ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนไป รวมไปถึงการทำงานด้วย หลายบริษัทก็ต้องหาเครื่องมือที่เข้ามาช่วยให้การทำงานและการสื่อสารภายในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเครื่องมือเทคโนโลยีด้านการจัดการขององค์กร (Management Technology) นี่แหละที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ของคุณตรงนั้นได้ และหนึ่งในเครื่องมือที่ว่านั้นก็อาจจะมี Slack รวมอยู่ด้วย
เพราะว่า Slack เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ในแผนกไหนขององค์กรก็ตาม ก็ทำให้เราสามารถทำการสื่อสารกับทีมทั้งหมดได้ภายในที่เดียว และตัวซอฟต์แวร์เองก็ได้รวบรวมความสามารถจากหลาย ๆ แพลตฟอร์ม เช่น การคอล การส่งข้อความ หรือการแชร์ไฟล์งานต่าง ๆ ให้มารวมกันอยู่ใน Slack
และการเติบโตของ Slack ที่เปิดตัวมาไม่ถึง 10 ปี ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แต่ว่าจะมีตัวเลขการเติบโตและมีกลยุทธ์อะไรกันบ้าง The Growth Master จะพาคุณไปหาคำตอบกันในบทความนี้
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51b8ace1dd38b72362be_n1Q5aNp6NbJ0RzYchOcKMAgsFJkgtj8LiMpYc_zhAueY6Verw4zocbdT97fO8sh8xEriahENuuqp26GwvMeoSHvzfJcLqDFXfQIkkxt0K_PXThNiPXIY8D4oJ2RKdVqvJ-gF91Qh.png)
Slack แอปพลิเคชันการทำงานที่ปิ๊งไอเดียขึ้นจากความบังเอิญภายในองค์กร
Slack หรือที่ย่อมาจาก Searchable Log of All Conversation and Knowledge ถูกเปิดตัวขึ้นมาในปี 2013 โดย Stewart Butterfield ปัจจุบันเป็น CEO ของ Slack และอดีตผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์แชร์รูป Flickr (ภายหลังเขาขายให้ Yahoo ในปี 2004 ในราคา 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5fcf3b6810b1a47f2007bacb_i7KW5NHW31vGofqGtkF8x9sgSApjwkJ0lmm9hKBaaJs7p86ppWC1TKmVITdJ6i0yJol0mm9XQkHsrZ_x2Lr6wGGzO3BrnafyuGWN9SIoiZ-iBp2VEJEdMhZubAbWXzq7wtl4f8-a.png)
ก่อนหน้านั้นในปี 2009 Stewart Butterfield เคยก่อตั้งบริษัทชื่อว่า Tiny Speck เป็นบริษัทที่พัฒนาเกี่ยวกับระบบเกมออนไลน์ Glitch แต่ภายหลังเกมนี้ไม่สามารถดึงดูดให้ผู้เล่นจำนวนมากมาสนใจได้ จึงถูกประกาศปิดตัวลงไปภายในปี 2012
แต่อย่างไรก็ตาม ใครจะรู้ว่าจากความล้มเหลวในครั้งนี้ มันจะก่อให้เกิดความประสบความสำเร็จที่มีมูลค่ามหาศาลตามมา เพราะในขณะเดียวกันกับที่เขาพัฒนาเกมออนไลน์ Glitch ถึง 3 ปีนั้น บริษัทของเขาก็ได้มีการพัฒนาโปรแกรมแชทขึ้นมาใช้ภายในองค์กร เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และพูดคุยสื่อสารกันระหว่างสำนักงานในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา แล้วเขาก็ค้นพบว่าเครื่องมือนี้ ทำให้การทำงานขององค์กรนั้นมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งเป็นการจุดประกายให้เกิดเป็น Slack ขึ้นมานั่นเอง
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51b8a4fe26f313770b7b_F6lOiyMbOUqecuV7deAjNl6XF4I0Le1OnTIjOyIEjkN_9bUWSTkl_3PySCwqwPuDSeUMhOS3z1MF58asLP71KP5B_QVVzwDrlUvmT1o8os8JS_16cmrsZk1tRPdnqueFCby5bu7v.png)
หลังจากที่บริษัทเกมออนไลน์ปิดตัวลงไป Stewart Butterfield ก็ได้มองเห็นโอกาสใหม่ขึ้นมา นั่นคือการพัฒนา Slack โปรแกรมที่สามารถรวบรวมการสื่อสารทั้งหมดขององค์กรเอาไว้ในแพลตฟอร์มเดียว และพร้อมใช้งานได้ทุกที่
โดยตอนนี้ Slack เปิดให้ใช้งานได้มากถึง 8 ภาษา และมีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคนต่อวัน จากองค์กรมากกว่า 600,000 แห่งที่ตั้งอยู่ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และมีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 65 จาก 100 บริษัท และบริษัทดัง ๆ ของโลก ต่างก็ใช้บริการแอปพลิเคชันนี้เหมือนกัน เช่น Airbnb, Pinterest, Shopify, Amazon, Ebay, Fastly
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51b92acea27ca8a59f57_H32ZVBby8WoOLGgQHGotpNzIRi6jY6TRCc__uFbikhBsBUzqYCZtnhyyJPJqOuDO33hPocaXofuS9JBDL51vEOV05n6IEHEohafm0xh3LSuczi6TOd6iSrvcadkRH5SGBzUKWQJu.png)
ตัวเลขการเติบโตของ Slack มูลค่ามหาศาล ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 8 ปี
นับตั้งแต่ปี 2013 มาจนถึงปีนี้ ก็เป็นเวลาประมาณ 8 ปีแล้วที่ Slack ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก แต่ภายในระยะเวลาเท่านี้ถือว่า Slack มีตัวเลขการเติบโตที่สุดยอดมากจริง ๆ
ซึ่งรายได้ของ Slack เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2014 ที่มีรายได้อยู่ที่ 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 2 ปีต่อมา ในปี 2016 ก็สามารถแตะ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้เป็นครั้งแรก หนึ่งปีถัดมาก็เพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จนกระทั่งในปี 2020 ที่ผ่านมา มีรายได้พุ่งไปถึง 630 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.8 หมื่นล้านบาท (กำไร 91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 3 พันล้านบาท)
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51b8ba1aa59473729995_-uqUi54qjjHvRmq9ghCiriepTNLbfd4aRtUOtAZ4x58xTZiqPyphGQTPdqQXqgHCsyLldhKE3-vlwfXvSOM-1v6f9180Lxd94d3pDGuYfYqlmVZkIEJJvXd_EVj-nMoHcVuRfHdu.png)
และในด้านของตัวเลขผู้ใช้งานต่อวัน (Daily Active Users: DAUs) นับตั้งแต่ปี 2014 จากที่ผู้ใช้งานเพียง 400,000 บัญชี ก็ได้เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ
ปี 2016 มี Daily Active Users 4 ล้านบัญชี แบ่งเป็น Paid Users 1.3 ล้านบัญชี
ปี 2017 มี Daily Active Users 6 ล้านบัญชี แบ่งเป็น Paid Users 2 ล้านบัญชี
ปี 2018 มี Daily Active Users 8 ล้านบัญชี แบ่งเป็น Paid Users 3 ล้านบัญชี
ในเดือนกันยายน 2019 มีจำนวน Daily Active Users ที่ใช้งาน Slack มากกว่า 12 ล้านบัญชี ถือว่าเพิ่มขึ้นประมาณ 37% เมื่อเทียบเป็นรายปี และแบ่งเป็น Paid Users มากกว่า 6 ล้านบัญชีอีกด้วย พอเห็นจากตัวเลขนี้แล้ว Slack ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51b822e2af4615bf2941_Ac0FnHqW62tNr0V2qOaCJfB8ryld8ASGDdvdPN-qKLFPqCdKONRmTaAdjopEKq3OAB0ezIlRubZaXI4diSFI7nLoBePoKsvkpkR5gQ_xmJzVGa637VK3_OFvyxU6es492LF71Y3D.png)
นอกจากนั้น Slack เองก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ได้รับผลดีจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมาด้วย โดย Stewart Butterfield ได้เปิดเผยบน Twitter ของตัวเองว่า Slack มีผู้ใช้งานใหม่ที่เชื่อมต่อการใช้งานพร้อมกัน เพิ่มขึ้นจาก 10.5 ล้านคนในวันที่ 17 มีนาคม 2020 เป็น 12.5 ล้านคนในวันที่ 26 มีนาคม 2020 เพียงในเวลาไม่ถึง 10 วัน ก็มีจำนวนยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถล่มถลายขนาดนี้
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51b9876ce0f8445e2fb6_evfBrkppo5Syycr_QxXJF4-KeAW3MwSvaldcCCjkQ6b_yxSQS8MRfeUFGw6h5O6-IfWRq04VGCxrfvRxw2F3irUP5gydzskh6qawYtaR0cwlf5rPiwYWMH3wxvQ_03aR-vlcvVB2.png)
Slack Growth Strategy กลยุทธ์และวิธีการที่บ้าคลั่งในการเติบโต
วันนี้ The Growth Master จะขอพาพวกคุณไปดูวิธีการความบ้าคลั่งที่ Slack ใช้ เพื่อการเติบโตของพวกเขา จะมีอะไรกันบ้างไปดูกันต่อเลย
1. ใช้การตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing)
75% ของลูกค้าไม่เชื่อโฆษณา แต่ 92% เชื่อคำแนะนำ รีวิวของเพื่อน ของคนรู้จัก – Nielsen
เห็นไหมว่าวิธีการตลาดแบบปากต่อปากนั้นสามารถสร้างแบรนด์จากเล็ก ๆ ธรรมดาให้เติบโตจนเป็นแบรนด์ที่ทรงพลังขึ้นได้ ซึ่ง Slack ก็ใช้วิธีการนี้เช่นกัน (อ่านบทความ สร้างแบรนด์ให้ดังด้วยพลังของการบอกต่อ)
Slack พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าผู้คนจำนวนมากก็ยังคงเชื่อคำบอกต่อของคนสนิทอย่าง ครอบครัว ญาติ เพื่อน พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนในอินเทอร์เน็ตเองก็ด้วย มากกว่าการโฆษณาของแบรนด์
ในช่วงแรก ๆ Butterfield ก็ใช้ประโยชน์จากการบอกต่อนี่แหละมาทำการตลาดให้กับ Slack ผ่านการติดต่อกับคอนเนคชั่นที่เขามีกับบริษัทต่าง ๆ รวมถึงสื่อมวลชนด้วย เพื่อให้ข่าวเกี่ยวกับแพลตฟอร์มใหม่ของเขาที่กำลังปล่อยออกมา
นอกจากนี้ เขายังทำตัวเป็น Influencer เสียเอง เพื่อไปบอกต่อให้เพื่อน ๆ ที่เป็นผู้ประกอบการบริษัทต่าง ๆ ของเขาให้มาลองใช้ Slack ดู จากเหล่าผู้คนคอนเนคชั่นที่เขามี และการพูดกันแบบปากต่อปากเหล่านี้ ส่งผลให้มีคน 8,000 คนมาลงทะเบียนทดลองใช้งาน Slack ในวันแรกที่เปิดตัว ยัง แค่นั้นยังไม่พอจำนวนตัวเลขผู้ใช้งานก็เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าภายใน 2 สัปดาห์อีกด้วย
Marc Andreessen นักลงทุนของ Slack ได้ทวีตแผนภูมิที่มีผลการเติบโตเพราะการตลาดแบบปากต่อปากของบริษัท เมื่อเดือนสิงหาคม 2014
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51b9ebbf7110cc9bac2c_FfG_lCB2qjNS5t4_3pKpjBuwwpQ0NGhsvt_aIdb8MvrNOwDCQgEXhjw55izoGRA7oiIcGy9WgAXQ3O5ysk0gIO8qX-gfM6eFL_COBXPtwv2CoL-LyDRlY5u9rRHcyF_jiKFC9z0Q.png)
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่การบอกเล่าปากต่อปากเท่านั้นที่ทำให้เกิดการเติบโตนี้ขึ้นมา แต่ Slack ก็ยังใช้เครื่องมือโซเชียล เช่น Twitter เพื่อเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง และผลักดันการเข้าชมโดยตรงไปยังเว็บไซต์อีกด้วย
และการสร้างกระแสในโลกออนไลน์จะเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ต่อแบรนด์ เพราะเป็นการยืนยันทิศทางของตัวผลิตภัณฑ์เองด้วยว่าจะเป็นไปในทางบวกหรือลบ จากการบอกเล่าแบบปากต่อปากของผู้คนโดยเฉพาะบน Twitter และเว็บไซต์รีวิวที่มีความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาของผู้คนอยู่ในนั้น
“เราเดิมพันอย่างมากบน Twitter ถึงแม้ว่าบางคนจะดิ้นรนอย่างมาก เพื่อให้คนมารู้จักเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ จริง ๆ แล้ว การบอกเล่าปากต่อปากจะทำให้คนเพียงไม่กี่หยิบมือเท่านั้นมารู้จักเรา แต่ถ้ามีคนทวีตเกี่ยวกับเราบน Twitter คำพูดทวีตเหล่านั้นก็จะมีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันคนที่ได้เห็น” — Butterfield, CEO of Slack
2. เร่งการเติบโตผ่านการผสมผสานกับซอฟต์แวร์ตัวอื่น (Piggyback Marketing)
Piggyback Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดโดยใช้ช่องทางอื่นในกลุ่มตลาดที่เกี่ยวข้องในการแสดงผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่ง Slack ก็ได้ใช้การทำการตลาดแบบนี้กับแบรนด์ตัวเองเหมือนกัน
กล่าวคือ Slack มีการผสมผสาน (Integration) กับซอฟต์แวร์ตัวอื่น ๆ มากกว่า 1,000+ เจ้า เช่น Asana, Zapier, Google Hangouts, Jira, MailChimp, Clickup หรือ GitHub เป็นต้น จากการทำงานร่วมงานกับเครื่องมืออื่น ๆ ก็ทำให้ Slack เอง มีการแจก API ให้ไปประยุกต์ต่อเองได้ด้วย และทำให้มีพาร์ทเนอร์มากขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทไปได้ไกลขึ้นอีกด้วย
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51b9b20586804ff121cf_6BpiapRu1GfIheHKn3AWsfmFpjTPlF6GQmul1kKRGm6hhlzlqLbFhz0M6DHymoX8SHcm9xIEdqUnIxAstsUF9o75y_xVDTV4Siot_8ky5-d40vX0awDlecDeLolYN11lI9VNDWQE.png)
และยังเป็นการเพิ่มการ Referral ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ของตัว Slack เอง คือ ถ้าผู้ใช้งานค้นหาซอฟต์แวร์เจ้าที่ไป Integrate กับ Slack จาก Search Engine ต่าง ๆ มันก็จะมีชื่อของ Slack แปะอยู่บนหน้าค้นหาด้วย ตัวอย่างเช่น หากใครก็ตามค้นหา Zapier ใน Google ก็จะพบ Zapier-Slack App Directory ที่แสดงเป็นหนึ่งในผลการค้นหาบนหน้าของ Google
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51baabe257b773da86d4_wpLrf_ozSe1rRy2maLMDR5W3bbp3tXDxex-11Tk73AV7sgOFybSdc07yt-BQ6g-_bJadc1bV7cpung4-Onpqp6JJTmM_QUf-jtnXTnHRCZn9EZTdRTR6gLlH8UpzW9vkY0tuID4v.png)
นอกจากนั้น อีกหนึ่งข้อดีจากการที่ Slack ไป Integrate กับซอฟต์แวร์อื่น ๆ นั่นคือ เนื่องจาก Slack เป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันบนคลาวด์ที่เปิดใช้งานการสื่อสารพร้อมกันบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งทีมงานทุกคนสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ในการส่งมอบบริการ สนับสนุนขั้นตอนการทำงานขององค์กร กระบวนการเตรียมความพร้อม (Onboarding) กับลูกค้า และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ในเมื่อ Slack ไป Integrate กับซอฟต์แวร์ตัวอื่นแล้ว เราก็สามารถดึงข้อมูลจากแพลตฟอร์มนั้น ๆ นำมาใช้ได้เลย และยังทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เร็วขึ้นอีกด้วย นับว่าสะดวกมากสำหรับการใช้งานขององค์กรที่มีข้อมูลอยู่ในหลาย ๆ แพลตฟอร์ม มันทำให้เราสามารถทำงานได้จบภายในที่เดียว (สามารถดู Demo การ Integrate ของ Slack ได้ ที่นี่)
3. เข้าซื้อผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง
Slack ไม่ใช่เจ้าเดียวที่ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการสื่อสารของทีมเท่านั้น แต่ยังมีผู้ให้บริการเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Atlassian หรือ Microsoft อีกที่ทำบริการแบบเดียวกันขึ้นมาอีก และถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวเลยทีเดียว
ในเดือนกรกฎาคม 2018 Slack ได้มีการเข้าซื้อทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ที่เป็นเบื้องหลังของ Hipchat และ Stride จากบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ Atlassian ที่เป็นเสมือนคู่แข่งสำคัญในบริการแชทสนทนาในที่ทำงาน โดย Hipchat และ Stride ได้ปิดตัวลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ที่ผ่านมา และย้ายฐานผู้ใช้งานทั้งหมดมาที่ Slack นอกจากนั้นทั้งสองบริษัทก็จะทำงานร่วมกัน เพื่อการรวมตัวระบบเข้ากันในอนาคตอีกด้วย
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51ba91ea45ce6a3a417c_M6CPQRhMa8pvE69fd33p-FQGk9vzvMswcwnpnqPn5f9jAq3ZK3wBHJyrau0GRtb9HLIZoB4nS5KdDnpxrmn8QjlS3rAbgU8duBIrqZ52aTrMpEr8Gkgl9gukbL4lvGPkD6ESORJj.png)
นี่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญมากสำหรับ Slack เนื่องจากถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ครองตลาดในปัจจุบันอยู่แล้ว แต่ทาง Slack เองก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันในการแข่งขันจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Microsoft Team, Google Hangouts Chat, Workplace by Facebook และ Cisco Webex Teams
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51baba1aa5026c729a78_SfEUkRoTkmufytoFwYIACpNMEZmZbJ9F_J1ebxBoGriMb-DT9gR9D1F46pR1KpYobzVU5gH8uTF-S0WJWmUdODG244Dw9pDpJ-DyUkZaGyxBNXH3fl9UtMEi57o5TfuCNqOMyYcU.png)
การลบคู่แข่งออกไปอีกหนึ่งเจ้าก็ถือว่าเป็นการส่งข้อความอันทรงพลังไปถึงบริษัทอุตสาหกรรมด้านการสื่อสารองค์กรอีกด้วย ซึ่งในอนาคตเราก็อาจจะได้เห็นปฏิกิริยาอะไรบางอย่างจากทั้งบริษัท Startup ที่เกิดใหม่ รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ให้บริการแบบเดียวกัน
และที่สำคัญ การเป็นพันธมิตรกับองค์กรเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งอย่าง Atlassian จะช่วยให้ Slack มีความน่าเชื่อถือในการดึงดูดองค์กรขนาดใหญ่และการสนับสนุนทางการเงินที่จำเป็น เพื่อที่จะกำจัดความท้าทายจากคู่แข่งที่มีเงินมากพอที่จะมาลงสนามแข่งกันในอนาคตอีกด้วย
ในเมื่อ Slack ยังมีแนวคิดแบบนั้นได้เลย แล้วทำไมบริษัทใหญ่ ๆ จะคิดแบบ Slack ไม่ได้
เมื่อเดือนธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา Slack กลับโดน Salesforce ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการด้าน CRM แบบครบวงจร ขอซื้อธุรกิจ Slack ไปด้วยเงิน 8.3 แสนล้านบาท แต่ใครจะรู้ว่า Stewart Butterfield CEO ของ Slack ก็ยอมรับข้อเสนอนี้แต่โดยดี
นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาขัดสนทางการเงินแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าเขามองเห็นโอกาสในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จะทำให้องค์กรยุคใหม่ทำงานได้เร็วขึ้น ลดขั้นตอนความวุ่นวาย ด้วยการรวมเอาข้อดีในการสื่อสารของ Slack และฟีเจอร์เด็ด ๆ ของ Salesforce ไว้ในที่เดียว
(อ่านเบื้องหลังการจับมือกันของ Salesforce และ Slack เพิ่มเติมได้จากบทความ เปิดเบื้องหลังดีลแห่งปี ! เพราะอะไรที่ทำให้ Salesforce ตัดสินใจซื้อ Slack ด้วยเงิน 8.3 แสนล้านบาท)
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/5fcf3b6b182648884de89677_vmble78PIG86FBrFRke9muq2Vp0eG164_cchfwajbD4VzpadoUy_vp3lPcZE4CTIP0--fwAonFYSmQrTk4M0VZmcQTk2f07EqT_4tVopseDtcWNPyJr7qOjjf1vmFqnHhzIo-Pmt.png)
4. รับฟัง Feedback ของลูกค้า
Slack เก็บทุกความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ใช้รุ่นแรก ๆ นำมาปรับปรุงทั้งในด้านของตัวผลิตภัณฑ์, User Interface, ประโยชน์ และประสิทธิภาพของโปรแกรม
ซึ่งใครก็ตามที่ส่งอีเมล Feedback มาหาทีม Slack พวกเขาจะตอบกลับอีเมลทุกฉบับที่ได้รับมา รับฟัง และให้ความช่วยเหลือลูกค้าเหล่านั้นอย่างเต็มที่ ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสในการปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาผลิตภัณฑ์ของเขาไปในตัวอีกด้วย
จากการรับฟังลูกค้า บริษัทสามารถสร้างซอฟต์แวร์ที่ตลาดต้องการได้อย่างเต็มที่ แม้กระทั่งในปัจจุบัน Slack ก็รับฟังและเคารพต่อทุก ๆ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งมันกลายเป็น DNA ของบริษัทไปแล้ว
และ Slack เชื่อว่าทุกการตอบโต้กับลูกค้าคืออีกหนึ่งโอกาสทางการตลาด ถ้าหากบริษัทสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ให้กับลูกค้า แล้วพวกเขาเกิดความประทับใจขึ้นมา พวกเขาจะแนะนำบอกต่อแบรนด์เองโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องทำการตลาดมากมายเลย
![](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51ba862d0819097db470_sl6pO79OmuGb0pHY5GOqHl2XWYgUBo3mwxfSLICXjWhndgxUs1O1prmOkPQgksLQLwBtYVfOwBwfNbZ6UWSqzrNZSPj1AyYj3FNgGQ2l6zcntxgSYrPKJQdc46ctlivqAM2UnVBC.png)
The Growth Master พาไปดู
วันนี้เราจะพาไปดู Tech Stack ที่ Slack ใช้กันว่ามีอะไรบ้าง ซึ่ง Slack เป็นองค์กรที่พัฒนาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์เพราะฉะนั้นเขาจึงใช้ Tools ในหมวดของ Application and Data เยอะที่สุด จำนวน 35 Tools รองลงมาคือ Utilities และ DevOps จำนวน 11 Tools เท่ากัน (สามารถดู Tools ทั้งหมดได้ ที่นี่)
และสุดท้ายหมวด Business Tech Stack วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จัก Tech Stack ในหมวดนี้จำนวน 5 Tools ด้วยกัน แต่แน่นอนว่า ในเมื่อเขาพัฒนาแอปพลิเคชันด้าน Management ขึ้นมา เขาก็ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองอยู่แล้ว แต่เราไปดูตัวอื่นเพิ่มกันเลยดีกว่า
![slack tech stack](https://cdn.prod.website-files.com/5ef30243b02a260f4e3aded8/600a51ba61c87744134d4108_we2MuXyzxs1Aj8e3ymugvMvWsDe4KNEc2NtOfGM1UQ2lJAB9Rl_9I8D_RjoDG4b0fujfFBbMiaPEht1C9FtQsVJqB0TJSunm4cAwi1jx5tE0Aq4DpPATEyv4O8BYNAVrL0Aqs8LR.png)
Zendesk - ซอฟต์แวร์ Help Desk เป็นระบบที่ช่วยในด้าน Customer Support, Customer Service หรือ CRM สำหรับธุรกิจออนไลน์ทุกประเภท โดยทำงานบนระบบ Cloud ที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรและเพิ่มความพึงพอใจให้กับฝั่งลูกค้าหรือเจ้าหน้าที่ Support ของคุณเองอีกด้วย
AdRoll - เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แพลตฟอร์ม E-Commerce เติบโตขึ้น โดยจะช่วยให้สามารถเชื่อมต่ออัตโนมัติในการเข้าถึง วิเคราะห์ และวัดผลของ Customer Journey ทั้งหมดบนเว็บ และดูได้ว่า Last Click ของลูกค้าอยู่ตรงไหนก่อนเกิด Conversion
Delighted - ซอฟต์แวร์ที่ช่วยรวบรวม Feedback จากลูกค้าของคุณภายในไม่กี่นาที โดยให้ลูกค้าทำแบบสำรวจ ซึ่งพวกเขาจะให้คะแนนสินค้าหรือบริการของเรา และให้ Feedback กลับมา และ Feedback เหล่านี้นี่แหละจะโชว์บน Dashboard ทันที
Respondly (ชื่อใหม่ Buffer Reply) - ซอฟต์แวร์ Social Media Management เพื่อจัดการบัญชีในโซเชียลมีเดีย โดยสามารถกำหนดเวลาการโพสต์ไปที่โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Twitter, Facebook, Instagram, Instagram Stories, Pinterest และ LinkedIn รวมถึงวิเคราะห์ผลลัพธ์ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และลูกค้าอีกด้วย
สรุปทั้งหมด
ในปัจจุบันด้วยความที่เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น เราก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมในการทำงานร่วมกันภายในองค์กร ผู้คนเริ่มที่จะเลิกใช้อีเมลและเริ่มออกห่างจากช่องทางเดิมที่พวกเขาเคยได้รับประสบการณ์และมีการเชื่อมต่อที่ไม่ดี มายังแพลตฟอร์มใหม่ที่ทำให้องค์กรและทีมงานมีการทำงานที่ง่ายและสะดวกขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น Slack เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถตอบโจทย์การทำงานสำหรับองค์กรต่าง ๆ ได้ดีเลยทีเดียว ใครจะรู้ล่ะว่าจากจุดเริ่มต้นที่ Slack เป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนามาใช้ติดต่อสื่อสารกันภายในองค์กรของตัวเอง จะกลายมาเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้การทำงานขององค์กรต่าง ๆ ในโลกมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเราคงต้องจับตาดูต่อไปว่า เมื่อ Salesforce เข้ามาซื้อ Slack ไปแล้วนั้นจะทำให้มีฟีเจอร์อะไรดี ๆ เพิ่มขึ้นและวงการ CRM จะสั่นสะเทือนไปมากกว่านี้หรือไม่