไปหาช่องทางใหม่ๆในการเก็บข้อมูลหรือเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นทำกลยุทธ์การตลาด หนึ่งในตัวอย่างวิธีที่สามารถใช้คือหันไปเก็บข้อมูลจาก Customer Data Platform (CDP) เพื่อให้ได้ความแม่นยำคืนมาแต่จะมีข้อเสียในเรื่องของราคาที่แพงกว่า
สรุป
เมื่อมีคนได้ มักจะมีคนเสีย ความเป็นส่วนตัวที่ผู้ใช้ได้คืนมา ย่อมแลกไปกับความแม่นยำในการทำการตลาด ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกดิจิทัล ยากที่จะคาดเดา แต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือไหลไปกับมันและหาหนทางอื่นๆเพื่อมาทดแทนสิ่งที่หายไป การเพิ่มฟีเจอร์ที่กีดกันการเข้าถึงความเป็นส่วนตัว อาจทำให้เสียข้อมูลไปบ้าง แต่ก็อาจมีส่วนทำให้คนที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้หันมาใช้ Safari กันมาขึ้น ตัวเลขจะเป็นอย่างไรในอนาคตก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป
ถ้าชื่นชอบในบทความของเราหรือคิดว่าพอจะได้รับประโยชน์อยู่บ้าง อย่าลืมกดติดตาม The Growth Master เพื่อรับข่าวสารในแวดวงธุรกิจด้วยนะคะ :)