เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแพลทฟอร์ม Social Media เพื่ออาชีพและธุรกิจอย่าง LinkedIn เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา LinkedIn ได้ทำการปรับเปลี่ยนหน้าตาทั้งตัวเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น
โดย LinkedIn ดีไซน์ใหม่นั้นจะมีการเพิ่มพื้นที่สีโทนพาสเทลในพื้นหลัง ได้แก่สีขาว , สีเทา และลดปริมาณของสีน้ำเงินที่ถือเป็นสีหลักของ LinkedIn ลงไป รวมถึงมีการปรับดีไซน์ของตัวปุ่มนำทาง ให้มีความสมัยใหม่ขึ้น เรียกว่าเป็นการ Redesign ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของ LinkedIn ในปีนี้เลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่นั้น LinkedIn ยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่างฟีเจอร์ Stories ที่ทำเอาหลายคนถึงกับประหลาดใจว่า LinkedIn แพลทฟอร์มที่ดูมีความน่าเชื่อถือจะกล้าปล่อยลูกเล่นใหม่แบบนี้เข้ามา
แต่เบื้องหลังของการปรับเปลี่ยนหน้าตาของแพลทฟอร์มและการนำฟีเจอร์ใหม่อย่าง Stories เข้ามา LinkedIn วางแผนอะไรอยู่และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะสามารถสร้างการเติบโตให้กับ LinkedIn ได้มากแค่ไหน ไปติดตามต่อได้ในบทความนี้เลย
LinkedIn เปลี่ยนหน้าตาของแพลทฟอร์มให้ดูมีความเป็น Social Media มากขึ้น
เริ่มที่การเปลี่ยนแปลงแรกของ LinkedIn ด้วยการปรับเปลี่ยนหน้าตาของแพลทฟอร์มใหม่ด้วยการเพิ่ม Space ของสีขาวและเทาแนวพาสเทล ไปบริเวณพื้นหลังของแพลทฟอร์ม และลดปริมาณของสีต่างๆลง เช่น สีดำในแถบ Menu , สีน้ำเงิน (ที่ถือเป็นสีหลักของ LinkedIn) ในบริเวณปุ่มนำทางต่างๆ

หน้าตาของ LinkedIn แบบเก่า ภาพจาก Business Insider
นอกจากนี้ LinkedIn ยังใส่ใจกับรายละเอียดยิบย่อยในหน้าแพลทฟอร์มด้วยการเปลี่ยนดีไซน์ของรูปโปรไฟล์ , ปุ่มนำทางต่างๆ ให้เป็นวงกลม มีการเปลี่ยนสีแถบ Menu จากสีดำเป็นสีขาว รวมไปถึงตัวกรอบมิติพื้นที่ ที่ออกแบบมาให้มีความโค้งมนมากขึ้น ไม่ได้เป็นสี่เหลี่ยมจัดๆ แบบเมื่อก่อน

ภาพจาก usatoday
ซึ่งหน้าตาของ LinkedIn แบบดีไซน์ใหม่นี้ LinkedIn ได้ออกมาแถลงว่าพวกเขาตั้งใจสร้างรูปลักษณ์และประสบการณ์ในการใช้งานครั้งใหม่ ให้แพลทฟอร์มดูมีความเป็น Social Media เพิ่มมากขึ้น (มองผ่านๆ หน้าตาจะเหมือนกับ Facebook เลย) เพื่อเพิ่มความอบอุ่น เป็นมิตรในการใช้งานให้แก่ผู้ใช้ LinkedIn ทุกคน
โดยการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ในครั้งนี้จะมีผลทั้งในเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นมือถือ โดย LinkedIn ตั้งเป้าจะเปิดใช้งานภายในช่วงปลายปีนี้ (หรือเร็วสุดในช่วงเดือนหน้า) พร้อมยังเผยว่าจะมี Dark Mode ออกมาพร้อมกันเลยด้วย
ยังไม่พอ ! LinkedIn เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Stories หวังสร้างประสบการณ์การสื่อสารครั้งใหม่
แต่ LinkedIn ยังไม่หยุดเท่านี้ครับ เพราะล่าสุดพวกเขาเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Stories เข้ามาอยู่ในแพลทฟอร์มแล้ว
โดย LinkedIn Stories นั้นจะหลักการใช้งานจะมีความเหมือนกับใน Instagram และ Snapchat แทบจะทุกประการครับ สามารถถ่ายรูปหรือวิดีโอ ตกแต่งสี เพิ่มเติมข้อความบรรยายความรู้สึกต่างๆ แล้วอัปโหลดลงไปในแพลทฟอร์มได้ทันที
ซึ่ง Stories ของ LinkedIn นั้นก็จะมีอายุการแสดงผลอยู่ที่ 24 ชั่วโมงเหมือนกับฟีเจอร์ Stories ของแพลทฟอร์มอื่น และนอกจากนั้นฟีเจอร์ Stories ของ LinkedIn ยังสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้ไปปรากฏเฉพาะ Close Friend List หรือรายชื่อที่คุณต้องการให้เห็นสตอรี่ เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้งานได้อีกด้วย

ภาพจาก socialmediatoday
แม้จะมีหลายเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการสร้างฟีเจอร์นี้ขึ้นมาบนแพลทฟอร์มที่ดูมีความน่าเชื่อถือและจริงจังอย่าง LinkedIn แต่ทางคุณ Liz Li ผู้อำนวยการอาวุโสด้านผลิตภัณฑ์ของ LinkedIn ได้ออกมาแถลงว่า พวกเขาต้องการให้ผู้ใช้งานสร้างปฏิสัมพันธ์บนแพลทฟอร์มมากขึ้น
ด้วยธรรมชาติของ LinkedIn เองเป็นแพลทฟอร์มที่เน้นการโพสต์อะไรที่ดูจริงจัง (เกี่ยวกับธุรกิจมากกว่า) ทำให้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเกิดความกลัวและไม่ค่อยเข้ามาสร้างปฏิสัมพันธ์กับ LinkedIn มากเท่าที่ควร การออกฟีเจอร์ Stories นี้ขึ้นมา (รวมไปถึงการปรับแต่งการดีไซน์ด้วย) เราหวังว่าจะทำให้เกิดการสนทนามากขึ้นจากคนที่ไม่ได้มีการแชร์เนื้อหาอะไรมากบน LinkedIn
และสุดท้ายทาง LinkedIn ก็หวังว่าจะเป็นการเริ่มต้นขยายฐานผู้ใช้งานให้มารู้จัก LinkedIn มากขึ้น และทำให้ผู้ที่เคยใช้งานอยู่แล้วกลับมาสร้างปฏิสัมพันธ์กับ LinkedIn มากกว่าแค่ตอนจะหางานใหม่นั่นเอง

สรุปทั้งหมด
สำหรับฟีเจอร์ Stories ของทาง LinkedIn นี้เริ่มมีการปล่อยให้ทดลองใช้งานแล้วในประเทศกลุ่มทดลองอย่าง Brazil , Netherlands , UAE , Australia , France ซึ่งผลตอบรับก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
โดยทาง LinkedIn เองก็จะเริ่ม Launch ตัวฟีเจอร์ใหม่นี้อย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ประเดิมด้วยประเทศ สหรัฐอเมริกา และแคนนาดา เป็น 2 ประเทศแรก แต่สำหรับประเทศไทย อาจจะต้องรอเวลาอีก 2-3 เดือน(หรือมากกว่านั้น) ถึงจะมีสิทธิ์ได้ใช้งานฟีเจอร์ Stories ของทาง LinkedIn
เพราะต้องยอมรับจริงๆ ครับว่าผู้บริโภคในประเทศไทย อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับ LinkedIn มากนัก (ตัวเลขผู้ใช้งานยังน้อยอยู่) แต่อย่างไรก็ต้องติดตามกันครับว่าเมื่อฟีเจอร์นี้เข้าสู่ไทย จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และในอนาคต LinkedIn จะออกฟีเจอร์อะไรใหม่ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคชาวไทยอย่างเราหรือเปล่า