ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วงเวลานี้ นับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุค COVID-19 คอนเทนต์ประเภทวีดีโอสั้นก็หันกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นจนแทบจะกลายเป็นอีกหนึ่ง New Normal ในวงการครีเอเตอร์ก็ว่าได้ และที่ได้รับความนิยมจนเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ก็คงหนีไม่พ้นการใช้งานแอปพลิเคชัน TikTok ซึ่งทำให้คนธรรมดา ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีไม่เก่ง หันมากดอัดวีดีโอ ตัดต่อ และใส่ลูกเล่นน่าสนใจลงไปง่าย ๆ ได้ด้วยตัวเอง
แต่ในช่วงนี้ TikTok อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกเดียวสำหรับผู้ใช้งานอีกต่อไป เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Instagram หันมาจริงจังกับคอนเทนต์ประเภทนี้มากขึ้นด้วยการเปิดตัว Instagram Reels
ภาพจาก diyphotography
Instagram Reels คืออะไร?
ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2019 หนึ่งในข่าวที่สั่นสะเทือนวงการวีดีโอครีเอเตอร์ทั่วโลกก็คงหนีไม่พ้นการปล่อยฟีเจอร์ Reels ของ Instagram ซึ่งออกมาทดลองใช้กันในบางประเทศ โดยในขณะนั้นเริ่มต้นที่ประเทศบราซิล ตามมาด้วยเยอรมนี ฝรั่งเศส และอินเดีย
ซึ่ง Instagram Reels นั้น คือฟีเจอร์การสร้างวีดีโอสั้น ๆ ที่ผู้ใช้งานสามารถเริ่มต้นอัด ตัดต่อ และโพสต์ลงในบัญชีส่วนตัวของตัวเองได้ง่ายดายภายในแอปเดียว หรือถ้าจะให้เปรียบเทียบ Instagram Reels ก็มีลักษณะการใช้งานเหมือนกับ TikTok เลยก็ว่าได้ (เรียกได้ว่าเหมือนจน TikTok ออกมาแซะผ่านทวิตเตอร์ว่า ‘หน้าตาคุ้น ๆ นะ’ กันเลยทีเดียว)
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ความร้อนแรงของฟีเจอร์นี้ก็เพิ่มความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะ Instagram ได้ออกมาประกาศเปิดตัว Reels อย่างเป็นทางการ และเริ่มทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ในประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ และอีก 50 ประเทศทั่วโลก นับว่าการเคลื่อนไหวนี้ เป็นการเน้นย้ำถึงการเข้ามาแข่งขันในตลาดวีดีโอสั้นอย่างเต็มตัวของ Instagram นั่นเอง
Layout ที่เปลี่ยนไป
และในวันนี้ Instagram ก็ได้ทดลองหน้าตาการใช้งานบนแอปพลิเคชันใหม่ เพื่อจัดความสำคัญให้ Reels เป็นฟีเจอร์หลักมากขึ้นกว่าเดิม โดยก่อนหน้านี้ฟีเจอร์ Reels จะซ่อนอยู่ใน Stories เพราะมีลักษณะการใช้งานที่คล้ายกันคือเป็นวีดีโอแนวตั้ง กดถ่ายง่าย และตกแต่งได้ตามใจชอบ
แต่สำหรับ Layout ใหม่ที่เพิ่งปล่อยออกมาให้ผู้ใช้งานบางส่วนได้ทดลองเล่นกันนั้น ปุ่ม Reels จะไม่ได้ถูกซ่อนอยู่ใน Stories อีกต่อไป! แต่กลับถูกนำมาใส่อยู่ในแถบข้างล่าง ระดับเดียวกับเมนูการสร้างโพสต์ใหม่ หน้าโฮม การแจ้งเตือน และโปรไฟล์ส่วนตัว โดยจะย้ายปุ่ม Explore ไปไว้แถบข้างบน ใกล้กับเมนู Direct แทน
ภาพจาก socialmediatoday
การย้ายปุ่มมาไว้ข้างล่างนี้ นับว่าเป็นการตอกย้ำความสำคัญของ Reels อย่างมาก เพราะจะทำให้ Reels กลายเป็นฟีเจอร์หลักอีกหนึ่งฟีเจอร์ทันที ซึ่งผู้ใช้ Instagram ก็จะกดเข้ามาใช้งานได้ง่ายมากขึ้น และยังเป็นการดึงดูดความสนใจมากกว่าเดิมอีกด้วย
และการเปลี่ยนแปลงนี้เอง..ก็สามารถบอกเป็นนัยยะสำคัญได้ว่า Instagram กำลัง ‘จริงจัง’ กับตลาดนี้แค่ไหน
เมื่อ Instagram Reels ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งกับ TikTok
แน่นอนว่าการเข้ามาเล่นในตลาดวีดีโอสั้นของ Instagram Reels ในครั้งนี้ เป็นที่น่าจับตามองของใครหลายคนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ใช้งาน TikTok ที่นอกจากจะมีตัวเลือกในการใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการในการสร้างและโพสต์วีดีโอมากขึ้นแล้ว ยังหมายถึงเส้นทางอนาคตของตนในวงการ TikTok อีกด้วย
แต่ Instagram Reels จะมาเป็นคู่แข่งของ TikTok ได้จริงหรือ?
ผลสำรวจโดย Fanbytes ออกมาชี้ชัดว่า 75% ของครีเอเตอร์ใน TikTok จะ ‘ไม่’ ย้ายไปทำคอนเทนต์ใน Instagram Reels เด็ดขาด โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า นี่คือการลอกเลียนแบบจนแทบจะเหมือนกันเป๊ะ
และจากที่ได้ทดลองใช้งานแล้ว TikTok ยังนับว่าถือไพ่เหนือกว่า Reels อยู่มากในแง่ของอัลกอริทึม ซึ่งจะคอยแนะนำวีดีโอให้กับผู้ใช้งานโดยวิเคราะห์ตามความชอบและความสนใจเฉพาะบุคคล ทำให้วีดีโอของพวกเขามีโอกาสที่จะเข้าถึงคนดูมากขึ้น โดยที่คนดูไม่ต้องกดติดตามก็สามารถเห็นผลงานของพวกเขาได้
อย่างไรก็ตาม..บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะถ้าย้อนกลับไปในสมัย 4 ปีที่แล้ว ตอน Instagram ลองปล่อย Instagram Stories มาแข่งขันกับผู้บุกเบิกตลาดอย่าง Snapchat ใหม่ๆ นั้น ก็ได้มีกระแสต่อต้านจากผู้ใช้งานอยู่มาก และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยอมใช้งานฟีเจอร์นี้เลย
ภาพจาก: recode
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่ Instagram Stories ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก็จะเห็นได้จากกราฟข้างบนนี้ว่า ผู้ใช้งาน Instagram หันมาใช้ Stories กันมากขึ้น จนแซงจำนวนผู้ใช้งาน Snapchat ไปอย่างขาดลอย นับว่าเป็นชัยชนะที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึง..แต่ก็เกิดขึ้นจริงแล้ว
และในปัจจุบัน Instagram Reels ก็ได้ถูกทดลองใช้ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับประเทศไทยอาจจะต้องอดใจรอกันอีกสักหน่อย เชื่อว่าจะมีข่าวดีมาให้ลุ้นกันในเร็ว ๆ นี้แน่นอนค่ะ :)
สรุปทิ้งท้าย
ถึงแม้ว่าตอนนี้ Reels จะยังไม่ได้รับความนิยมและกระแสตอบรับที่ดีมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก เพราะ Instagram เองก็มียักษ์ใหญ่อย่าง Facebook เป็นผู้พัฒนาคอยหนุนหลังอยู่สม่ำเสมอ รวมถึงเกมการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่อาจส่งผลให้ TikTok ต้องถูกแบนการใช้งานในอเมริกา ซึ่งนับว่าหนึ่งในฐานผู้ใช้งานสำคัญของแอปพลิเคชันเลยก็ว่าได้
ด้วยความได้เปรียบทั้งสองแง่มุมดังกล่าวของ Instagram อาจจะทำให้เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้