Michael Saylor เจ้าของบริษัท MicroStrategy บริษัทที่ถือครองคริปโทเคอร์เรนซีมากที่สุดในโลกได้กล่าวว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ หุ้น หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ก็ตาม
ซึ่งการออกมากล่าวเช่นนี้แน่นอนก็สร้างกระแสทั้งด้านบวกด้านลบไปทั่ววงการการลงทุน โดยรายละเอียดและเหตุผลของ Michael Saylor ที่มารองรับนั้นคืออะไร วันนี้ The Growth Master จะมาบอกให้กับคุณ
Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีคือการลงทุนแห่งอนาคต
Michael Saylor ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับข้อสังเกตการลงทุนสินทรัพย์จับต้องได้อย่างทอง หุ้น และอสังหาริมทรัพย์เอาไว้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่ต้องเสียภาษีสูงเมื่อเทียบกับการใช้งานที่จำกัด แต่ Bitcoin หรือคริปโทเคอร์เรนซีนั้นภาษีไม่สูงเท่า นำไปใช้จ่ายบริการต่าง ๆ ได้หลากหลายกว่า มีความปลอดภัยสูงมาตั้งแต่แรกเริ่ม
มากไปกว่านั้น เขายังได้พูดยกตัวอย่างเกี่ยวกับข้อจำกัดของสินทรัพย์ลงทุนจับต้องดังนี้
“ถ้าคุณเป็นเจ้าของพื้นที่ในแอฟริกา คุณจะให้เช่าได้แค่คนในแอฟริกาเท่านั้น แต่ถ้าคุณเป็นเจ้าของเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี คุณสามารถแลกเปลี่ยนหรือให้เช่ายืมกับทุกคนได้บนโลก”
นอกจากนั้น Michael Saylor ยังเพิ่มเติมว่า Bitcoin สามารถพกติดตัวไปได้ทุกพื้นที่ไม่ว่าจะถือครองมาก-น้อยขนาดไหนก็ตาม รวมถึงยังส่งมอบเป็นมรดกให้กับลูกหลานหรือคนในครอบครัวได้อีกด้วย และยังย้ำอีกครั้งว่า Bitcoin หรือคริปโทเคอร์เรนซีไม่สามารถเก็บภาษีได้
ศักยภาพของคริปโทเคอร์เรนซีในเศรษฐกิจยุคดิจิทัล
Michael Saylor เพิ่งมารู้ถึงศักยภาพของคริปโทเคอร์เรนซีในปี 2020 เป็นต้นมา และจากการเก็บของมูลจาก MicroStrategy (บริษัทเขาเอง) ได้พบว่าคริปโทเคอร์เรนซี (สกุล Bitcoin) มีความน่าลงทุนกว่ามากเพราะมีผลตอบแทนสูงกว่าทองคำมหาศาล และถ้ามองถึงอนาคตของการลงทุนในตลาดดิจิทัล คริปโทเคอร์เรนซีคือ The Next Big Thing อย่างแน่นอน
สรุปทั้งหมด
การออกมาสนับสนุนของ Michael Saylor ก็ไม่ได้ออกมากล่าวลอย ๆ เพราะมีตัวเลขจาก Survey ของบริษัท Mizuho Securities ได้เผยว่าประชากรประเทศสหรัฐฯ กว่า 10% มีความสนใจลงทุนกับคริปโทเคอร์เรนซีและหุ้นแล้ว นับว่าตอนนี้ถึงแม้ว่ากระแสของคริปโทเคอร์เรนซีจะเบาบางไปบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าสินทรัพย์ดิจิทัลนี้มีศักยภาพมากพอที่จะก้าวเข้ามาเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ได้แน่นอนในอนาคตข้างหน้า