Inbound Marketing คืออะไร ? Inbound marketing พูดง่ายๆก็คือการตลาดที่ใช้วิธีการดึงดูดลูกค้าเข้ามาแทนการผลักข้อมูลออกไป ซึ่งจุดที่น่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ครับ คือโดยปกติทั่วไป การตลาดที่เราเห็นๆกันจะเป็นการส่งข้อมูลข่าวสารของสินค้าผ่านโฆษณาหรือแบนเนอร์ทั่วๆไปหรือที่เรียกกันว่าการตลาดแบบ Outbound ที่ปัจจุบันอาจจะใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ด้วยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า
ในขณะที่การตลาดแบบ Inbound คือการเลือกที่จะแชร์คอนเทนต์ที่น่าสนใจแล้วให้ลูกค้าเข้ามาหาเราเอง แทนที่เราจะคอยส่งการโฆษณาให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญเราอย่างเดียว
ซึ่งการตลาดแบบ Inbound นี่แหละครับคือวิธีการที่จะทำให้บริษัทสามารถเป็นที่รู้จักได้ง่ายกว่า และกวาดลูกค้าเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ฉลาดแนวทางหนึ่งเลยครับ
“ I believe so strongly in the value of inbound marketing, and it’s importance to businesses and the future of the PR industry” — Paul Roetzer ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe
Inbound Marketing การตลาดที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึก “รัก” มากกว่าที่จะรู้สึก “ไม่ชอบ” มีใครเคยสังเกตมั้ยครับว่าโซเชียลมีเดียที่เราใช้กันพัฒนากันไปถึงไหนแล้ว ผมกำลังจะบอกว่าวิวัฒนาการที่ก้าวกระโดดของโซเชียลมีเดียนี่แหละครับที่เป็นตัวการหลักที่ทำให้ผู้บริโภคมีความรู้มากขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะรอบด้าน จึงบอกได้ว่าพวกเรากำลังอยู่ในยุคที่ “เต็มไปด้วยข้อมูลแต่ขาดแคลนความสนใจจากลูกค้า”
โดยตามหลักฐานจาก IBM (International Business Machines) แล้วข้อมูลเหล่านี้ทุกวันนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากถึง 90 % เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน นั่นแปลว่าลูกค้านั้นมีอำนาจมากขึ้นในการเลือกซื้อ กำหนดราคา และหารีวิวเพื่อเปรียบเทียบ เพียงแค่ขยับนิ้วมือของพวกเขา
ดังนั้นการตลาดยุคเก่าแบบ Outbound เช่นการโฆษณาบนโทรทัศน์ บนวิทยุ หรือ บนหน้าหนังสือต่างๆนั้น เหมือนจะทำได้แค่ดึงความสนใจจากลูกค้าเพียงแค่ชั่วขณะเท่านั้น แถมในบางครั้งยังสร้างความรำคาญใจให้กับลูกค้าอีกด้วย ผมจึงคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับสินค้าบางประเภท
แตกต่างจากการตลาดแบบ Inbound ที่เหมือนเป็นการมอบคำตอบที่ลูกค้ากำลังค้นหาได้อย่างตรงจุด และยังทำให้ลูกค้ารู้สึก “รัก” แทนที่จะรู้สึก “ไม่ชอบ” จากการไปยัดเยียดโฆษณาโดยที่พวกเขาไม่ได้ต้องการอีกด้วย
และนี่ก็คือรูปที่จะตอกย้ำให้ทุกคนเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่าทำไมเราถึงควรเลือกทำการตลาดแบบ inbound ครับ จากรูปทุกคนจะเห็นได้ว่าการทำการตลาดแบบดึงดูดนี้มีการใช้เงินลงทุนในการหาลูกค้าที่ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่สูงและมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตัวอย่างบริษัทที่ทำ Inbound Marketing เมื่อพูดถึงคำว่า Inbound Marketing บริษัทที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ Hubspot นั่นเองครับ เพราะมันคือบริษัทซอฟต์แวร์ที่ให้บริการด้าน Inbound Marketing และ Sales ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 โดย Brian Halligan และ Dharmesh Shah ซึ่งก็คือพวกเขาเองที่เป็นคนคิดค้นคำว่า Inbound Marketing ขึ้นมา
และนอกจากที่พวกเขาจะเป็นคนคิดค้นคำว่า Inbound Marketing แล้ว พวกเขายังโชว์ให้เห็นถึงต้นตำรับวิธีการทำการตลาดแบบนี้อีกด้วย ซึ่งเป้าหมายของ Hubspot ก็คือเมื่อใดก็ตามที่มีใครมีปัญหาเกี่ยวกับการตลาด พวกเขาอยากจะทำให้คนเหล่านั้นมาเจอบริษัทของพวกเขาเป็นที่แรกๆ
Hubspot จึงให้ความสำคัญกับ Search Engine อย่าง “Google” เพราะคนเหล่านี้มักจะใช้ Google ในการค้นหาคำตอบ เมื่อพวกเขามีปัญหาทางการตลาด
Hubspot จึงใช้การมอบ “คุณค่า” ด้วยการแชร์ความรู้ที่มีคุณภาพผ่านบล็อกพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็ส่งผลทำให้เว็บไซต์ของพวกเขาอยู่อันดับแรกๆของการค้นหา
โดยเมื่อพวกเขาได้ดึงดูดคนให้เข้ามาได้แล้ว พวกเขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้คนที่เข้ามาที่เว็บไซต์ผ่านมาแล้วผ่านไปเฉยๆแน่นอนครับ
พวกเขาพยายามที่จะ Convert (การเปลี่ยนจากผู้เข้าชมให้กลายเป็นว่าที่ลูกค้า) คนที่เข้ามาด้วยการขอข้อมูลเล็กๆน้อยๆ เช่น ชื่อ อีเมลหรือเบอร์โทร โดยแลกกับข้อตอบแทนบางอย่าง เช่น E-book หรือ Template เพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของพวกเขา
หลังจาก Convert มาได้แล้ว บริษัทก็จะส่งอีเมลสื่อสารกับคนเหล่านั้นเรื่อยๆ คอยตรวจสอบพฤติกรรมในการใช้งานเว็บไซต์ แล้วก็นำข้อมูลที่ได้จากคนกลุ่มนั้นมาเป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขามีโอกาสเป็นลูกค้าของบริษัทได้มากแค่ไหน
ด้วยวิธีการทำ Inbound Marketing ที่เฉียบขาดของพวก Hubspot ส่งผลให้พวกเขามีลูกค้ากว่า 41,000 ราย และสร้างรายได้ต่อปีได้มากถึง 375.6 ล้านเหรียญในปี 2017 ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่รวดเร็วมากเลยทีเดียวครับ
และในประเทศไทยเองก็มีผู้เชี่ยวชาญด้าน Inbound Marketing อย่าง Magnetolabs ที่ดูแลการทำการตลาดในทุกขั้นตอนตั้งแต่วางกลยุทธ์ไปจนถึงการวัดผล
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อพวกเขาต้องการเพิ่ม Leads ให้กับเว็บไซต์ของพวกเขาเอง เป้าหมายที่ต้องการบรรลุ (Conversion Goal) ก็คือการที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาผ่านการกรอกอีเมล หรือโทรศัพท์เข้ามาตามเบอร์ที่ให้ไว้บนเว็บไซต์
สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการติดฟอร์มไว้ในทุกหน้า (ยกเว้นในหน้าบล็อก) พร้อมทั้งเขียนคำอธิบายให้เหมาะกับหน้าแต่ละหน้าโดยเฉพาะ
ซึ่งนั่นก็ทำให้ในเดือนมีนาคม 2018 มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของ Magnetolabs อยู่ที่ 7,099 คน ซึ่งทั้งหมดนี้สร้าง Leads กลับมาให้พวกเขาได้เป็นจำนวน 22 Leads (เปรียบเทียบกันแล้ว Conversion Rate จะอยู่ที่ 0.31%)
อ่านมาจนถึงตรงนี้ ทุกคนคงเริ่มมองออกแล้วใช่มั้ยครับว่าเพราะอะไรเราถึงควรรวบรวมกลยุทธ์ต่างๆของการตลาดแบบดึงดูดและนำความรู้เหล่านั้นมาใช้
มาดูกันครับว่าวิธีการที่ว่านั้นมันมีหลักการทำงานยังไงบ้าง
หัวใจของการทำ Inbound Marketing
1. Attract (ดึงดูดความสนใจจากคนแปลกหน้า) แน่นอนอยู่แล้วครับว่านักการตลาดทุกคนไม่ได้ต้องการแค่ให้ใครก็ได้เข้ามาในเว็บไซต์ แต่พวกเขาต้องการเปลี่ยนสถานะจากคนแปลกหน้าทั่วไป (stranger) ให้กลายมาเป็นผู้เข้าชม (visitor) แล้วต้องทำยังไงล่ะถึงจะได้ผู้ใช้เหล่านั้นมา ?
Blog – คอยมอบคุณค่าด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ หรือคอนเทนต์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขา ผ่านทางบล็อก ซึ่งมันจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าบล็อกของเรานั้นเป็นเหมือนผู้ช่วยที่ดีนั่นเอง และแน่นอนมันจะช่วยเพิ่ม Traffic (การเข้ามาเยี่ยมชม) ให้กับเว็บไซต์ของคุณSEO/Keywords – ตรวจสอบให้มั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็น Search Engine Optimized เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขานั้นจะหาเว็บไซต์ของคุณเจอ และทำการค้นหาคีย์เวิร์ดหรือคำที่คุณคิดว่าลูกค้าของคุณใช้ค้นหาบ่อยที่สุด ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้เหล่านั้นนั่นเอง Social – คุณเคยได้ยินคำว่า “จงตกปลาในที่ที่ปลาอยู่เยอะ” มั้ยครับ ซึ่ง ปลา ในที่นี้ของเราก็หมายถึงคนแปลกหน้าทั่วไป และเป็นที่รู้กันดีครับว่าสมัยนี้คนเรามักใช้เวลากับ Social media เป็นชั่วโมงๆ ดังนั้นเราจึงควรใช้มันเป็นเครื่องมือในการดึงดูดคนเหล่านั้นให้กลายมาเป็นผู้เข้าชมของเรา2. Convert (การเปลี่ยนจากผู้เข้าชมให้กลายเป็นว่าที่ลูกค้า) หลังจากที่บริษัทสามารถดึงดูดลูกค้าเข้ามาได้แล้ว สิ่งต่อไปที่นักการตลาดอย่างเราต้องทำก็คือเปลี่ยนแปลงผู้เข้าชม (visitor) ให้กลายเป็น ว่าที่ลูกค้า (Leads) ของเรา ขั้นตอนนี้เปรียบเหมือนการที่แขกของเรายินดีที่จะเข้ามาในบ้านของเราแล้ว สิ่งสำคัญคือเราต้องแน่ใจว่าเราต้อนรับเขาได้ดี และมีอะไรให้เขาทาน
CTAs – เมื่อเปรียบผู้เข้าชมเป็นแขกแล้ว CTA หรือ Call to action ก็เป็นเหมือนอาหารที่ใช้ต้อนรับพวกเขา ถ้าคุณมี CTA ไว้ในบล็อกหรือเว็บไซต์ของคุณ มันจะนำพาผู้ใช้เหล่านั้นไปสู่ขั้นตอนถัดไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งควรเป็นแบบ Inline หรือ รูปภาพ เพื่อความง่ายและเพิ่มความน่าสนใจให้เกิดการคลิ๊ก และจำไว้นะครับ ยิ่งหน้าตาของอาหารดูน่าทานมากเท่าไหร่ แขกของเราจะอยากลิ้มลองมากเท่านั้น !Landing Pages – เมื่อแขกของเราได้เริ่มทานอาหารแล้ว สิ่งต่อไปที่เราควรคำนึงคือ รสชาติอาหารจานนั้นอร่อยมั้ย? landing pages คือหน้าถัดไปที่ว่าที่ลูกค้าของคุณจะเห็นหลังจากคลิ๊ก CTA ซึ่งสิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้คือหน้านี้ต้องสามารถให้ในสิ่งที่พวกเขาคาดหวังว่าจะได้ เช่น ข้อเสนอดีๆ หรือสิ่งที่จะช่วยพวกเขาแก้ปัญหาForms – และอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูล เพราะมันเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยน คนแปลกหน้า (Visitor) ให้กลายเป็น ว่าที่ลูกค้า (Leads) โดยอย่างแรกเลยคือคุณต้องแน่ใจว่าคำถามในฟอร์มของคุณเหมาะสมกับข้อเสนอที่คุณจะมอบให้พวกเขาตัวอย่างเช่น ถ้าในฟอร์มคุณเป็นคำถามที่ต้องการข้อมูลเบื้องลึก แต่ข้อเสนอของคุณคือ TOFU (Top of Funnel) อย่าง eBook พวกเขาก็อาจจะเกิดความลังเลและเลือกที่จะไม่กรอกฟอร์มในที่สุด ดังนั้นเราควรทำให้ฟอร์มและข้อเสนอเหมาะสม เพื่อเก็บข้อมูลบางอย่าง โดยอย่างน้อยที่สุดคือ ชื่อและอีเมล3. Close (การสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับว่าที่ลูกค้า) ถ้าเราคิดว่าเราสามารถดึงดูดผู้คนและเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นว่าที่ลูกค้า (Leads) เรียบร้อยแล้วนั้น เป้าหมายต่อไปของเราก็คือเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าจริงๆของเราให้ได้ ขั้นตอนนี้เหมือนการทำให้คนที่ “เริ่มสนใจ” เปลี่ยนมาเป็น “ชอบ” ในตัวเรา เพราะเราต้องพยายามสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนเหล่านั้น
โดยสิ่งสำคัญๆในขั้นตอนนี้ที่พวกเราต้องมีก็คือ Leads nurturing (การหล่อเลี้ยงและบริหารความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย) นั่นเอง
Email – Email marketing ยังคงเป็นอีกวิธีที่ได้ผลระยะยาวมากที่สุด โดยหลังจากที่พวกเขาเริ่มเปลี่ยนจากสนใจมาเป็นชอบแล้ว คุณอาจจะส่งมอบคุณค่าผ่านเทนต์ดีๆ หรือบัตรเชิญเข้างาน Webinar ให้พวกเขาจำไว้ว่ายิ่งคุณสามารถทำให้พวกเขารู้สึกว่าข้อมูลที่เราส่งไปใน Inbox ของพวกเขามีคุณค่ามากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะกลายมาเป็นลูกค้ามากเท่านั้น Workflows – คือความต่อเนื่องนั่นเอง เป็นการหมั่นดูแลและติดต่อกับพวกเขาอยู่เรื่อยๆ ด้วยคอนเทนต์หรืออีเมล และแน่นอนว่าเมื่อธุรกิจมีการเติบโต จำนวนลูกค้าของเราอาจจะเป็นหลักพันหรือหลักแสน เราคงไม่สามารถตอบคำถามหรือช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง เราจึงจำเป็นต้องตั้งค่าระบบอัตโนมัติ ไว้ติดต่อและมอบคุณค่าให้กับพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ CRM (customer relationship management system) – การใช้เครื่องมือ CRM ของคุณในการเก็บเกี่ยวข้อมูลของ Leads ให้ได้มากที่สุด เพื่อความเข้าใจในพฤติกรรมของพวกเขามากขึ้น เพราะถ้าเราเข้าใจว่าที่ลูกค้า (Leads) ของเรา นอกจากคุณจะสามารถประเมินพวกเขาได้แล้ว คุณยังสามารถนำมาปรับใช้กับกลยุทธ์การตลาดของคุณเพื่อเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย4. Delight (สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า) ถ้ามาถึงขั้นตอนนี้แล้ว ยินดีด้วยครับ เพราะนั่นแสดงว่าพวกเขาได้กลายมาเป็นลูกค้าของคุณแล้ว แต่งานของคุณก็ยังไม่ได้หมดเท่านี้ครับ
เพราะสิ่งสุดท้ายคือการทำให้พวกเขากลายมาเป็นพรีเซนเตอร์หรือ PR ของคุณให้ได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เผยแพร่สินค้าหรือบริการของเราไปให้คนอื่นๆได้รับรู้ นอกจากนี้คือการทำให้พวกเขาเห็นถึงคุณค่าของคุณอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสกลับมาหาเราอีกในอานาคต โดยสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนเหล่านี้
Survey – ทำแบบสอบถามหลังการขาย โดยเป็นคำถามถึงสินค้าหรือบริการของเรา อย่างเช่น รู้สึกอย่างไรกับบริการของเรา,ชอบตรงไหนเป็นพิเศษมั้ย และมีอะไรที่ควรปรับปรุง เพราะแน่นอนครับเรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่ถาม คุณจะไม่มีทางรู้ถึงข้อมูลเหล่านี้เลย Smart Content – ลูกค้ามักอยากจะรู้สึกพิเศษกว่าคนทั่วไป และอยากจะได้รับการดูแลที่แตกต่างออกไป ถ้าเราส่งข้อมูลหรืออีเมลแบบเดียวกับที่เราส่งให้คนอื่นทั่วไปให้กับลูกค้าของเรา นั่นก็จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกพิเศษ ดังนั้นเราจึงควรจะส่งข้อความที่ให้ความรู้สึกเหมือนข้อความส่วนตัวนั่นเองSocial Monitoring – คุณเคยมีลูกค้าที่แชร์คอนเทนต์ของคุณผ่านโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องมั้ย? หรือลูกค้าที่แท็กเพื่อนของพวกเขาในช่องคอมเมนต์ใต้โพสต์ของคุณ ผมคิดว่าเป็นสัญญาญที่ดีนะครับ เพราะนั่นถือเป็นการบอกต่อที่ดีมากๆ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือคอยโต้ตอบกับพวกเขาตลอด เช่นการแสดงความขอบคุณ
และแน่นอนว่าถ้าเราทำได้สำเร็จ พวกเขาก็จะวนกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากบริษัทของพวกเราอีก และเมื่อถึงจุดที่พวกเขารู้สึกพึงพอใจมากๆ พวกเขาจะบอกต่อให้กับเพื่อนๆ รวมไปถึงแนะนำให้คนทั้งโลกรู้ว่าบริษัทเรามันเจ๋งแค่ไหนนั่นเองครับ
แล้วการตลาดแบบ Inbound Marketing และ Outbound Marketing แตกต่างกันอย่างไร ?
หลายคนอาจจะสงสัยว่า การตลาดแบบ inbound และ outbound มันต่างกันยังไง ผมอยากให้ทุกคนลองสังเกตภาพนี้ดูครับ มันคือขั้นตอนการทำงานของการตลาด 2 แบบ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่วิธีคิด วิธีการ ไปจนถึงผลลัพธ์ที่ออกมา เรามาดูกันครับว่าทั้งคู่มีการทำงานที่แตกต่างกันยังไง
Inbound marketing ใช้คอนเทนต์ที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามา ทำคอนเทนต์ในรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ ใช้การสื่อสารแบบ 2 ทาง การโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของสื่อคอนเทนต์ ทำสื่อผ่านบล็อกหรือโซเชียลมีเดีย เป็นต้น เพื่อสร้างความน่าสนใจ Outbound marketing ใช้สื่อเพื่อส่งข้อมูลไปยังลูกค้าโดยไม่สนว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ ทำคอนเทนต์ในรูปแบบที่บริษัทต้องการ ใช้การสื่อสารทางเดียว (ลูกค้าไม่สามารถตอบกลับได้) การโฆษณาเข้ามาแทรกแซงสื่อคอนเทนต์ ทำสื่อผ่านโฆษณาโทรทัศน์ แมกกาซีน หรือป้ายบิลบอร์ด เป็นต้น จริงๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดรูปแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่ทุกคนควรจะโฟกัสเป็นอันดับแรกก็คือการตั้งเป้าหมายครับ ถ้าจะให้ผมพูดว่าแบบไหนดีกว่า ผมก็คงตอบไม่ได้
เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์และเป้าหมายของแต่ละบริษัทด้วยครับ เพราะไม่ว่าจะเป็น inbound marketing หรือ outbound marketing ต่างก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีแตกต่างกันไปทั้งนั้นครับ
สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า ทุกวันนี้ หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากๆ จะเห็นได้จากธุรกิจที่ไม่ว่าจะเป็น Startup หรือ SME ต่างก็มีการพัฒนาเพื่อที่จะตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกันทั้งนั้น
หรือพูดอีกแบบก็คือ ทุกๆองค์กรต่างก็พยายามที่จะหากลยุทธ์หรือเทคนิคใหม่ๆเพื่อที่จะปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยนั่นเอง
เพราะท้ายที่สุดแล้วองค์กรที่จะเติบโตและเอาชนะคู่แข่งได้เร็วที่สุดก็คือองค์กรที่ไม่ยึดติดและพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆเสมอครับ