สมาชิกรัฐสภาอังกฤษ Matt Hancock ได้เรียกร้องให้กฎระเบียบของคริปโทเคอร์เรนซีมีความเสรีเปิดกว้างมากขึ้น และได้ตอกย้ำว่าไม่มีประเทศใดสามารถหยุดการปฏิวัติของคริปโทเคอร์เรนซีได้ รวมถึงได้บอกเพิ่มเติมว่าไม่ชอบแนวคิดในการที่หน่วยงานกำกับดูแลคริปโทฯ มาชักจูงว่าควร-ไม่ควรนำเงินไปทำอะไร เพราะสิ่งนี้คือสิทธิ์ส่วนบุคคล
ส.ส. อังกฤษต้องการให้กฏหมายคริปโทเคอร์เรนซีเสรีมากขึ้น
Matt Hancock สมาชิกรัฐสภาอนุรักษนิยมและอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขอังกฤษได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการมีกรอบกำกับดูแลความเสรีของสกุลเงินดิจิทัลในสัปดาห์นี้ โดยได้ให้สัมภาษณ์กับ UKTN ว่าการที่ผู้ลงทุนหลายคนชิงเทขายคริปโทฯ ไม่ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของเขาที่มีต่ออุตสาหกรรมคริปโทฯ
“ไม่มีประเทศไหนที่หยุดคริปโทเคอร์เรนซีได้ เราเพียงได้แค่เลือกเท่านั้นว่าคริปโทเคอร์เรนซีจะถูกใช้ในประเทศของเรา หรือถูกใช้ในประเทศอื่นแล้วส่งผลกระทบมาสู่ประเทศเราแทน”
ซึ่ง Matt ยังได้อธิบายเพิ่มเติมกับ UKTN ว่าเขาเกลียดความคิดของหน่วยงานกำกับดูแลคริปโทฯ ที่บอกผู้คนว่าพวกเขามีสิทธิ์ทำอะไรกับเงินของพวกเขาได้บ้าง ทั้ง ๆ ที่หน้าที่ของพวกเขาคือการให้ข้อมูลที่มีคุณภาพ และการควบคุมตลาดให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
และในกิจกรรมคลับคริปโทฯ ที่จัดขึ้นในประเทศอังกฤษเดือนเมษายนที่ผ่านมา Matt ยังได้กล่าวว่า ถ้ากฏระเบียบคริปโทฯ มีความถูกต้อง ประโยชน์จะไม่ได้มีเพียงแค่การเร่งเติบโตของภาคเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้เกิดความโปร่งใสและลดอัตราเกิดอาชญากรรมลงได้ ดังนั้นเขาจึงแนะนำว่าหลาย ๆ ประเทศควรที่จะทำความเข้าใจและนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้มากขึ่้น ไม่ใช่เกรงกลัวพวกมัน
อีกทั้ง Matt ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการล่มสลายของสกุลเงิน LUNA และ TerraUSD ที่เป็น Stablecoin ทั้งคู่ โดยได้อธิบายว่าเป็นแค่ “เหตุการณ์” ที่จะเป็นบันไดทำให้ตลาดคริปโทฯ เติบโตยิ่งขึ้น และได้แนะนำว่ายังมี Stablecoin ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่านี้อีกหลายตัว
สรุปทั้งหมด
Matt Hancock เชื่อว่าหากกฏระเบียบของคริปโทเคอร์เรนซีมีความถูกต้องและเสรีมากกว่านี้ จะทำให้เศรษฐกิจมีความเฟื่องฟู โปร่งใส ลดอัตราเกิดการโจรกรรมมากยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้คริปโทเคอร์เรนซีเข้าถึงผู้คนได้ง่าย และส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านบวกให้กับสกุลเงินดิจิทัลนี้มากกว่าเดิม
อีกทั้ง Rishi Sunak นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็ได้ออกมาเผยแผนการที่จะเข้ามารองรับคริปโทเคอร์เรนซีอย่างเต็มรูปแบบ โดยต้องการเปลี่ยนอังกฤษให้เป็นศูนย์กลางคริปโทเคอร์เรนซีระดับโลกเพื่อควบคุม Stablecoin และทำให้ Royal Mint (โรงกษาปณ์ในประเทศอังกฤษ) สามารถสร้าง NFT ได้ในอนาคต ซึ่งจะทำได้หรือไม่นั้นเราต้องมาติดตามกันต่อไป