สร้างเว็บปี 2025 เลือก Webflow หรือ WordPress แบบไหนดีกว่ากัน?

สร้างเว็บปี 2025 เลือก Webflow หรือ WordPress แบบไหนดีกว่ากัน?
Light
Dark

Webflow หรือ WordPress แพลตฟอร์มไหนตอบโจทย์การสร้างเว็บไซต์มากกว่ากัน? สิ่งสวยงามมักดึงดูดสายตา หน้าเว็บก็เช่นกัน ยิ่งสวยยิ่งดูดี ยิ่งดึงดูดให้คนเข้าหา การมีหน้าเว็บไซต์สวย ๆ จึงเป็น  First Impression สำคัญของธุรกิจ ที่อาจเป็นดึงดูดให้ลูกค้าอยู่ต่อหรือจากไป

แต่ปัญหาคือ… อยากมีเว็บสวย ๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? เขียนโค้ดก็ไม่เป็น ลองหัดทำเองก็ดูยากไปหมด จะจ้างก็กลัวเว็บไม่ถูกใจ หรือแค่แก้ไขเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องรอให้คนอื่นทำให้จนเสียเวลา

วันนี้ tgm. จะพาไปรู้จัก Webflow และ WordPress สองเครื่องมือสร้างเว็บยอดนิยม ที่แม้จะเขียนโค้ดไม่เป็น ก็สามารถมีเว็บไซต์สวย ๆ ได้ แล้วทั้งสองแพลตฟอร์มนี้มีข้อดี-ข้อเสียต่างกันอย่างไร? มาดูกัน

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

สร้างเว็บให้ปังเริ่มยังไง มาดูกัน

“ชื่อ” คือสิ่งแรกที่ใช้ระบุตัวตน และบนโลกออนไลน์ ชื่อนั้นก็คือ “Domain Name” หากชื่อบุคคลถูกบันทึกในทะเบียนราษฎร์ ชื่อเว็บไซต์ก็ถูกบันทึกใน Domain Name System (DNS) ทำหน้าที่เป็น GPS ที่ช่วยนำทาง เมื่อมีคนพิมพ์โดเมนของเรา ระบบก็จะพาไปยังเว็บไซต์ เช่น www.thegrowthmaster.com

ในที่นี้ “thegrowthmaster” คือชื่อโดเมน ส่วน .com เปรียบเสมือนนามสกุล ที่บอกประเภทของเว็บไซต์ และที่สำคัญคือ Domain Name จดซ้ำกันไม่ได้ ใครจดก่อนคนนั้นได้สิทธิ์ไป 

แต่มีแค่ชื่อไม่พอ ต้องมี Web Hosting ที่เปรียบเสมือน “บ้าน” ไว้ใช้ในการเก็บข้อมูลทุกอย่าง เช่น ไฟล์ รูปภาพ ฐานข้อมูล ฯลฯ ดังนั้น Web Hosting & Domain Name จึงเป็นคู่หูที่ขาดกันไม่ได้ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์ พร้อมให้คนเข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง

แต่จะง่ายกว่าไหม…ถ้ามีบ้านที่พร้อมให้คุณเช่าอยู่ในทันที เพียงเตรียมชื่อแล้วแปะลงไป คุณก็สามารถเข้าไปตกแต่งบ้านได้ในทันที นี่แหละแนวคิดของ Webflow และ WordPress แพลตฟอร์มที่ช่วยให้คุณมีเว็บไซต์สวย ๆ ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง

เพราะทั้งสองมาพร้อมกับระบบ CMS (Content Management System) ที่เปลี่ยนการสร้างและดูแลเว็บไซต์ให้เป็นเรื่องง่าย คุณสามารถ ลาก-วาง ปรับแต่งสี ใส่ข้อความหรือภาพ ได้ในไม่กี่คลิก ลดเวลาไปได้เยอะ ไม่ต้องปวดหัวกับการเขียนโค้ดอีกต่อไป ทั้งยังสามารถ Export ออกมาเป็นโค้ด HTML และ CSS ได้อีกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าถูกใจ Dev โดนใจ Design อย่างแน่นอน

CMS (Content Management System) เป็นระบบที่นำมาช่วยในการสร้างและบริหารจัดการเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป โดยในการใช้งาน CMS นั้นผู้ใช้งานไม่ต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโค้ดก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ด้วยตนเอง

HTML (Hypertext Markup Language) คือ ภาษามาร์กอัปที่ใช้กำหนดโครงสร้างและองค์ประกอบของเว็บเพจ เช่น ข้อความ รูปภาพ ลิงก์ และตาราง

CSS (Cascading Style Sheets) คือ ภาษาที่ใช้กำหนดรูปแบบและสไตล์ของเว็บเพจ เช่น สี ฟอนต์ ระยะห่าง และการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ช่วยให้เว็บไซต์ดูสวยงามและเป็นระเบียบ

Webflow หรือ WordPress เลือกแนวที่ใช่ ตามสไตล์ที่ชอบ

หลังจากที่ได้พูดถึงพื้นฐานการสร้างเว็บไปแล้ว หวังว่าจะเริ่มเห็นภาพชัดขึ้น งั้นตอนนี้เรามาดูกันว่า Webflow กับ WordPress แตกต่างกันยังไงบ้าง

1. Webflow ไม่ต้องเขียนโค้ด ก็สร้างเว็บสวยระดับโปรได้

Webflow คือ Website Builder Platform ที่ให้คุณสร้างเว็บไซต์ได้สวยงามดั่งใจนึก โดยไม่ต้องพึ่งพาทักษะการเขียนโค้ดใด ๆ ช่วยลดปัญหาระหว่าง Design และ Dev ที่มักเจอว่าออกแบบมาอย่างหนึ่ง แต่ทำออกมาจริงอีกแบบ จนต้องมานั่งแก้และทำให้หัวร้อนกันทั้ง 2 ฝ่าย 

นอกจากนี้ Webflow ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายเช่น

  • โหลดเร็วไม่มีสะดุด เว็บไซต์ที่สร้างจาก Webflow โหลดเร็วสุด ๆ เมื่อเทียบกับ Website Builder อื่น ๆ เพราะ Webflow มีระบบครบจบในตัว ไม่ต้องพึ่งพา Plug-in เสริม ที่อาจทำให้เว็บหน่วงหรือโหลดช้า
  • Community ขนาดใหญ่ Webflow มีผู้ใช้งานทั่วโลก ทำให้สามารถขอความช่วยเหลือหรือเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ ได้ง่าย ผ่าน Webflow Community หรือกลุ่ม Facebook ต่าง ๆ เช่น Webflow Developer, Webflow Designer, Webflow Help & Support เป็นต้น
  • Webflow Partner พาร์ทเนอร์ที่ได้รับการรับรองจาก Webflow ว่าเป็นหนึ่งในตองอูเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์ด้วย Webflow การันตีได้เลยว่าเว็บไซต์ที่ออกมาจะสวยถูกใจอย่างแน่นอน
    ซึ่ง The Growth Master ของเราก็เป็นหนึ่งในนั้นโดยสามารถเช็กได้ ที่ Webflow Partner
  • Export เป็น Code Webflow สามารถ Export เว็บไซต์ออกมาเป็นโค้ดได้ ช่วยให้ Dev นำไปพัฒนาต่อได้โดยไม่ต้องยุ่งยาก

เห็นถึงข้อดีของ Webflow กันแล้วงั้นเรามาต่อกันที่หน้าตาจริง ๆ ของ Webflow กันดีกว่าว่าจะทำให้เราสร้างเว็บไซต์ได้ดั่งใจจริงไหม

วิธีสร้างหน้าเว็บไซต์ด้วย Web Flow

หลังจากสมัครใช้งานและสร้างโปรเจกต์ใหม่ ระบบจะสร้างหน้าว่าง ๆ ขึ้นมาให้ เรียกว่า Page โดยหน้าตาคล้ายกับ Figma เลย จากนั้นคุณสามารถเริ่มออกแบบเว็บไซต์ได้ทันที โดยการลาก Element จากเมนูด้านซ้าย เช่น Text (ข้อความ), Button (ปุ่ม), Image (รูปภาพ) มาใส่ในหน้าได้เลย

ซึ่งในแต่ละ Element ที่วางลงไป สามารถปรับแต่งด้อย่างละเอียดที่เมนูด้านขวา เช่น

  • Spacing (การเว้นระยะ)
  • Size (ขนาด)
  • Background (พื้นหลัง)
  • Typography (ฟอนต์)
  • Layout (เลย์เอาต์)
  • Position (ตำแหน่ง)
  • Border (ขอบ)
  • Effect (เอฟเฟ็กต์)

ถือได้ว่า Webflow สามารถปรับแต่งหน้าเว็บได้อย่างอิสระ โดย ไม่ต้องพึ่งโค้ด ทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น

แต่เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณออกมาสมบูรณ์แบบ อย่าลืมเช็กการแสดงผลในโหมด Responsive Preview เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลได้ดีทั้งในมือถือและคอมพิวเตอร์ เมื่อเข้าโหมด Preview แล้ว คุณสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับทุกขนาดหน้าจอได้ทันที

เมื่อคุณออกแบบเสร็จแล้ว สามารถกด Publish ได้ฟรีผ่าน xxx.webflow.io หรือ Export เป็นโค้ด HTML, CSS และ JavaScript เพื่อนำไปใช้ใน Hosting อื่น ๆ ได้

เมื่อออกแบบหน้าเว็บจนพอใจแล้ว ก็ถึงเวลาปล่อยของ กด Publish ได้เลยแบบฟรีผ่าน xxx.webflow.io หรือ Export เป็นโค้ด HTML, CSS และ JavaScript เพื่อนำไปใช้ใน Hosting อื่น ๆ ก็ได้เช่นกัน

ส่วนโปรเจกต์ที่ต้องตรวจสอบก่อนใช้งานจริง อย่าลืมให้ทีม QA Testing & Approve ก่อนปล่อยเว็บ เพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ


เคล็ดลับ นอกจาก Export Code ได้แล้ว Webflow ยังสามารถ Import Frame จาก Figma ได้ เพื่อลดเวลาในการทำงาน โดยหลังจากนำเข้าแล้วคุณสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมใน Webflow เช่น การปรับระยะห่าง ขนาด และขอบ เพื่อให้ได้เว็บไซต์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

2. WordPress พี่ใหญ่ของวงการสร้างเว็บไซต์ ที่ครองใจนักพัฒนาทั่วโลก

ถ้าพูดถึงการสร้างเว็บไซต์ ชื่อแรกที่ต้องโผล่ขึ้นมาในใจคงหนีไม่พ้น WordPress พี่ใหญ่ของวงการสร้างเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานทั่วทั้งโลกมากถึง 43.6% ด้วยความเป็น Open-Source Software ทำให้ทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปสามารถอัปเกรด ปรับแต่งเว็บไซต์ได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องรู้โค้ดก็สามารถใช้ Plug-in เพิ่มฟังก์ชันได้ง่าย ๆ เพื่อยกระดับเว็บไซต์ให้ดูดีและมีประสิทธิภาพ

วิธีสร้างหน้าเว็บไซต์ด้วย WordPress ฉบับเขียนโค้ดไม่เป็นก็ทำได้

ก่อนที่จะเริ่มสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress คุณต้องทำการจด Domain และเช่า Hosting ก่อน จากนั้นทำการติดตั้ง WordPress ลงในเครื่องเพื่อลงทะเบียนเว็บไซต์และบัญชีผู้ใช้งาน จากนั้นก็สามารถ Log-in และเริ่มสร้างหน้าเว็บไซต์ได้ทั้งจาก Page หรือ Post

การสร้างหน้าเว็บไซต์ใน WordPress เริ่มต้นจากหน้าเปล่า ๆ ที่ไม่มีเนื้อหาใด ๆ ทั้งสิ้น ราวกับกระดาษขาวที่รอให้คุณใส่ไอเดียลงไป คุณสามารถออกแบบหน้าเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดายเพียงเพิ่ม Blocks หรือ Patterns เพื่อเติมเต็มเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข้อความ, คลิปวิดีโอ หรือแม้แต่ Quote เพื่อเน้นข้อความสำคัญ

Page : หน้าที่ใช้สำหรับจัดการเนื้อหาที่เป็นหน้าเว็บแบบเดี่ยว ๆ ไม่มีการจัดหมวดหมู่หรือความเชื่อมโยงกับหน้าอื่น ๆ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เช่น Homepage, About, Contact เป็นต้น
Post : หน้าที่สามารถจัดหมวดหมู่ และมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เช่น News, Promotion, Blog เป็นต้น

แต่ถ้าต้องการการปรับแต่งที่ละเอียดขึ้น เช่น การขยับ กล่องข้อความ หรือ รูปภาพ, การปรับ ระยะห่าง, คุณอาจต้องใช้ Code เพื่อสร้าง Theme ของตัวเอง โดยใช้ Open Source Code จาก WordPress

หากไม่อยากวุ่นวายกับการเขียนโค้ดเอง WordPress ก็มี Theme สวย ๆ ทั้งฟรีและเสียเงินให้เลือกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น themeforest.net และ elegantthemes.com

Theme ที่ดีต้องมีคุณสมบัติดังนี้

  • ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก ธีมที่สวยแต่ติดตั้งยาก อาจทำให้ปวดหัวได้! เลือกธีมที่รองรับ Demo Import จะช่วยให้เริ่มต้นได้ไว ไม่ต้องมานั่งเซ็ตค่าเองทีละจุด
  • โหลดเร็ว น้ำหนักเบา รู้ไหม? ถ้าเว็บโหลดเกิน 3 วินาที ผู้ใช้ 40% อาจกดปิดทันที ดังนั้นจึงควรเลือก ธีมที่โหลดไว ไม่กินทรัพยากรเครื่อง จะช่วยให้เว็บทำงานลื่นขึ้น
  • รองรับอุปกรณ์ทุกประเภท ทุกวันนี้คนเราไม่ได้พกค้นหาข้อมูลแค่ในคอมพิวเตอร์ ดังนั้นธีมที่ดีต้อง แสดงผลได้สวยงามทั้งบนมือถือ แท็บเล็ต และเดสก์ท็อป 
  • รองรับ Page Builder ยอดนิยม ถ้าชอบออกแบบเว็บเอง เลือกธีมที่ใช้งานร่วมกับ Elementor, Divi, Gutenberg หรือ Beaver ได้ จะช่วยให้ดีไซน์ได้ง่ายขึ้นแบบไม่ต้องแตะโค้ด
  • รองรับปลั๊กอินหลักของ WordPress ไม่ว่าจะเป็น SEO, Security, Cache หรือ E-commerce ธีมต้องรองรับปลั๊กอินเหล่านี้ เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
  • รองรับหลายภาษา) ถ้าอยากให้เว็บเข้าถึงผู้ใช้จากหลายประเทศ ธีมควรใช้งานร่วมกับปลั๊กอินแปลภาษา เช่น WPML หรือ Polylang ได้
  • มีทีมซัพพอร์ตและการอัปเดตสม่ำเสมอ ไม่มีใครอยากใช้ธีมที่หยุดพัฒนา เช็กให้ชัวว่าธีมนั้นมีอัปเดตสม่ำเสมอ และมีทีมงานซัพพอร์ตช่วยแก้ปัญหาให้ตลอด
  • เป็นมิตรกับ SEO ธีมที่ดีต้องช่วยให้เว็บติดอันดับบน Google ได้ง่ายขึ้น พร้อมแสดงผลการค้นหาในหน้าแรก ๆ เพื่อให้เว็บไซต์มีคนเข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น
  • ปรับแต่งได้ครบครัน  ธีมต้องสามารถ แก้ไขสี ฟอนต์ ส่วนหัว ส่วนท้าย และ Layout ได้สะดวก ทั้งจาก Frontend และ Backend
  • รีวิวดี คะแนนสูง  เลือกธีมที่มีรีวิวจากผู้ใช้จริง และได้รับคะแนนสูงใน Marketplace เช่น ThemeForest หรือ WordPress.org เพื่อความมั่นใจในการใช้งาน

เทียบให้ชัดวัดให้ดู Webflow และ WordPress แบบไหนดีกว่ากัน

จ่ายครั้งเดียวจบ หรือ จ่ายตามสิ่งที่คุณเลือก

การสร้างเว็บไซต์แต่ละเว็บย่อมมีเอกลักษณ์และฟังก์ชั่นที่ต่างกัน ดังนั้นราคาของการสร้างเว็บไซต์ก็ย่อมแตกต่างกันตามความยากง่ายและความต้องการของแต่ละเว็บไซต์ อย่างไรก็ตามเราสามารถประเมินราคาเบื้องต้นในการสร้างเว็บไซต์ ระหว่าง Webflow และ WordPress ดังนี้

Webflow ราคาในการสร้างเว็บไซต์จะถูกกำหนดไว้จากแพ็กเกจต่าง ๆ คุณสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม โดยแผนบริการแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

Webflow

  1. แพ็คเกจเว็บไซต์ทั่วไป(General) 

** Tip: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดข้างต้นคำนวณเป็นการชำระเงินรายเดือน หากเรียกเก็บเงินเป็นรายปี คุณจะประหยัดได้ถึง 30%

  • Starter (ฟรี) เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากลองสร้างเว็บ แต่มีข้อจำกัดที่ต้องใช้โดเมน webflow.io ของ Webflow เท่านั้น 
  • Basic (18 ดอลลาร์/เดือน) เหมาะสำหรับคนที่ต้องการมีสร้างเว็บไซต์ขนาดเล็กเป็นของตัวเอง สามารถจดโดเมนส่วนตัวได้ มาพร้อม พร้อมฟีเจอร์ SEO ที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นหาบน Google ได้ง่ายขึ้น
  • CMS (29 ดอลลาร์/เดือน) เหมาะสำหรับนักเขียนหรือทำเว็บไซต์ที่เน้นเนื้อหา แพลนนี้จะช่วยให้สร้าง Blog ได้หลากหลายรูปแบบพร้อมสามารถจัดการ CMS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้าง User สำหรับใช้งานหลังบ้านได้ถึง 3 คน พร้อมรองรับ SEO ที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันกับได้ง่ายขึ้น
  • Business (49 ดอลลาร์/เดือน) เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเว็บไซต์ที่รองรับการเข้าชมได้เป็นจำนวนมาก พร้อมการอัปโหลดไฟล์จากผู้เยี่ยมชม และมีแบนด์วิดธ์ที่รองรับการใช้งานอย่างเต็มที่
  • Enterprise (ราคาแบบกำหนดเอง) สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการฟีเจอร์ที่ยืดหยุ่นและความปลอดภัยสูงสุด พร้อมการสนับสนุนลูกค้าเฉพาะทางและฟังก์ชันการทำงานร่วมกันที่เป็นมืออาชีพ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการขยายตัวแบบไร้ขีดจำกัด

  1. แพ็กเกจเว็บไซต์ E-comerce

รองรับฟีเจอร์พื้นฐานทั้งหมด เช่น การจัดการสินค้าอีคอมเมิร์ซ, การใช้งานสินค้า CMS, และฟังก์ชัน CMS แต่ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือจำนวนสินค้าที่คุณสามารถจัดการได้ ตามขนาดของแผนที่เลือก ดังนี้

  • Standard (42 ดอลลาร์/เดือน)เหมาะสำหรับร้านค้าที่เพิ่งเริ่มต้น
    • รองรับสินค้าได้ 500 รายการ
    • รองรับการชำระเงินผ่าน PayPal และ Stripe (มีค่าธรรมเนียม 2% ต่อออเดอร์)
    • ปรับแต่งหน้าชำระเงิน, ตะกร้าสินค้า และฟิลด์สินค้าได้เอง
    • รองรับระบบทั้งหมดของ CMS Plan
    • ระบบคำนวณภาษีอัตโนมัติ
    • รองรับการตั้งค่าการจัดส่งแบบกำหนดเอง
    • รองรับการเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดีย
  • Plus (84 ดอลลาร์/เดือน)เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโต
    • รองรับสินค้าได้ มากขึ้นกว่าระดับ Standard
    • ไม่มีค่าธรรมเนียมการทำรายการ
    • เพิ่มบัญชีทีมงานได้สูงสุด 10 คน
    • ขยายความสามารถของ CMS และการจัดการสินค้า
    • รองรับฟีเจอร์ทั้งหมดจาก Standard Planง
  •  Advanced (235 ดอลลาร์/เดือน)เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายตลาด
    • รองรับสินค้าได้สูงสุด 15,000 รายการ
    • เพิ่มบัญชีทีมงานได้สูงสุด 15 คน
    • ครอบคลุมทุกฟีเจอร์ที่จำเป็นในการบริหารร้านค้าออนไลน์แบบมืออาชีพ
    • รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ถ้าจะให้สรุปง่ายก็คือ Webflow เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการคิดเยอะสามารถเลือกแพลนและเริ่มทำเว็บได้ในทันที ไม่ต้องมาวุ่นวายกับการเรื่อง Domain หรือ Hosting 


WordPress

ส่วน WordPress นั้นถึงแม้จะเป็น Open-Source ฟรีที่ใครก็ใช้ได้ แต่การจะอัพเกรดนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายในหลาย ๆ ด้าน เช่น Hosting, Domain, Plug-in เป็นต้น และหากต้องการปรับแต่งเพิ่มเติมก็จำเป็นต้องมี Dev หากไม่มีก็จำเป็นต้องซื้อ Theme เพิ่มเติม ซึ่งแต่ละรายการก็มีค่าบริการประมาณนี้

  • Hosting เช่น AtomHost หรือ Hostinger จะมีค่าเช่าอยู่ที่ 600 - 900 บาท/ปี
  • Domain name ขึ้นอยู่กับว่าจะจดโดเมนแบบใด แต่จดโดเมนยอดนิยมอย่าง .com จะมีค่าบริการอยู่ที่ 200 - 500 บาท/ปี
  • Theme จะมีทั้งฟรีที่สามารถโหลดใช้งานได้เลยกับแบบ Theme พรีเมี่ยมยอดนิยมอย่าง Astra Pro ที่จ่ายเพียงครั้งเดรยวเริ่มต้น 49 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,700 บาท) 
  • Plug-in จะมีทั้งแบบฟรีและแบบพรีเมี่ยมที่ต้องเสียเงินยกตัวอย่าง Plug-in ยอดนิยม อย่าง Woo-Comerce ที่สามารถช่วยให้เราสร้างหน้าร้านออนไลน์ได้แบบฟรี แต่เดียวก่อนหากคุณอยากได้ระบบต่าง ๆ เพิ่มเติมก็ต้องเสียเงินเพิ่มซึ่งบอกเลยว่าไม่ใช่น้อยแน่ ๆ

เมื่อเราทราบถึงราคาของทั้ง Webflow และ WordPress แล้ว เราก็ไปเริ่มทดสอบการใช้งานกันเลย

ฟีเจอร์ครบจบในตัว หรือ เสริมฟีเจอร์ได้ไม่จำกัด กับ Plug-in

Webflow คือแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่ ครบจบในตัวเดียว ไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินมากมาย ลดความซับซ้อนและช่วยให้เว็บไซต์ทำงานเร็วขึ้น จึงมี Plug-in ให้เลือกใช้ไม่มากนักประมาณ 200 ตัวโดยสามารถดูได้ผ่าน Webflow App ถึงแม้จะมี Plug-in น้อยทำให้หลายคนกังวลเรื่องการอัพเกรดเว็บไซต์ ขอบอกเลยว่าไม่ไม่ต้องห่วง เพราะ Webflow รองรับการเชื่อมต่อ API จากเครื่องมือต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น เพิ่มความสามารถให้เว็บไซต์ได้ 

ในขณะที่ WordPress มี Plug-in แบบคับคั่งกว่า 60,000 ตัว และ Theme อีก 13,000 แบบ รับรองว่าปรับแต่งได้เต็มที่ อยากได้ฟีเจอร์ไหนก็จัดได้เลยผ่าน Plugins-WordPress แต่การติดตั้งเยอะเกินไปอาจทำให้เว็บช้าลง หรือ Plug-in ตีกันจนทำให้หน้าเว็บผิดเพี้ยนไป ทางที่ดีควรศึกษาแต่ละตัวที่ต้องใช้ว่าทำงานร่วมกันได้ไหมก่อนติดตั้ง

ความเร็วในการสร้างเว็บไซต์

ถ้าพูดถึงความเร็วในการสร้างเว็บไซต์ Webflow ถือว่ายืนหนึ่งมาเลยเหมือนโดนล็อคมง เพราะรวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว เสริมด้วยวิธีการใช้งานที่ง่าย ทำให้ไม่เพียงแค่ Dev เท่านั้นที่ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังช่วยให้ Design และ ทีมงาน ทำงานร่วมกันได้แบบไหลลื่น 

สำหรับ WordPress ใครที่เพิ่งเริ่ม อาจต้องใช้เวลาในการ เรียนรู้และปรับตัว โดยเฉพาะถ้าอยากได้หน้าเว็บที่ ปรับแต่งแบบซับซ้อน ก็ต้องใส่ใจในแต่ละขั้นตอนมากขึ้น แถมยังมี การอัปเดตบ่อยครั้ง ที่บางครั้งอาจทำให้ต้องย้อนกลับมา แก้ไขจุดเดิม ๆ ส่งผลให้กระบวนการสร้างเว็บไซต์ ล่าช้า

“As an ex-WordPress expert, using Webflow cuts build time in half. We can turn the same website around in three weeks with Webflow, as opposed to six weeks with WordPress”  
Alex Rankin, Webflow Developer

การไต่อันดับ SEO

หมดปัญหาการทำ SEO ติดบ้างไม่ติดบ้าง เพราะ Webflow มาพร้อมเครื่องมือ SEO ในตัวแบบครบครัน ตัดปัญหาการพึ่งปลั๊กอิน ที่ทำให้เว็บไซต์ช้าลง จึงโหลดได้เร็วแบบสุด ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการไต่อันดับบน Google นอกจากนี้ Webflow ยังมี โฮสติ้งคุณภาพสูง ที่ออกแบบมาเพื่อความเร็ว ความปลอดภัย ช่วยให้ SEO มีประสิทธิภาพสูงสุด

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า WordPress เป็นเบอร์ 1 ด้านการทำ SEO มาอย่างยาวนาน ด้วยพลังของปลั๊กอินระดับเทพอย่าง Yoast SEO และ Rank Math ที่ทำให้การปรับแต่ง Meta tags, Sitemaps และ Blog เป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้วคลิก 

แต่อย่างที่เกริ่นเอาไว้หลายรอบ การใช้ปลั๊กอินมากเกินไปอาจกลายเป็นดาบสองคม กระทบทั้งความเร็วและประสิทธิภาพโดยรวม ซึ่งอาจฉุดอันดับ SEO ของคุณให้ร่วงได้แบบไม่รู้ตัว

สร้างเว็บเดียวแต่ใช้งานได้ทั่วโลก

ประเทศไหนก็อ่านเข้าใจเพราะ Webflow มี ระบบแปลภาษาที่ล้ำสมัย ไม่เพียงแค่เปลี่ยนข้อความ แต่ยังสามารถปรับ รูปภาพ สไตล์ และการแสดงผลให้เหมาะในแต่ละภาษา ช่วยให้เว็บไซต์ดูเป็นธรรมชาติในทุกประเทศ แต่บอกไว้ก่อนว่าฟีเจอร์นี้ต้องเสียตังเพิ่มนะ 

WordPress ก็เก่งในการแปลภาษาไม่น้อยหน้าใคร แต่จะเป็นแปลภาษาผ่าน Plug-in เช่น TranslatePress และ WPML ซึ่งช่วยให้คุณแปลเนื้อหาได้ง่ายขึ้นในทุกหน้า อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นใช้ Plug-in อาจต้องเสียเงินเพิ่มหากต้องการใช้ฟีเจอร์ระดับพรีเมี่ยม

คุณเข้าใจ ผมเข้าใจ เราทุกคนคือทีมเดียวกัน

Webflow ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบ นักพัฒนา หรือผู้ดูแลเว็บไซต์ ด้วยระบบ Cloud ที่รองรับการแก้ไขแบบ Real-time นอกจากนี้ Webflow ยังมีฟีเจอร์สำหรับองค์กร เช่น Branching ที่ช่วยให้ทีมพัฒนาอัปเดตเว็บไซต์ได้โดยไม่มีข้อขัดแย้ง ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น

ในขณะที่ WordPress รองรับการทำงานร่วมกันผ่านปลั๊กอิน เช่น Multicollab หรือการใช้เครื่องมือจัดการโครงการภายนอกอย่าง Trello และ Asana อย่างไรก็ตาม การแชร์ข้อมูล รับรองการเข้าถึงและการกำหนดบทบาทผู้ใช้อาจซับซ้อน ทำให้การประสานงานในทีมอาจไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร

E-Commerce การขายของบนโลกออนไลน์

ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีขายสินค้าบนเว็บที่ทั้งสะดวกและครบเครื่อง Webflow คือคำตอบ ด้วย eCommerce Sites Plan จาก Webflow ซึ่งมีฟีเจอร์หลักที่ช่วยให้ขายสินค้าออนไลน์ได้ครบครัน เช่น

  • จัดการรายการสินค้าผ่าน CMS และระบบอีคอมเมิร์ซ
  • รองรับผู้ใช้งานถึง 20,000 คน
  • ระบบตะกร้าสินค้าและการชำระเงินที่ปรับแต่งได้
  • รองรับการชำระเงินผ่าน Stripe และ PayPal
  • ขายสินค้ากี่ชิ้นก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด

ค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่เลือกใช้ตั้งแต่ 42 ถึง 235 ดอลลาร์/เดือน

ส่วน WordPress เองไม่ได้รองรับการขายของออนไลน์โดยตรง แต่คุณสามารถเพิ่มฟีเจอร์ขายของออนไลน์ได้ง่าย ๆ โดยการติดตั้ง WooCommerce ซึ่งเป็นปลั๊กอินฟรีที่มาพร้อมฟีเจอร์สำคัญ เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง การขายหลายช่องทาง และการจัดส่ง ที่จะช่วยให้คุณขยายธุรกิจและเพิ่มยอดขายได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่า WooCommerce จะฟรี แต่คุณยังต้องจ่ายสำหรับ ธีม, ส่วนขยาย, ค่าธรรมเนียมธุรกรรม, และ การรักษาความปลอดภัย ซึ่งค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 10-73 ดอลลาร์/เดือ

ปัจจุบัน WooCommerce ถูกใช้ในเว็บไซต์มากกว่า 6 ล้านเว็บไซต์ ทั่วโลก ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือในการสร้างร้านค้าออนไลน์

ความปลอดภัย

Webflow มีระบบรักษาความปลอดภัยครบครัน เริ่มจากการเข้าถึงที่ต้องผ่านแดชบอร์ดที่มีการป้องกันหลายชั้น พร้อมฟีเจอร์สำรองข้อมูลให้ย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติความปลอดภัยที่ทันสมัย เช่น

  • มาตรฐาน SOC 2
  • การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน
  • Plug-in ที่ติดตั้งได้ต้องผ่านการตรวจสอบ
  • การป้องกันรหัสผ่านในแต่ละหน้า
  • โฮสติ้งผ่าน Amazon Web Services (AWS)
  • การเข้ารหัส SSL และใบรับรอง SSL ที่กำหนดเอง
  • การป้องกัน DDoS

WordPress มีระบบรักษาความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น การล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน แต่ไม่มีการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน ทำให้ต้องพึ่งพาปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น Wordfence เพื่อป้องกันการแฮ็ก
และการตั้งค่าเข้ารหัส SSL หรือเปลี่ยนเส้นทาง HTTP จากผู้ให้บริการ Hosting เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ ดังนั้นเลือก Hosting ดี ๆ ละจะได้ไม่ต้องเสี่ยงเว็บโดน Hack

SOC 2 (System and Organization Controls 2) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งทําให้มั่นใจได้ว่ามีการควบคุมที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพื่อจัดการกิจกรรมข้อมูลลูกค้าในสภาพแวดล้อมที่โฮสต์บนคลาวด์

SSL (Secure Sockets Layer) เป็นโปรโตคอลสำหรับสร้างลิงก์ที่ปลอดภัยระหว่างคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย

DDoS (Distributed denial of service) คือ การโจมตีทางไซเบอร์รูปแบบหนึ่ง

Wordfence เป็นหนึ่งใน Plugin ความปลอดภัยที่ได้รับความนิยมที่สุดสำหรับ WordPress โดยมีฟีเจอร์ที่ครอบคลุมและใช้งานง่าย ฟีเจอร์เด่น: การสแกนมัลแวร์, ระบบไฟร์วอลล์ (Web Application Firewall), การบล็อก IP ที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย และระบบการแจ้งเตือนความปลอดภัยแบบเรียลไทม์

Webflow หรือ WordPress แบบไหนกันแน่ที่ใช่สำหรับคุณ

Webflow และ WordPress ต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทำให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่แตกต่างกันตามไปด้วย Webflow จะมีจุดเด่นในการปรับแต่งได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องใช้ทักษะการเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มใช้งานเว็บไซต์ และองค์กรที่มีหลายฝ่ายให้สามารถทำงานร่วมกันได้ 

ในทางตรงกันข้าม WordPress นั้นตอบโจทย์ Dev มากกว่าด้วย Plug-in และ Theme ที่มากมาย ช่วยสร้างเว็บไซต์ได้ตามความต้องการ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ Code เพื่อไม่ให้ Plug-in ต่างชนกันซึ่งส่งผลเสียต่อเว็บไซต์

หากยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสร้าง Website ด้วย แพลตฟอร์มไหนดี ก็สามารถเข้ามาปรึกษากับ tgm. ได้ผ่านช่องทางการติดต่อดังนี้

Facebook : The Growth Master

Facebook Group : TechTribe Thailand

Blockdit : The Growth Master

Line@ : @thegrowthmaster

หรืออัพเดทข่าวสารใหม่ ๆ ได้ที่ Youtube Channel ‘The Growth Master’ และ We Need TOOL Talk เพื่อไม่ให้พลาดซอฟต์แวร์น่าใช้ที่จะทำให้การทำงานของคุณง่ายขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: Wpthaiuser, outflow, Datayolk, Cyberpanel, Hostatomn.4Studiolilextensionzapier

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe