AB Testing คืออะไร ? สามารถเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำ Content Marketing บนเว็บไซต์ได้มากน้อยแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบ ในปัจจุบันความสำคัญของการทำ Content Marketing ไม่ว่าจะอยู่ในช่องทางไหน รูปแบบใด ก็ล้วนมีความสำคัญต่อการสร้าง Awareness และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้าของคุณ จนมันกลายเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่นักการตลาดหรือเจ้าของเว็บไซต์ในสมัยนี้ขาดไม่ได้
สำหรับหลายธุรกิจที่เริ่มสนใจการทำ Content Marketing หรืออาจจะเคยลองทำมาแล้วแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จตามที่คุณคิดไว้ แต่ปัญหาที่ทำให้คุณต้องคิดไม่ตกเลยก็คือ แล้วส่วนไหนที่เราทำพลาดไปล่ะ ? เราลืมให้ความสำคัญกับส่วนใดของการทำ Content Marketing ไปหรือเปล่า ?
ต้องเรียนให้ทราบแบบนี้ครับว่า ในการทำ Content Marketing สำหรับเว็บไซต์ซักแคมเปญ นอกจากความรู้ด้านกลยุทธ์ต้องแม่นแล้ว ยังต้องอาศัยการมีองค์ประกอบที่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น หัวข้อที่ดึงดูดตั้งแต่แรกเห็น , รูปภาพประกอบ ที่ต้องสัมพันธ์กับธุรกิจ ไปจนถึงการทำ Call To Action เพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อระหว่างลูกค้ากับตัวคุณ
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าองค์ประกอบไหนที่เรามีข้อผิดพลาด เลยทำให้การทำ Content Marketing ของคุณไม่ประสบความสำเร็จสักที ดังนั้นคุณต้องอาศัย “เครื่องมือ” ที่จะเข้ามาช่วยในการทดสอบว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณ ต้องการผลลัพธ์แบบไหนมากที่สุด
ซึ่งวิธีนั้นเราเรียกมันว่า “A/B Testing” หรือการทดสอบรูปแบบของเว็บไซต์ โดยการใช้งานจริงว่าลักษณะการทำ Content Marketing แบบไหนที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ (Conversion) ได้ดีที่สุดและคุณต้องทดสอบกับองค์ประกอบใดในเว็บไซต์ของคุณบ้าง เราลองไปเรียนรู้กันก่อนว่าส่วนประกอบสำคัญในการทำ Content marketing บนเว็บไซต์นั้นมีอะไรบ้างกันครับ
ทำความเข้าใจคำว่า Content Marketing สำหรับเว็บไซต์ ให้ “มากขึ้น” ถ้าพูดถึงคำว่า Content Marketing สำหรับเว็บไซต์ หลายคนจะคิดว่านี่เป็นเรื่องของการเขียนบทความ (Blog) แล้วนำไปโพสต์ที่เว็บไซต์ หรือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อจะทำให้คนมาเจอเว็บไซต์เรามากขึ้น โดย 2 เรื่องที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแค่ “ส่วนหนึ่ง” ของการทำ Content Marketing เท่านั้นเองครับ
ซึ่งความเป็นจริงแล้ว คำว่า Content Marketing มีความหมายและองค์ประกอบหลายอย่าง ที่มากกว่าแค่เรื่องการเขียนด้วยซ้ำ แต่หลักๆ แล้วการทำ Content Marketing บนเว็บไซต์นั้น จะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบในเรื่องต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับหน้าเว็บไซต์ทั้งหมด เช่น
Website Design เปรียบเสมือนพื้นฐานของทั้งหมด ถ้าคุณมีการออกแบบเว็บไซต์ที่สวยงาม ดึงดูดผู้ชม มีสัดส่วนในการจัด Layout ที่ดี , มี Responsive Design ก็ทำให้คุณสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีกับการทำ Content Marketing ของคุณได้เช่นกันPage Structure หรือโครงสร้างการจัดวางเนื้อหาของบทความในแต่ละหน้า การเรียงลำดับความสำคัญของเนื้อหา แต่ละหน้าต้องมีส่วนที่เชื่อมโยงไปอีกเนื้อหาได้ ด้วยการจัดหมวดหมู่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน ให้แสดงผลขึ้นมาในหน้าเดียวกัน หรือจะเพิ่มกล่อง Searching เข้าไปเพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณ ยังมีเนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่ด้วยContent Section ส่วนของการเขียนเนื้อหาของบทความ ในส่วนนี้จะครอบคลุมไปตั้งแต่การตั้งชื่อหัวข้อให้โดนใจลูกค้ามากที่สุด , การเขียนเนื้อหาให้มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ และสามารถมอบประโยชน์ให้กับผู้อ่านได้ , การกำหนดความยาวของบทความ Call To Action , Subscribtion เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับการทำ Content Marketing บนเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะในส่วน CTA นี่เองที่ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อคุณได้ สร้างโอกาสในการขาย , การสมัครเป็น Subscriber ติดตามข่าวสาร เพื่อการต่อยอดไปยังการทำการตลาดแบบอื่นๆ เช่น E-mail Marketing เป็นต้นภาพจาก freepik การทำ A/B Testing ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำ Content Marketing บนเว็บไซต์ได้อย่างไร ? หลังจากที่เรารู้ความหมายจริงๆ ของคำว่า Content Marketing สำหรับเว็บไซต์กันแล้ว ต่อมาก็คือการทำ Content Marketing บนเว็บไซต์ของคุณเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
ซึ่งในคำว่า ประสิทธิภาพ นั้นก็ต้องเกิดจาก Content ที่คุณทำได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี คำถามก็คือ แล้วคุณจะรู้ได้ไงว่าการทำ Content แบบไหนที่ลูกค้าคุณจะชอบมากที่สุด หลายคนอาจจะลองสุ่มเดาเอาเอง บ้างก็เกิดจากการหา Reseach , Reference จากแหล่งอื่นมาใช้ประกอบ หรือเอาตามสไตล์ที่ตัวเองถูกใจ
แต่ในวิธีทั้งหมดที่ผมกล่าวมานั้น อาจจะเป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้ผลมากนัก เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยครับ ว่าลูกค้าที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณนั้นชอบ Content แบบไหน มันเลยทำให้การทำ “A/B Testing” กลายเป็นวิธีที่กำลังได้รับความนิยมและพิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในปัจจุบัน
A/B testing หรือที่เรียกว่า Split Testing นั้น คือการทดสอบ รูปแบบขององค์ประกอบต่างๆ ที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ เพื่อจุดประสงค์ในการหารูปแบบที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด วิธีการทำนั้นจะเป็นการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่จะทำการทดสอบออกเป็นสองกลุ่ม
โดยกลุ่มแรกให้เห็นแบบ A กลุ่มที่สองให้เห็นแบบ B ซึ่งในแต่ละแบบนั้น ก็จะมีความแตกต่างกันออกไปในเรื่อง ตำแหน่งการวางฟีเจอร์ต่างๆ รูปภาพประกอบ หัวข้อคอนเทนต์ เพื่อมาทำการวัดผลว่า แบบใดที่สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์หรือยอด Conversion ได้มากกว่ากัน เป็นต้น
ภาพจาก Reliablesoft.net สำหรับใครที่ยังคิดภาพไม่ออก ผมขอยกตัวอย่างแบบให้คิดตามกันง่ายๆ นะครับเช่น การเปลี่ยนตำแหน่งของ Subscription Form โดยหน้าเว็บ A คุณอาจจะติดตั้งให้อยู่ด้านล่างของบทความ เมื่ออ่านบทความจบก็สามารถกรอกรายละเอียดได้ แต่หน้าเว็บ B คุณอาจจะติดตั้งไว้ให้อยู่ด้านซ้ายของหน้าเว็บไซต์ สามารถกรอกรายละเอียดได้ตลอดเวลาที่อยู่ในหน้าเว็บไซต์
จากนั้นเมื่อครบเวลาที่คุณตั้งไว้ ก็ไปเช็คสถิติว่าหน้าเว็บไซต์แบบ A หรือ B ที่สามารถสร้างยอด Subscribe ได้ดีกว่ากัน แล้วนำแบบที่ได้ผลมา Run จริงกับการทำ Content Marketing บนเว็บไซต์ของคุณได้เลย
โดยทั้ง 2 แบบจะถูกสุ่มปรากฏออกไปในปริมาณที่เท่ากัน เพราะฉะนั้นไว้ใจได้ครับว่าผลลัพธ์ที่ได้ เกิดจากกลุ่มลูกค้าจริงๆ ของคุณแน่นอน
Tips : เครื่องมือสำหรับการทำ A/B Testing สำหรับเว็บไซต์ มีอะไรบ้าง ? ถึงหัวข้อนี้สำหรับใครที่เริ่มสนใจในการทำ A/B Testing สำหรับเว็บไซต์ ก็มี Software ที่เอาไว้ใช้สำหรับการทำ A/B Testing โดยเฉพาะ เช่น Optimizely และ VWO
และด้วยความที่เป็น Software ในการทำ A/B Testing โดยเฉพาะ ทำให้ทั้ง 2 Software นี้สามารถลงรายละเอียดได้ลึกกว่า Software เจ้าอื่นๆ ในตลาด แน่นอนว่าคุณจะสามารถทำการทดลองอะไรได้หลายๆ แบบ และนำไปใช้สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของคุณได้จริง
แต่ราคาของเจ้า Software ทั้ง 2 นี้ก็เรียกได้ว่าสูงมากๆ (Optimizly ราคาอยู่ที่ราวๆ 46,000 บาท ต่อเดือน , VWO ราคาเริ่มต้นต่อเดือนอยู่ที่ 1,500 บาทโดยประมาณ) อาจจะไม่เหมาะสำหรับธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่ได้มีกำลังทุนสักเท่าไรครับ
ซึ่งในตลาดก็ไม่ได้มีแต่ Software แบบเสียเงินนะครับ ยังมี Software แบบฟรีๆ ให้ได้ใช้กันด้วย เช่น Google Optimize แม้ประสิทธิภาพอาจไม่ครบเครื่องเท่า 2 Software แบบเสียเงิน แต่โดยรวมแล้วก็สามารถทดแทนได้อย่างไม่เคอะเขินครับ
ภาพจาก Kinsta เปลี่ยนการทำ Content Marketing บนเว็บไซต์ ให้ทรงพลังขึ้นด้วยเทคนิค A/B Testing ! บทความนี้ The Growth Master เลยขอแนะนำ 5 องค์ประกอบที่คุณควรทดสอบ โดยใช้ A/B Testing วัดผล เพื่อเปลี่ยนประสิทธิภาพในการทำ Content Marketing ของคุณ ว่าแต่จะมีองค์ประกอบอะไรบ้างและรายละเอียดเป็นอย่างไร ไปติดตามกันได้เลยครับ
1. หัวข้อ (Headlines) หัวข้อหรือ Headlines มีบทบาทที่สำคัญมากๆ ในความสำเร็จของการทำ Content Marketing ของคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแรกที่ผู้อ่านจะสามารถสังเกตุได้ และยังเป็นส่วนสำคัญอันดับ 1 ในการดึงดูดให้ผู้คนคลิกเข้ามาในบทความหรือเว็บไซต์ของคุณ
สถิติของ Copyblogger บอกว่าจากมีแค่ 8 จาก 10 คนเท่านั้นที่จะสนใจอ่านแค่หัวข้อของบทความ และจาก 8 นั้นจะถูกตัดเหลือเพียง 2 เท่านั้นที่จะอ่านเนื้อหาทั้งหมด ซึ่งบางทีหัวข้อที่คุณคิดขึ้นมาว่าต้องโดนใจลูกค้า หรือสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายคุณได้แน่ๆ อาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปครับ คุณเลยมีความจำเป็นต้องใช้การทดลองแบบ A/B Testing เพื่อหา Headlines ที่ลูกค้าชอบและสร้าง Conversion ได้ดีที่สุด
การทดสอบในองค์ประกอบนี้ด้วย A/B Testing ก็สามารถเริ่มทำได้ง่ายๆ ครับคุณก็แค่ลองตั้งชื่อหัวข้อของบทความขึ้นมาซัก 2-3 Draft ซึ่งในแต่ละหัวข้อก็จะต้องมีความแตกต่างกัน มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายทั้ง 2 แบบ โดยต้องไม่หลุดจากประเด็นหลักที่จะนำเสนอ
ภาพจาก Business2Community จากนั้นก็นำไป Setting ไว้ใน Software A/B แล้วก็ทดสอบดูว่าการตั้ง Headlines แบบไหนที่สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า แล้วนำ Headlines นั้นมาทำเป็นแนวทางในการทำ Content ในครั้งต่อๆ ไปของคุณครับ
เราขอแนะนำเทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้คุณสามารถทดสอบ Headlines ได้อย่างชัดเจนขึ้น นั่นก็คือการ พยายามใช้เทคนิค Emotion Appeal หรือหัวข้อที่มีความรู้สึกดึงดูดอารมณ์ร่วมของกลุ่มเป้าหมาย การทำให้พวกเขาได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับ (ความรู้สึกเหมือนรูปตัวอย่าง VersionB) จะทำให้ได้ยอด Conversion มากขึ้นครับ
2. ความยาวของเนื้อหา (Content Length) อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นครับว่าความยาวของเนื้อหาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญของการทำ Content Marketing และเป็นอีกองค์ประกอบที่คุณจะต้องทำการทดสอบเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับการทำ Content
ภาพจาก CoversionScience สำหรับด้านทฤษฎีนั้น Blog Content ที่ดี ความยาวควรจะอยู่ประมาณ 1600 คำ หรือใช้เวลาประมาณ 7-8 นาทีในการอ่าน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกเว็บไซต์ย่อมมีความแตกต่างกันของกลุ่ม Audience ที่มักจะมีความชอบในการอ่าน ที่แตกต่างกันออกไป
นี่แหละครับคือส่วนที่คุณต้องใช้การทดสอบ เพื่อค้นหาความยาวที่เหมาะสมของ Content ที่ผู้อ่านของคุณตอบสนองกับเว็บไซต์ได้ดีที่สุด
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คุณต้องสร้างเนื้อหาออกเป็น 2 แบบเช่นเดิมครับ และนอกจากนี้คุณต้องจำไว้ว่า ในแต่ละแบบที่ทำนั้น เนื้อหาต้องคงเรื่องไว้เช่นเดิม คุณมีหน้าที่เปลี่ยนแค่ความยาวของบทความแค่นั้น เช่น แบบ A มีความยาวของบทความอยู่ที่ 1,600 คำ แต่แบบ B คุณอาจตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก ให้กระชับขึ้น เพียงไม่เกิน 1,000 คำ แล้วนำมาวัดผลใน Google Analytics ว่าแบบไหนที่สามารถดึงคนให้อยู่บนเว็บไซต์คุณได้นานที่สุด
3. ภาพรวมของ Feature Images รูปภาพประกอบหรือ Feature Images มีบทบาทสำคัญในการทำ Content Marketing ในเรื่องการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย เช่นเดียวกันกับ Headlines แต่ประโยชน์ของ Feature Image นั้นมีมากกว่านั้น เพราะไม่เพียงแต่ช่วยแสดง Content ต่างๆ แต่ยังรวมไปถึงการแบ่งข้อความยาวๆ ให้อ่านและทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
รวมไปถึงตำแหน่งการจัดวางรูปภาพต่างๆ ในเว็บไซต์ของคุณก็ยังเป็นอีกเรื่องที่ทำให้ปวดหัวได้ตลอด จะให้รูปภาพไปอยู่ส่วนใดของบนความ กลาง ซ้าย ขวา คงเป็นเรื่องที่คิดไม่ตกกันแน่ๆ
Tips : โดยก่อนจะเข้าสู่การทดสอบด้วย A/B Testing นั้นคุณต้องแน่ใจในระดับนึงเลยว่า ว่าภาพที่คุณใช้นั้นมีเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ หากภาพไม่เกี่ยวข้องอาจทำให้ผู้อ่านสับสนจนทำให้ไม่เกิดการคลิกเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของคุณ แล้วรูปภาพแบบไหนที่สามารถดึงคนเข้ามาได้มากกว่ากันล่ะ ? มันไม่มีกฏตายตัวครับว่ารูปภาพแบบไหน ที่เป็นผลดีต่อเว็บไซต์คุณ เพราะกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันก็ย่อมมีความชอบที่แตกต่างกัน มันเลยทำให้การทดสอบแบบ A/B Testing กลายเป็นพระเอก ที่เข้ามาช่วยคุณได้ดีเลยครับ ในองค์ประกอบนี้
ลองทดสอบง่ายๆ ครับคุณอาจจะสร้าง Draft ของตำแหน่งการวาง Feature Image มาซัก 2 แบบ โดยแบบ A อยู่ด้านซ้ายของบทความ แต่แบบ B คุณอาจจะลองไว้ฝั่งขวาดู แล้วนำมาวัดว่าแบบใด จะสร้างยอด Conversion ได้ดีกว่ากัน
หรือคุณอาจทดสอบเรื่องความรู้สึกที่กลุ่มเป้าหมายมีต่อ Feature Images ของคุณ โดยทั้งสองแบบอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน แต่แบบ A อาจเป็นภาพแนว Illustrator ตรงข้ามกับแบบ B ที่เป็นภาพ Elements จริงที่ดึงมาจาก ShutterStock เพื่อวัดว่าการใช้ Feature Images แนวไหน ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้คลิกเข้าชมได้มากกว่ากันครับ
โดยจากการทดสอบของ Whichtestwon พบว่าการวางตำแหน่งของรูปภาพแบบB สร้างการคลิ๊กเข้าชมได้มากกว่าแบบ A ถึง 20% แถมเวลาในการอยู่ในเว็บไซต์ก็มากกว่าแบบ A ขาดลอย ภาพจาก crazyegg 4. ตำแหน่ง Suggested Posts ที่เหมาะสม ถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่บทความ คุณคงไม่อยากให้คนมาเข้ามาอ่านบทความของคุณ พออ่านจบแล้วพวกเขาก็จากไป โดยไม่สนใจเว็บไซต์คุณอีกเลยใช่ไหมครับ คุณต้องยื้อผู้คนที่เข้ามาอ่านบทความของคุณให้พวกเขาสนใจในเว็บไซต์หรือบทความอื่นจากคุณให้ได้มากที่สุด หน้าที่ของ Suggested Posts หรือโพสต์แนะนำ ที่จะมีหน้าที่พาคุณไปสู่หน้าเว็บไซต์หรือหน้าบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เลยกลายเป็นอีกสิ่งที่คุณจะขาดไม่ได้ในเว็บไซต์ เพื่อทำให้เว็บไซต์สามารถสร้างยอด Conversion ได้มากกว่าเดิม
ตำแหน่งของ Suggest Post นั้นควรจะอยู่ในพื้นที่ ที่สามารถกระตุ้นให้คนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ เกิดความสนใจในบทความแนะนำได้ แต่ปัญหาก็คือตำแหน่งไหนดีละ ที่เหมาะสมที่สุด การทดสอบด้วย A/B Testing จึงต้องเริ่มต้นขึ้น
โดยส่วนใหญ่อาจจะเป็นพื้นที่ในด้านขวามือของหน้าเว็บไซต์แต่ถ้าคุณคิดว่า ด้านขวามือ ยังไม่สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายของคุณได้มากพอ คุณอาจลองทดสอบโดยการตั้งแบบ B ให้ Suggest Post อยู่ในตำแหน่งด้านล่างของบทความ ก็เป็นการทดสอบที่คุณต้องลองให้ความสำคัญดูครับ
ภาพจาก LearningHub 5. การสร้างสรรค์ Calls to Action มาถึงองค์ประกอบสุดท้ายที่จะเป็นตัว Wrap Up สำหรับการทำ Content Marketing ของคุณให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม นั่นก็คือการทดสอบปุ่ม Call To Action (CTA) ให้โดนใจลูกค้ามากที่สุด
กล่าวคือเมื่อกลุ่มเป้าหมายเข้ามายังเว็บไซต์คุณแล้ว คุณต้องออกแบบปุ่ม CTA ที่ทำให้พวกเขา เกิดปฎิสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับเว็บไซต์ของคุณ เช่น ปุ่ม ซื้อสินค้า , ปุ่ม อ่านต่อ , ปุ่มลงทะเบียนหรือติดตาม แต่ประเด็นสำคัญคือคุณควรจะใช้คำกระตุ้นแบบไหน เพื่อเปลี่ยนจากกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็น ลูกค้าหรือ Subsciber ของคุณให้ได้มากที่สุด
โดยในองค์ประกอบนี้ คุณอาจจะลองสร้างการทดสอบ A/B Testing ที่มากกว่าแค่การกำหนดสิ่งพื้นฐาน เช่น Wording ที่อยู่ในปุ่ม , ตำแหน่งของ OptIn Form(ส่วนที่เอาไว้กรอกรายละเอียด) หรือแม้กระทั่ง สี ของปุ่ม CTA ก็ตาม
แต่มันยังครอบคลุมไปถึง Copywriting ที่คุณเอาไว้เขียนกระตุ้นอีกด้วย ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณว่า Persona ของพวกเขามีลักษณะไหน เช่น ถ้าเป้าหมายของคุณคือการหา E-Mail Subscriber ใหม่ๆ คุณอาจลองทดสอบโดยใช้ “คำโปรย” ที่ต่างกัน
เช่น แบบ A เป็นรับข้อมูลข่าวสารก่อนใคร เพียงกด Subscribe แต่แบบ B อาจลองเอาใจคนที่ชอบอะไรพิเศษกว่า เช่น รับข้อมูลพิเศษเฉพาะคุณเท่านั้น เพื่อหาว่าคำโปรยแบบไหนที่สามารถดึง Leads มาสู่ธุรกิจคุณได้มากกว่ากัน
ภาพจาก LearningHub สรุปทั้งหมด การทดสอบแบบ A/B Testing หรือ Split Testing นั้นสามารถช่วยให้การทำ Content Marketing บนเว็บไซต์ มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นจริงครับ โดยสิ่งที่คุณน่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการทดสอบด้วย A/B Testing ก็คือคุณจะสามารถรู้ได้เลยว่า ลูกค้าของคุณชอบ/ไม่ชอบ รูปแบบ Content ลักษณะไหน
และในปัจจุบันนี้เทคนิคนี้ก็เริ่มเป็นเทคนิคที่นักการตลาดหลายสำนัก ได้ลองเริ่มใช้กันมาแล้ว อย่างที่บอกไปเมื่อตอนต้นครับ ว่าในโลกของการตลาด ไม่ควรคาดเดาอะไรขึ้นมาเอง ทุกอย่างควรต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและสถิติ ต่างๆ ที่นำมาปรับปรุงและพัฒนาขึ้นให้มีประสิทธิภาพ
ซึ่ง A/B Testing นี่เองก็เป็นอีกตัวช่วยทรงพลัง ที่จะมาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโตได้ครับ สำหรับวันนี้หวังว่าทุกคนคงได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้า ขอบคุณครับ !