ติดจรวดกลยุทธ์ Email Marketing ด้วยการใช้ Facebook เป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อให้ธุรกิจคุณได้ Lead เพิ่มขึ้น เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าในปัจจุบันกลยุทธ์ E-mail Marketing เริ่มมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นตั้งแต่องค์กรใหญ่ๆ ไปจนถึงธุรกิจสตาร์ทอัพขนาดเล็ก ก็เริ่มนำเทคนิค E-mail Marketing มาเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงในการช่วยเผยแพร่สาร ไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างฉับไวมากขึ้น
แล้วทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่า ในอีกมุมหนึ่งทุกองค์กรก็ต่างล้วนมี Social Media ต่างๆ เป็นเครื่องมือในการทำการตลาดอยู่แล้ว และถ้ามองผ่านๆ มันดูมีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพกว่าการทำ E-mail Marketing ตั้งเยอะ แต่ทำไมกลยุทธ์นี้ถึงได้รับความนิยมขนาดนี้
ซึ่งจากผลสำรวจของ MailChimp ได้ระบุเอาไว้ว่าการทำ E-mail Marketing นั้นสามารถสร้าง Lead (คนที่มีแนวโน้มเป็นลูกค้า) ให้กับธุรกิจของคุณได้มากกว่าการทำการตลาดผ่านทางโซเชียลมีเดียถึง 3 เท่า
แถมในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ การทำ E-mail Marketing ยิ่งส่งผลดีขึ้นไปกว่าเดิมเพราะ “ประหยัดงบ” มากกว่าการยิง Ads แถมได้ผลตรงตามกลุ่มเป้าหมาย และยังทำให้ลูกค้าของคุณรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากกว่าโซเชียลมีเดียอีก
โดยสำหรับความหมายและข้อดีต่างๆ ในการทำ E-mail Marketing ทาง The Growth Master ได้เคยอธิบายเอาไว้แล้ว ทุกคนสามารถไปอ่านได้ใน “บทความนี้” เลยครับ
ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe
เพราะ E-mail Marketing คือกลยุทธ์การตลาดแบบ Personalized เบอร์ 1 กลายเป็นเทรนด์การตลาดที่คุณต้องรีบทำความเข้าใจซะแล้วครับ เมื่อสถิติจาก Hubspot ได้กล่าวถึงเทรนด์ในการทำ E-mail Marketing ว่าในช่วงปี 2019 ที่ผ่านมามีถึง 80% ของนักการตลาดได้ยืนยันว่าการทำ E-mail Marketing ได้รับ Engagement ที่ดีขึ้นจากปีก่อนๆ
ส่วนด้านผลตอบแทนที่คุณจะได้รับก็ไม่แย่นะครับ เพราะจากการสำรวจเมื่อปีที่แล้วของ Market Reserach ชื่อดังอย่าง Oberlo ก็ได้ตอกย้ำความมาแรงของกลยุทธ์นี้ว่าในทุกๆ 31 บาท (1 ดอลลาห์) ที่คุณลงทุนไปกับการทำ E-mail Marketing คุณจะได้ผลตอบแทนคืนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,325 บาท (42 ดอลลาห์) เลยทีเดียว
ภาพจาก Oberlo นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ E-mail Marketing ถือเป็นการตลาด Personalized ที่ใช้ได้ผลดีที่สุดเป็นอับดับ 1 ณ ตอนนี้ แล้วระหว่าง Social Media Marketing และ E-mail Marketing คุณควรเลือกใช้กลยุทธ์ไหน? เชื่อว่าหลายคนน่าจะยังมีคำถามอยู่นะครับว่า แล้วแบบนี้แสดงว่าการทำ Social Media Marketing ต่างๆ ที่เราต่างทุ่มงบ ระดมความคิดพัฒนากันอยู่ในทุกๆ วัน ก็ไม่จำเป็นแล้วหรือเปล่านะ ?
คำตอบก็คือ ไม่ใช่ครับ การทำ Social Media Marketing ยังจำเป็นอยู่นะครับ โดยทั้งสองกลยุทธ์ที่ว่ามันมีความแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือทั้ง 2 กลยุทธ์จะสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีและสามารถสร้างองค์กรของคุณให้แข็งแกร่งได้
โดยประโยชน์ของ Social Media นั้นแน่นอนครับว่าต้องเป็นเรื่องของประสิทธิภาพในการเข้าถึงที่สามารถให้ผู้คนจำนวนมากเห็นสารที่เราต้องการจะสื่อได้ อีกทั้งยังเหมาะกับการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง
กลับกัน E-mail นั้นเป็นเรื่องจะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าซึ่งหมายความว่า E-mail นั้นจะมีประสิทธิภาพมากกว่าถ้าพูดถึงเรื่องการขายและการสื่อสารแบบตัวต่อตัว เพราะข้อความที่คุณจะสื่อสาร จะถูกส่งไปยังอีเมลส่วนตัวของแต่ละ User ที่ได้ทำการ Subscibe เอาไว้ ซึ่งการันตีจากสถิติจาก Optinmonster แล้วด้วยว่า ถ้าเปรียบเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด Email ก็ยังกินขาด!
ภาพจาก Optinmonster แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าการที่คุณใช้ E-mail Marketing เป็นตัวเดินเกมส์การตลาดของคุณ เพียงกลยุทธ์เดียว จะส่งผลดีกว่านะครับ สุดท้ายแบรนด์หรือธุรกิจของคุณยังไงก็ต้องพึ่ง Socail Media Marketing อยู่ดี ในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ ทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง
สรุปในหัวข้อนี้ก็คือ คุณต้องรู้จักการใช้กลยุทธ์ทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไปครับถึงจะเห็นผลมากที่สุด
ปัญหาแห่งปีของ E-mail Marketing เมื่อยอด Subcriber ไม่ปังเท่าที่ควร ถ้าพูดถึงเรื่องของการทำ E-mail Marketing ปัญหาอันดับต้นๆ ที่คุณอาจจะต้องพบเจอเป็นอันดับแรกเลยก็คือ การขาด “Subscriber” ที่จะให้คุณส่ง E-mail ไปหาพวกเขา
มันเป็นเรื่องดีอยู่แล้วครับถ้า Social Media โดยเฉพาะสื่อหลักอย่าง Facebook ของธุรกิจที่คุณกำลังปลุกปั้นจะมียอด Like ยอด Subscribe มากมายแค่ไหน แต่ในเมื่อคุณต้องการทำ E-mail Marketing การที่ยอด Subscriber ของคุณมีน้อย นั่นย่อมแปลว่าการทำ E-mail Marketing กำลังเจอปัญหาซะแล้ว
อาจเป็นเพราะกลุ่มเป้าหมายของคุณยังไม่ทราบหรือเปล่าว่าคุณมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่าน Email แล้ว ? แม้ว่าคุณอาจจะลองใช้วิธีเบสิคอย่างการประชาสัมพันธ์ โปรโมท ให้คนมากด Subscriber มากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากเท่าที่ควร ทำให้การเดินเกมส์การตลาด ด้วย E-mail Marketing ของคุณยังไม่ถึงเป้าหมายสักที
แต่อย่าเพิ่งถอดใจไปครับ ทุกปัญหาย่อมมีทางออกปัญหานี้ก็เช่นกัน คุณไม่จำเป็นเลยครับที่จะต้องเสียเงินอะไรมากมายเพื่อทำการเพิ่ม E-mail Subscriber ของคุณให้มากขึ้น เพียงแค่คุณมี Facebook ในมือ คุณก็สามารถเพิ่มยอด Subscriber ให้มากขึ้นกว่าเดิมได้
ฟังไม่ผิดครับ Facebook นี่แหละ จำสิ่งที่ผมบอกไปเมื่อตอนแรกได้ไหมครับ ว่าการทำ Social Media Marketing และ E-mail Marketing เป็นสิ่งที่คุณควรต้องทำอย่างควบคู่กันไปอยู่แล้ว โดยเฉพาะการใช้ Facebook ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงและฟีเจอร์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ในการสร้างสรรค์ให้ User พร้อมใจมากด Subscribe รับข้อมูลข่าวสารผ่านทาง E-mail ตามที่คุณต้องการ
ภาพจาก China Digital Marketing โดยบทความนี้ The Growth Master ได้รวบรวม 7 เทคนิคง่ายๆ ในการใช้ Facebook เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ E-mail Marketing ของคุณให้มากกว่าเดิม แต่จะมีเทคนิคอะไรที่สามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้บ้างนั้น ไปติดตามกันครับ
7 เทคนิคใช้ Facebook เพิ่มประสิทธิภาพการทำ E-Mail Marketing ของคุณให้มากกว่าเดิม 1. เพิ่มปุ่มลงทะเบียน (Sign Up) ในหน้า Facebook Page ของคุณ วิธีแรกคือวิธีเบสิคสำหรับการดึงคนจาก Facebook ให้เข้าไปสมัครเป็น Subsciber ของธุรกิจคุณ เพื่อใช้ประโยชน์ในการทำ E-mail Marketing ต่อไป นั่นก็คือการสร้าง ปุ่มลงทะเบียน (Sign Up) บนหน้า Facebook Page
ปุ่มลงทะเบียน หรือ Sign Up Button นั้นเป็นปุ่ม CTA ที่มีหน้าที่ในช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้าง Lead ใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้นครับ สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน มันคือปุ่มสีน้ำเงินที่อยู่ด้านล่างรูป Cover Photo ด้านบนสุด ของ Facebook Page นั้นเอง ซึ่งเมื่อกดเข้าไปก็จะไปพบกับหน้า Landing Page ที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อกรอกรายละเอียดในการ Subscribe นั่นเอง
ภาพจาก Facebook : THE STANDARD โดยการ Setting ปุ่มลงทะเบียนใน Facebook Page นั้นแค่ไม่กี่ขั้นตอนเองครับ
เริ่มจาก เปิด Facebook Business Account ของเพจคุณ คุณจะเจอปุ่มสีน้ำเงิน ใต้ Cover Photo เลือก “แก้ไขปุ่ม” เลือกโหมด “ติดต่อคุณ” และเลือก “ลงทะเบียน” จากนั้นก็เข้าไปใส่ Link และรายละเอียดของหน้า Landing Page ที่ต้องการให้ User กด Subscribe แค่ทำตามขั้นตอนด้านบนนี้คุณก็ได้ปุ่มลงทะเบียนใน Facebook Page ของคุณแล้วครับ !
2. จูงใจด้วยการสร้าง Contest หรือกิจกรรมต่างๆ เทคนิคนี้แม้จะเป็นการมัดมือชกไปสักนิด แต่บอกเลยว่า Impact ของเทคนิคนี้จัดว่าได้ผลเลยครับ นั่นก็คือการล่อใจด้วยการสร้างการประกวดหรือกิจกรรมต่างๆ
ยิ่งถ้าธุรกิจของคุณกำลังจะมี Project ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Contest (การประกวดต่างๆ) Giveaway (แจกของ) รวมไปถึงแคมเปญต่างๆ คุณอาจต้องลองใช้วิธีนี้ดูครับ แน่นอนว่าแคมเปญต่างๆ ไม่ว่าจะน่าสนใจหรือของรางวัลเยอะแยะแค่ไหน ก็ต้องมีการลงทะเบียนก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อเก็บข้อมูลของผู้ร่วมกิจกรรม เช่น ชื่อ อายุ ที่อยู่ รวมไปถึง E-mail ด้วย
คุณน่าจะลองใช้โอกาสนี้ในการแทรกฟังก์ชั่นในการ Subscibe เพื่อรับข่าวสารต่างๆ ของกิจกรรมที่คุณกำลัง Run อยู่ลงไปในการแผนการประชาสัมพันธ์แคมเปญนี้ด้วย เพราะอาจมีคนจำนวนไม่น้อย ที่สนใจในกิจกรรมของคุณ และเริ่มให้ความสนใจในแบรนด์ของคุณ
หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้ E-mail ที่ User กรอกเพื่อร่วมกิจกรรมนั่นแหละครับ มาเปลี่ยนเป็น Subsciber เพื่อการให้ข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับแบรนด์และธุรกิจคุณ เรียกว่าได้ประโยชน์ถึงสองต่อทีเดียวสำหรับเทคนิคนี้ครับ
ภาพจาก wishpond 3. มอบความเป็น Exclusive ให้แก่ Subscriber หากธุรกิจของคุณเป็นลักษณะการให้ความรู้ นำเสนอคอนเทนต์ ที่ยังไม่ได้มีกิจกรรมหรือแคมเปญอะไรในช่วงนี้ล่ะ ? เทคนิคสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดีครับ (และเป็นวิธีที่เราใช้อยู่ด้วย)
นั่นก็คือการเสนอความเป็น Exclusive Content ให้แก่ Subscriber ในที่นี้ความเป็น Exclusive Content เป็นได้หลายอย่างครับรูปแบบการนำเสนอที่ไม่เหมือนกับใน Facebook เช่น Special E-Book , Secret Statics , Bonus Content ต่างๆ ที่คุณอาจดึงดูดพวกเขาด้วยการให้ลงทะเบียน Subscibe เพื่อแลกกับ Exclusive Content รูปแบบต่างๆ ที่คุณได้คิดค้นขึ้นมา
หรืออีกวิธีนึงที่ได้รับความนิยมนั่นก็คือความ Exclusive ที่มอบสิทธิพิเศษต่างๆ ให้แก่ผู้ที่มาลงทะเบียน Subscribe ยกตัวอย่างเช่น การได้รับข่าวสารหรือคอนเทนต์ก่อนใคร , การได้เป็นสมาชิกพิเศษ เป็นต้น
ภาพจาก Dribble 4. ตอกย้ำด้วยการยิง Facebook Lead Ads ในบางครั้งยอด Subscriber ที่คุณตั้งไว้อาจมีจำนวนมาก แม้คุณจะลองใช้เทคนิคต่างๆ ที่ได้กล่าวไปจนหมดแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังไม่เป็นที่พึงพอใจของคุณอยู่ดี ผมแนะนำเทคนิคนี้เลยครับ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำการตลาดผ่านกลยุทธ์ E-mail Marketing
เทคนิคที่ว่าก็คือ “การยิง Facebook Lead Ads” ครับ โดยหน้าที่ของ Lead Ads ก็คือการยิงโฆษณาเพื่อให้เกิดการกรอกข้อมูลต่างๆ กลุ่มเป้าหมายคุณ ซึ่งแน่นอนว่าในหัวข้อนี้สิ่งที่เราต้องการก็คือให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการลงทะเบียน Subscribe สิ่งที่ธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณมุ่งหวัง
ภาพจาก Newsfeed.org โดย Lead Ads นั้นจะมีข้อได้เปรียบตรงที่คุณสามารถยิงโฆษณาไปยังกลุ่มคนที่สนใจในธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณได้อย่างตรงจุด ได้ Facebook จะจดจำผู้ใดที่เคยเข้ามาในเพจของคุณ เคยมี Engagement กับเพจคุณ แล้วระบบ Facebook นั้นก็จะยิงโฆษณาไปให้คนกลุ่มนั้นแหละครับ
เพราะการที่จะยอมให้พวกเขามากรอกข้อมูล มา Subscribe คุณได้นั้น คุณต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นคนที่รู้จักตัวตนของแบรนด์คุณมาบ้างในระดับหนึ่ง ซึ่งจะทำให้คุณได้ Subscriber คุณภาพที่คุณสามารถเก็บข้อมูลต่างๆ จากพวกเขาเพื่อมาใช้ประโยชน์กับธุรกิจของคุณได้ในอนาคต
5. Facebook Live เทรนด์นี้กำลังมา !
เพราะ Video Content ในรูปแบบ Facebook Live สามารถสร้าง Reach ได้มากกว่าวิดีโอแบบเดิมถึง 6 เท่า และได้ Engagement มากกว่าถึง 10 เท่า
คงไม่ต้องพูดถึงสรรพคุณอะไรมากครับ สำหรับเทรนด์นี้ มันคือมิติใหม่ของ Facebook Video Content ที่เข้ามายกระดับการทำการตลาดของคุณให้ดูมีความน่าสนใจมากขึ้น ผ่านการสร้างคอนเทนต์สด เพราะในมุมของกลุ่มเป้าหมาย พวกเขาจะรู้สึกว่าคุณได้มีความใกล้ชิดกับเขามากขึ้น สามารถจับต้องได้
แต่ Facebook Live จะเข้ามาช่วยทำให้การทำ E-mail Marketing ของคุณมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ? คำตอบคือ ทำได้ครับ และทำได้ดีด้วย ถ้าคุณทำตามเทคนิคเหล่านี้
ข้อแรกก็คือ การสร้างสตอรี่ในการ Live ของคุณให้น่าสนใจ เช่นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับแขกรับเชิญที่มีความรู้ในด้านต่างๆ , การอธิบายถึงสาระความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์และธุรกิจของคุณ หรือคุณอาจจะมีการลองถามกลุ่มเป้าหมายของคุณดูก่อนว่า พวกเขาต้องการอะไรจากการ Live ของคุณ ข้อสอง คือการเกณฑ์คนให้เข้ามารับชมกับ Live Video ของคุณให้ได้มากที่สุด โดยคุณอาจลงโพสต์โปรโมทในหน้าเพจของคุณ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ลูกเพจของคุณ รู้ว่าแบรนด์ของคุณกำลังมีการทำ Live Video อยู่ และสุดท้ายเมื่อมีจำนวนผู้ชมใน Live Video แล้ว คุณก็แค่ทำการ Pin Comment (ปักหมุดคอมเมนต์) ที่คุณใส่ Link สำหรับ Subscribe โดยคุณก็อาจจะมีการพูดโปรโมทใน Live Video เกี่ยวกับรายละเอียดการ Subscribe เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้กดไปยัง Link ที่คุณปักหมุดเอาไว้ ภาพจาก scoopnest 6. แทรกลิงค์ใน Our Story มาสู่เทคนิคที่ 6 เทคนิคนี้คุณไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้อะไรมากมายเลยครับ แค่ลองปรับเปลี่ยนสิ่งที่คุณอาจจะมองไม่เห็นมาโดยตลอดนั่นก็คือ “Our Story”
โดย Our Story ไม่ได้หมายถึง Story ที่เป็นลักษณะวีดีโอ 15 วินาทีที่กำลังฮิตกันอยู่ในตอนนี้นะครับ แต่มันคือ Part ที่เอาไว้ใส่คำอธิบายของธุรกิจของแบรนด์คุณ ที่จะปรากฏอยู่ในแทบซ้ายของ Facebook Page ซึ่งส่วนนี้หลายคนก็มักจะละเลยหรือไม่ใส่ไปซะดื้อๆ
แต่มันเป็นส่วนที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าใหม่ๆ ได้รู้จักคุณได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นเพื่อความสมบูรณ์แบบคุณก็ควรแทรก Link ที่จะนำไปสู่ Subscribe Form ลงไปใน Our Story ด้วยครับ
ภาพจาก connectio 7. Pin On Top ของง่าย แต่ได้ผลจริง! และเทคนิคสุดท้ายที่จะพูดถึงในบทความนี้ก็คือ Pin On Top หรือปักหมุดไว้บนสุดของเพจ หลายคนมักจะมาพลาดลืมเทคนิคง่ายๆ เช่นนี้ไปและทำให้ธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณเสียโอกาสในการได้ Subcriber มาเยอะแล้ว
ขยายความให้ชัดเจนขึ้นก็คือ ไม่ว่าคุณจะ Run แคมเปญหรือโพสต์ Link ที่จะนำไปสู่การกรอก Subcribe From อย่าลืม! กดปักหมุดไว้ด้านบนสุดของเพจด้วยนะครับ เพื่อสร้างโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายเห็นโพสต์ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นและนำไปสู่การ Subcribe ต่อไป
แม้จะเป็นเทคนิคง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ใน 3 วินาที แต่คุณก็ไม่ควรปล่อยผ่านไปครับ เพื่อการสร้างโอกาสที่ “มากขึ้น” ให้กับการทำการตลาดของคุณ
สรุปทั้งหมด แม้การทำ E-mail Marketing กับการทำ Social Media Marketing จะมีข้อดีและให้ประโยชน์กับธุรกิจของคุณในแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าทั้ง 2 กลยุทธ์นี้จะไม่มีความสัมพันธ์กันเลย แต่ทั้ง 2 กลยุทธ์ที่ว่า ต่างช่วย Support ซึ่งกันและกัน พาธุรกิจคุณเติบโตไปด้วยกัน
ซึ่งในปัจจุบันการทำ E-mail Marketing ก็เป็นที่นิยมและเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วในการทำการตลาดของประเทศเรา แต่การที่จะทำให้การทำ E-mail Maketing ของคุณมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ก็คือการหมั่นพัฒนาความรู้ อัปเดทสิ่งใหม่ๆ เข้าสู่ตัวคุณอยู่ตลอดนะครับ
ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับพวกคุณที่รักในการเติบโตทุกคนครับ
Source : connectio , constantcontact , oberlo