Services
Services
Performance MarketingContent Led GrowthLaunchpad WebsiteBranding
PORTFOLIO
Let's Talk
Services
Performance MarketingContent Led GrowthLaunchpad WebsiteBranding
Services
Portfolio
Let's Talk
คุยกับเรา
Thank you! Your submission has been received!
Oops! Something went wrong while submitting the form.

Growth Update

สาเหตุอะไรที่ทำให้ Jack Dorsey ซีอีโอของ Twitter เข้าซื้อกิจการ Tidal แอปพลิเคชันสตรีมเพลงชื่อดัง

เปิดเบื้องหลังดีลใหญ่ ทำไม Jack Dorsey ซีอีโอของ Twitter และ Square แพลตฟอร์มด้าน Financial Technology เข้าซื้อกิจการ Tidal แอปพลิเคชันสตรีมเพลงด้วยเงินกว่า 297 ล้านดอลลาร์
By
Pea Tanachote
March 9, 2021
Light
Dark
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

คงต้องบอกว่าปี 2021 เป็นปีแห่งการแข่งขันของธุรกิจแอปพลิเคชันทุกประเภทกันจริง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ตลาดแอปพลิเคชันสตรีมเพลง (Music Streaming) ก็มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังจากที่ Tidal หนึ่งในแอปพลิเคชันตัวละครลับด้าน Music Streaming ถูกซื้อกิจการไปเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว

ซึ่งผู้ที่เข้ามาซื้อกิจการของ Tidal ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ Jack Dorsey ซีอีโอของ Twitter โซเชียลมีเดียสีฟ้าชื่อดัง แถมในการซื้อกิจการของ Tidal ครั้งนี้ Jack Dorsey ไม่ได้ซื้อกิจการในนามของ Twitter แต่เขาใช้ Square Inc อีกหนึ่งบริษัทที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอเข้ามาซื้อกิจการของ Tidal 

โดยดีลนี้ใครที่ได้ข่าวตอนแรกต้องมีแปลกใจกันบ้างแน่ ๆ เพราะ Square เป็นธุรกิจที่ให้บริการด้าน Financial Service Technology (เทคโนโลยีด้านการบริการทางการเงิน) ที่ดูยังไงก็คนละขั้วกับ Tidal ที่เป็นธุรกิจ Music Streaming 

แต่ในความเป็นจริงแล้วในดีลนี้ถ้าได้ทราบเหตุผลแล้วจะพบว่าทั้ง Sqaure และ Tidal ต่างได้ผลประโยชน์กันทั้งคู่ และถือเป็นการสร้างอนาคตที่ดีของทั้ง 2 แพลตฟอร์ม แต่อะไรคือเบื้องหลังของดีลนี้ ติดตามต่อได้ในบทความ

รู้จัก Square และ Tidal ให้มากขึ้น! ประวัติความเป็นมาของทั้ง 2 แพลตฟอร์มเป็นอย่างไร

อย่างที่ได้เกริ่นไปตอนต้นว่าดีลนี้ใครที่ได้ข่าวต้องมีแปลกใจกันบ้าง เพราะเป็น 2 ธุรกิจที่แม้จะให้บริการด้านเทคโนโลยีเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน

โดยเริ่มจาก Square ผู้เข้าซื้อกิจการกันก่อน Square เป็นธุรกิจที่ให้บริการด้าน Financial Service Technology และระบบ Digital Payment สัญชาติอเมริกา ก่อตั้งในปี 2009 โดย Jack Dorsey ที่ดำรงตำแหน่งเป็น CEO และ Chairman คนปัจจุบันของบริษัทด้วย

ภาพจาก hrnxt

ซึ่งหากเห็นชื่อและหน้าตาของ Jack Dorsey แล้วรู้สึกคุ้น ๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะ Jack Dorsey คนนี้นี่แหละที่ปัจจุบันก็มีตำแหน่งเป็น CEO ของ Twitter โซเชียลมีเดียยอดฮิตของโลกด้วยเช่นกัน เรียกว่าควบการเป็น CEO ของ 2 ธุรกิจยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีเลย

ซึ่ง Square เกิดขึ้นจากตอนที่ Jack Dorsey ลาออกจาก Twitter ในช่วงปี 2009 (ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งใหม่อีกครั้ง) เขาได้ไปคุยกับเพื่อนของเขา Jim McKelvy ที่ปัจจุบันถือเป็น Co-Founder และ Director ของ Square โดยในการสนทนาครั้งนั้น Jim McKelvy ได้เล่าปัญหาให้กับ Jack Dorsey ฟังว่าเขาไม่สามารถขายแก้วน้ำ Handblown (แก้วน้ำทำมือ) มูลค่า 2,000 เหรียญที่เขาทำเองได้เลย

แต่ที่ลูกค้าไม่ซื้อไม่ใช่เพราะแก้วของเขาไม่สวย แต่เป็นเพราะลูกค้าไม่ได้มีเงินสดมากขนาดนั้น และ Jim เองก็ไม่ได้มีระบบการรองรับบัตรเครดิต เขาเลยคิดว่าคงจะดีถ้าให้ลูกค้าสามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านโทรศัพท์ได้

นั่นเลยทำให้ Jack Dorsey ปิ๊งไอเดียและร่วมกันลงมือสร้างอุปกรณ์ที่ทำให้การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ทำได้ผ่านสมาร์ทโฟนด้วยอุปกรณ์ที่ชื่อเดียวกับธุรกิจอย่าง Square ที่เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อกับช่องเสียบหูฟังสมาร์ทโฟนเพื่อรูดบัตรเครดิตชำระเงินได้ผ่านสมาร์ทโฟน 

ภาพจาก uniton

และจากนั้นทาง Square ก็ได้พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ด้าน Financial Technology ออกสู่ตลาดอยู่เสมอเช่นเครื่องชำระเงินด้วยระบบPOS, การเทรดหุ้นผ่านแพลตฟอร์ม, การซื้อ Bitcoin ผ่านแอป Square Cash รวมไปถึงด้าน Network สำหรับการชำระเงินผ่านออนไลน์ ซึ่งก็ทำให้ Square มีมูลค่าบริษัทไปแตะระดับที่ 98.4 พันล้านดอลลาร์หรือเงินไทยราว 3 ล้านล้านบาท(ข้อมูลปี 2021) มากกว่า Twitter ที่เป็นอีกบริษัทของ Jack Dorsey ซะอีก (Twitter มีมูลค่าอยู่ที่ 53.4 พันล้านดอลลาร์หรือเงินไทยราว 1.6 ล้านล้านบาท)

ตัดกลับมาในฝั่งผู้ถูกซื้ออย่าง “Tidal” ที่เป็นแอปพลิเคชันให้บริการด้าน Music Streaming ที่ดูผ่าน ๆ จาก UI ของแอป ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากแอปพลิเคชัน Music Streaming ตัวอื่น ๆ ที่เราคุ้นเคยเช่น Spotify, Apple Music หรือ Pandora, Amazon Music ของต่างประเทศ (หน้าตาในแอปเหมือน Spotify มากๆ)

แต่ความจริงแล้ว Tidal มีจุดเด่นที่แอปพลิเคชัน Music Streaming ส่วนใหญ่ไม่มี นั่นก็คือเรื่องของ “คุณภาพเสียง” ที่ Tidal เคลมว่าแอปพลิเคชันของพวกเขามอบประสบการณ์ชั้นยอดในการฟังเพลงให้กับผู้ใช้บริการที่ต้องการฟังเพลงด้วยคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด

ภาพจาก Tidal

ด้วยระบบคุณภาพเสียงที่ดีที่สุดแบบ MQA (Master Quality Authenticated) ที่เก็บทุกรายละเอียดด้านเสียงในแต่ละเพลง ชนิดที่ว่าถ้าเปรียบเทียบแค่ “คุณภาพเสียง” ระหว่าง Tidal กับแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งเจ้าอื่น “Tidal คือผู้ชนะ” 

จนมีคำเปรียบเปรยเล่น ๆ ของผู้ใช้งานบางกลุ่มบอกว่าคุณภาพเสียงของ Tidal เปลี่ยนให้หูฟังธรรมดากลายเป็นหูฟังแบบมอนิเตอร์ (หูฟังสำหรับนักดนตรีอาชีพ) ได้เลย

ซึ่งเจ้าของกิจการคนปัจจุบันของ Tidal ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ “Jay Z” ยอดแร็ปเปอร์ชาวอเมริกันซึ่งต้องบอกว่าจริง ๆ แล้ว Tidal กำเนิดขึ้นโดยบริษัทสัญชาตินอร์เวย์ที่ชื่อว่า Aspiro ในปี 2014 แต่หลังจากนั้นแค่ปีเดียว Jay Z แร็ปเปอร์และ CEO บริษัท Project Panther Bidco ที่เป็นธุรกิจด้านการลงทุน (Holding Company) ก็เข้ามาซื้อกิจการของ Tidal ไปด้วยจำนวนเงิน 56.2 ล้านดอลลาร์

ภาพจาก t3middleeast

ซึ่งทาง Jay Z ที่ถือเป็นนักดนตรีอาชีพเขาก็ตั้งใจพัฒนาให้แอปพลิเคชันนี้เป็นแอปพลิเคชันสำหรับคนที่รักในเสียงดนตรีจริง ๆ ด้วยการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่มุ่งเน้นไปที่คุณภาพเสียงที่ดีกว่าคู่แข่ง, Exclusive Content ที่ชมได้ที่เดียวในแอปพลิเคชัน รวมถึงการรองรับการใช้บน Apple Carplay 

ทำให้ Tidal กลายเป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชัน Music Streaming ที่ครองใจตลาดคนรักการฟังดนตรีแบบเข้าเส้นได้อย่างไม่มีที่ติ 

ปัญหาอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ดีลนี้เกิดขึ้นและทิศทางในอนาคตของ Tidal จะเป็นอย่างไร ?

จุดเริ่มต้นของดีลนี้นั้นเกิดขึ้นจากการที่ Jack Dorsey มองเห็นสถานการณ์ด้านการเงินของ Tidal ที่ไม่ค่อยสู้ดีนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงตัวเลขผู้ใช้งานของ Tidal ก็กำลังตกที่นั่งลำบากเช่นกัน

โดยปัจจุบันนั้น Tidal ให้บริการใน 56 ประเทศ (มีประเทศไทยด้วย) แต่จากสถิติที่เปิดเผยออกมาในปี 2019 กลับพบว่า Tidal นั้นมียอดผู้ใช้บริการจากทั่วโลกทั้งหมดเพียงแค่ 3 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายของผลสำรวจ

ภาพจาก statista

รวมถึงถ้าใครได้ติดตาม Tidal ก็น่าจะทราบว่า Tidal นั้นประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักมาตั้งแต่ปี 2017 แถมในปี 2019 Tidal ก็ขาดทุนถึง 55.19 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ Tidal ขาดแคลนเงินในการชำระค่าลิขสิทธิ์เพลงในแพลตฟอร์ม

ซึ่งสื่อหลายสำนักก็คาดเดาว่าอาจเป็นเพราะค่าบริการของ Tidal ที่มีราคาแพงกว่าแอปพลิเคชันเจ้าอื่น ๆ ในตลาด โดยปัจจุบันถ้าวัดราคาในแพคเกจ Individual นั้น Tidal มีค่าบริการเป็นเงินไทยอยู่ที่ 258 บาท/เดือน ในขณะเดียวกัน Spotify เจ้าตลาดมีค่าบริการเพียงแค่ 139 บาท/3เดือน (ตกเดือนละ 47 บาท)

ปัจจัยนี้เองเลยเป็นเหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้บริการของ Tidal มากเท่าที่ควร ซึ่งผู้ที่ยอมจ่ายราคาระดับนั้นต่อเดือนให้กับ Tidal ก็ต้องเป็นคนที่รักและชื่นชอบในดนตรีจริงๆ เลยทำให้ฐานผู้ใช้งานของ Tidal เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยในตลาด

นั่นเลยทำให้ Jack Dorsey ซีอีโอของ Square ที่มีความสนิทสนมกับ Jay Z อยู่แล้ว เสนอตัวเข้ามาเป็นพระเอกขอซื้อกิจการของ Tidal ด้วยจำนวนเงินกว่า 297 ล้านดอลลาร์ (เงินไทยราว 9,128 ล้านบาท) โดยทาง Square จะจ่ายเป็นเงินสดและหุ้นให้กับ Tidal 

ภาพจาก avtechguide

ซึ่งดีลนี้ก็ได้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนั้นทาง Square ยังให้อิสระในการบริหารงานของ Tidal ต่อไปหรือก็คือแอปพลิเคชัน Tidal ก็ยังคงให้บริการอยู่ แต่เพียงหลังจากนี้ Jay Z ก็จะกลายเป็นบอร์ดบริหารและส่วนหนึ่งของ Square ด้วย

แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากรู้ว่าทำไม Square ถึงออกมาซื้อกิจการ Tidal เรื่องนี้ Jack Dorsey ผู้ซื้อกิจการได้ออกมาเปิดเผยสาเหตุถึงดีลนี้ว่า สาเหตุที่พวกเขาต้องซื้อกิจการของ Tidal นั้นก็เป็นเพราะว่า Square อยากจะเข้ามาพัฒนาอุตสาหกรรมดนตรีให้เติบโตขึ้น

เพราะ Square เองมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญด้านระบบ Digital Payment ที่พร้อมเข้ามาช่วย Tidal ทั้งด้านการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ รวมถึงการแบ่งรายได้ให้กับศิลปิน 

ต้องเรียนให้ทราบแบบนี้ครับ อย่างที่บอกคือ Tidal เป็นแอปพลิเคชันสำหรับคนที่รักในเสียงดนตรีแต่อีกหนึ่งเรื่องที่ทั้ง Jay Z และ Tidal สนับสนุนก็คือ “การสร้างรายได้ให้กับศิลปินผ่านแอปพลิเคชัน” ที่ Tidal เคลมตัวเองไว้ว่าพวกเขาจะมีการแบ่งเปอร์เซ็นต์เงินส่วนแบ่งให้กับศิลปินที่ “มากกว่า” แอปพลิเคชันสตรีมมิ่งเพลงอื่น ๆ 

เพื่อเป็นการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเพลงมีความยั่งยืนและเติบโตได้ หลังจากที่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา รายได้ของศิลปินและวงการคนทำเพลงต้องลดลงไปเนื่องจากตลาดที่เปลี่ยนผ่านจากยุค ซีดี-เทปคลาสเซ็ทสู่ยุคสตรีมมิ่ง

ซึ่งการเข้ามาของ Square ในครั้งนี้ก็จะทำให้ระบบการชำระเงิน จ่ายเงิน หรือเทคโนโลยีด้านการเงินของ Tidal ถูกพัฒนาและปรับปรุงจากบริษัทแม่อย่าง Square อยู่ตลอดเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผู้ใช้งาน

ภาพจาก avtechguide

ส่วนทางฝั่ง Jay Z เองก็ได้ออกมากล่าวว่าการร่วมมือกับ Square ในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวของการเติบโตของ Tidal และ Square จะเข้ามาช่วยเราในด้านการรักษาผลประโยชน์ให้ศิลปินที่มีเพลงอยู่ในแพลตฟอร์มของเราให้มากที่สุด อีกทั้งในอนาคต Tidal อาจจะเป็นแพลตฟอร์ม Music Streaming ที่สนับสนุนศิลปิน, คนรักในเสียงดนตรีได้ดีที่สุดด้วย

สรุปทั้งหมด

การที่ Jack Dorsey และ Square เข้าซื้อกิจการของ Tidal ในครั้งนี้คือตัวอย่างที่ทำให้เห็นเลยว่าการเติบโตไม่จำเป็นที่จะต้องมองในตลาดของตัวเองอย่างเดียว การลองมองหาตลาดและโอกาสใหม่ ๆ ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาสร้างการเติบโตให้ธุรกิจคุณได้เช่นกัน

สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากลองใช้บริการของ Tidal เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนศิลปินที่ชอบ รวมถึงเปิดประสบการณ์คุณภาพเสียงชั้นยอด ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้เลย แต่อย่างไรก็ตามแม้จะใช้งานได้ในบ้านเรา แต่ตอนนี้ Tidal ยังไม่รองรับภาษาไทย (มีเพลงของไทย แต่ในแพลตฟอร์มยังไม่แสดงผลภาษาไทย) 

ซึ่งเราก็คงต้องมาติดตามกันต่อไปยาว ๆ ครับว่า Tidal หลังจากที่ได้ Square มาเป็นกำลังสำคัญให้แล้วจะสร้างการเติบโตในอนาคตได้มากแค่ไหน

Source : theverge , bloomberg
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

คุณอาจจะชอบบทความนี้...

สรุปสถิติ Digital และ Social Media จาก We Are Social ที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้ อัปเดตปี 2023
รวม 7 บทความการตลาดที่เราแนะนำให้คุณอ่านก่อนปี 2023

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

เราช่วยธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม

Services
Growth AgencyDesign StudioSoftware ConsultingDigital TalentsOur Portfolio
Category
All ArticlesSoftware ReviewGrowth Trends
Company
We're HiringCommunityContact
ติดตามข้อมูลการตลาด
Growth Hacking ได้เลยทีนี่
มากกว่า 4,000 บริษัทติดตาม The Growth Master ตอนนี้
ไปที่หน้า Subscribe

© Copyright 2024 The Growth Master Company Limited All Rights Reserved