การนับ 0 ไป 1 ยากกว่า 1 ไป 2 เสมอ การทำธุรกิจขายของออนไลน์เช่นกัน
เพราะธุรกิจร้านค้าออนไลน์ไม่ใช่แค่การรับออร์เดอร์และขายไปเท่านั้น แต่ต้องอาศัยระบบหลังบ้านมากมายเพื่อช่วยให้สามารถจัดการกับสต็อกได้ง่ายขึ้น ซึ่งแตกต่างกับการขายที่หน้าร้าน การมีเว็บไซต์ร้านค้า ระบบชำระเงิน การขนส่งที่น่าเชื่อถือ รวมถึงการทำการตลาดออนไลน์ต่าง ๆ
แม้ว่าหลาย ๆ ร้านอาจเริ่มต้นจากการทำสิ่งเหล่านี้ด้วยการทำมือ เพราะประหยัดมากกว่า เช่น การจดออร์เดอร์, ทำ Excel นับสต็อก, แคปหน้าจอไลฟ์แล้วส่งออร์เดอร์ให้ลูกค้าทีละคน หรือการพิมพ์ใบจ่าหน้าพัสดุด้วยตนเอง แต่ปัจจุบันที่ธุรกิจต่าง ๆ สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ธุรกิจเราเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคู่แข่งรายอื่น ๆ ในตลาด และการนำเครื่องมือเข้ามาช่วยจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้
จากเครื่องมือที่มีให้เลือกหลากหลาย เราควรจะหยิบตัวไหนมาใช้เพื่อครองพื้นที่การตลาด?
ปัจจุบันเครื่องมือต่าง ๆ ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวช่วยในการทำธุรกิจขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างเว็บไซต์ ระบบจัดการคลังสินค้า หรือสำหรับทำการตลาดต่าง ๆ ซึ่งการใช้เครื่องมือหลายอย่างประกอบกันนี้ ก็ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และอาจเพิ่มขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
SHOPLINE เครื่องมือสำหรับธุรกิจ E-Commerce แบบครบวงจร จะช่วยให้คุณสามารถเริ่มต้นธุรกิจขายของออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องเสียเวลาตามหาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มาใช้ เพราะมีการวางระบบฟีเจอร์มีประสิทธิภาพและครบเครื่อง ตั้งแต่การสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเอง การจัดการสต็อกสินค้าและคำสั่งซื้อต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างแคมเปญโฆษณาที่จะพาลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าของเราอีกครั้ง
เริ่มต้นทดลองใช้งาน SHOPLINE ได้ทีนี่
รู้จักกับ SHOPLINE
SHOPLINE คือ Smart Commerce Platform สัญชาติฮ่องกง ที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถเริ่มต้นธุรกิจทั้งในและนอกประเทศให้จบได้ในเครื่องมือเดียว โดยจะแบ่งเครื่องมือออกเป็น 2 ชุด คือ Social Live-Commerce สำหรับธุรกิจที่ต้องการเน้นการขายผ่านโซเชียลและการไลฟ์สด และ Website E-Commerce สำหรับธุรกิจที่ต้องการขายผ่านเว็บไซต์หน้าร้านของตัวเอง
“เครื่องมือที่ครบวงจร” ในที่นี้ หมายความว่า SHOPLINE สามารถทำได้ตั้งแต่การออกแบบเว็บไซต์ Ecommerce ที่มีระบบจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับการขายของออนไลน์ ช่วยให้ร้านค้าสามารถจัดการสินค้าต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบและง่ายขึ้น ในทุกขั้นตอนของการขาย
และยังมี Dashboard สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่จะทำให้เราขายของได้อย่างถูกจุดและถูกคน ทำให้ธุรกิจมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้ ออร์เดอร์ของสินค้าต่าง ๆ ในแต่ละเดือน หรือพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า เช่น การรู้ว่าลูกค้าแต่ละคนชอบซื้อสินค้าชนิดใด สามารถนำไปจัดโปรโมชันคู่กับสินค้าประเภทที่ใช้ร่วมกันได้ หรือ ส่งดีลพิเศษของสินค้าประเภทเดียวกันที่มีราคาสูงขึ้น ยิ่งเป็นลูกค้าประจำที่มีความเชื่อมั่นในแบรนด์ ก็ยิ่งทำให้เกิดการซื้อขายได้ง่าย เป็นต้น
โดย SHOPLINE ก่อตั้งในปี 2013 เป็นแพลตฟอร์ม E-commerce เจ้าแรกที่ได้ร่วมพาร์ทเนอร์กับ Google ประเทศจีนในปี 2017 และยังเป็นพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการกับ Facebook ในด้าน Sales & Marketing ทำให้ระบบการขายต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับ Facebook เป็นไปตามนโยบายรักษาความปลอดภัย
สรุปรวม 9 ฟีเจอร์เด่น ทำไมถึงควรใช้ SHOPLINE?
1. การออกแบบเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ พร้อมตัวช่วยในการทำ SEO
ประโยชน์ของการมีเว็บไซต์ที่หลาย ๆ คนอาจนึกไม่ถึงคือ การมีเว็บไซต์ร้านค้าสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือ เสริมภาพลักษณ์และความมั่นใจให้กับลูกค้า นั่นจึงเป็นเหตุให้แบรนด์ใหญ่ ๆ มักจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองเสมอ
ซึ่งบน SHOPLINE การสร้างเว็บไซต์ร้านค้าก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องเขียนโค้ด ด้วยการเลือกใช้เทมเพลตสร้างร้านค้า หรือจะทำการปรับแต่งผ่านระบบลากวางหรือ Drag & Drop โดยเว็บไซต์ที่ถูกสร้างมานี้จะเชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านของ SHOPLINE โดยตรง ที่สำคัญอีกอย่าง คือ ระบบหลังบ้านนี้มีตัวช่วยในการทำ SEO ทำให้ไม่ต้องตามหาเครื่องมืออื่น ๆ มาติดบนเว็บไซต์เองให้วุ่นวาย เพิ่มโอกาสทางการขายในระยะยาว
บทความที่เกี่ยวข้อง: SEO คืออะไร ? เปิดคัมภีร์ SEO ฉบับอัปเดตปี 2021 อธิบายแบบเข้าใจง่าย จบในบทความเดียว
2. ระบบการจัดการร้านค้าออนไลน์ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการขาย
โดยปกติ ร้านค้าที่ไม่ได้ใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการคลังสินค้า อาจใช้วิธีนับสต็อกสินค้าด้วยการทำ Excel ซึ่งเมื่อมีออร์เดอร์เยอะขึ้น การนับสต็อกสินค้าเองก็เป็นเรื่องที่วุ่นวายมากขึ้น ต้องตรวจสอบหลายครั้งเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นนับสต็อกพลาด สินค้าหมด แต่ไม่อัปเดตในแพลตฟอร์มการขาย หรือปัญหาที่พบได้บ่อยอย่างโอนเงินแล้ว แต่ออร์เดอร์ตกหล่นทำให้ผู้ซื้อไม่ได้รับสินค้า เป็นต้น
SHOPLINE จึงมีระบบต่าง ๆ ที่จำเป็นกับธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ทั้งการจัดการคำสั่งซื้อ ระบบสินค้าคงคลังพร้อมการแจ้งเตือนเมื่อสต็อกสินค้าหมด การชำระเงินที่ครอบคลุมตั้งแต่การชำระเงินผ่านธนาคาร, เก็บปลายทาง, และบัตรเครดิต (ด้วย Omise) รวมไปถึงระบบการรีวิวสินค้าที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การรีวิวจากผู้ใช้จริงนั้นมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
ทั้งหมดนี้ถูกรวมอยู่ในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้ร้านค้าไม่ต้องหาหรือซื้อเครื่องมืออื่น ๆ มาเชื่อมต่อเพิ่มเติม ซึ่งต่างจากการสร้างเว็บไซต์ปกติที่ต้องนำระบบการจัดการต่าง ๆ มาเสริมเอง
3. การขนส่งที่ง่ายดายและประหยัดเวลา
หนึ่งในขั้นตอนที่ขึ้นชื่อว่า เหนื่อยยากที่สุดสำหรับใครหลายคนคงไม่พ้นการแพ็กของที่ต้องพิมพ์ใบจ่าพัสดุของลูกค้าทีละคน แต่ด้วย SHOPLINE การสั่งพิมพ์ใบจ่าพัสดุจะเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะเป็นพาร์ทเนอร์กับ ONESHIP สามารถเชื่อมต่อกับบริษัทขนส่งชั้นนำทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Kerry, Flash, DHL จึงสามารถดึงข้อมูลออกมาจากระบบหลังบ้านเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ ทำให้ใบจ่าพัสดุแต่ละใบถูกส่งเข้าไปในระบบของบริษัทขนส่งได้เลย พร้อมทั้งมีการอัปเดตสเตตัสการจัดส่งให้อัตโนมัติ
4. ระบบ CRM ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
เคล็ดลับในการทำธุรกิจไม่ใช่แค่การหาลูกค้าใหม่เท่านั้น แต่การดูแลลูกค้าเก่าก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญ เพราะคนเหล่านี้คือกลุ่มคนที่จะกลับมาซื้อซ้ำ และนี่คือสิ่งที่เรียกว่า ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน รวมถึงการดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ตัดสินใจนำเสนอรูปแบบการขายสินค้าหรือเพื่อสร้างแคมเปญทางการตลาดได้ง่ายขึ้น
ประกอบกับระบบ Loyalty ภายในตัวที่สามารถจัดลำดับสมาชิกได้ถึง 5 ระดับ และมีการสะสมแต้มเพื่อแลกซื้อสินค้าหรือรับส่วนลดผ่านเว็บไซต์ โดยการจัดลำดับสมาชิกนี้จะช่วยให้เราสามารถนำมาทำเป็นแคมเปญหรือส่วนลดสำหรับสมาชิกแต่ละประเภทที่แตกต่างกันออกไปได้
นอกจากนี้ยังมี ฟีเจอร์เสริมอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ การสมัครรับการแจ้งเตือนเมื่อรีสต็อกสินค้า ซึ่งทำให้ลูกค้ากลับมาในลูปของธุรกิจอีกครั้งได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
5. การเชื่อมต่อกับเครื่องมือทางการตลาดต่าง ๆ
การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเป็นอีกหนึ่งพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้แบรนด์สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกแต่ละเมทริกซ์โดยการเข้าไปดูข้อมูลผ่านหลาย ๆ เครื่องมือ เช่น เข้าไปดูที่ระบบหลังบ้านของเพจ Facebook แล้วจึงเข้าไปดูข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่ Google Analytics
แต่ด้วยการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Google และ Facebook ระบบของ SHOPLINE จึงสามารถเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่จำเป็นได้ง่ายกว่าที่เคย เช่น Facebook Pixel, Google Analytics และ Google Ads ทำให้สามารถเข้าไปดูข้อมูลในหน้า Dashboard ของแพลตฟอร์มเหล่านั้น โดยคลิกผ่าน SHOPLINE ได้เลย เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นและไม่เคยเชื่อมต่อกับเครื่องมือเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง
6. Smart Ads ตัวช่วยยิงโฆษณา
สำหรับคนที่เริ่มทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่อาจจะยังไม่ชำนาญในการยิงโฆษณา ทั้งคนที่ไม่เคยยิงหรือลองยิงแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากมีฟีเจอร์ให้เลือกใช้หลากหลายมากไป และการตั้งค่าอันมากมาย บางรายอาจจะไม่ได้ตั้งการจำกัดงบ รู้ตัวอีกทีก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับค่าโฆษณาเกินกว่าที่คิด
SHOPLINE จึงมีฟีเจอร์ Smart Ads ที่จะเป็นผู้ช่วยให้ร้านค้าสามารถยิงโฆษณา ด้วยรูปแบบหน้าที่ใช้งานได้ง่ายมากกว่า แต่เก็บครบทุกฟีเจอร์สำคัญสำหรับการเพิ่มยอดขาย ช่วยให้ทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook หรือโฆษณาผ่าน Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่มเป้าหมาย และปลอดภัย เพราะ SHOPLINE เป็นพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการของ Facebook ในด้าน Sales and Marketing
อีกทั้งยังมีระบบเครดิตบน Smart Ads เป็นการเติมเงินเข้ากระเป๋าของคุณบน SHOPLINE ทำให้ทุกคนสามารถยิงโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้แม้ไม่มีบัตรเครดิต ตัดตามค่าใช้จ่ายจริงทางโฆษณา และช่วยจำกัดงบโฆษณาในเบื้องต้นให้โดยอัตโนมัติ (สามารถเพิ่มเครดิตได้) ไม่มีทางที่งบจะบานปลายอย่างแน่นอน
7. Social Live-Commerce ส่งเสริมการขายผ่านไลฟ์
ปัจจุบันการขายของผ่านสื่อโซเชียลและการไลฟ์สดเริ่มเป็นที่นิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในตลาดแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าหลายรายอาจเคยเจอกับปัญหาการส่งข้อมูลสินค้าให้กับลูกค้าไม่ครบทุกคน เพราะอาจไม่เห็นคอมเมนต์ CF, คอมเมนต์เยอะเกินจนทีมงานส่งข้อมูลสินค้าไม่ทัน หรือ ปัญหาที่ลูกค้าอาจมีส่วนร่วมกับการไลฟ์ไม่มากเท่าไหร่นัก
SHOPLINE จึงมีฟีเจอร์ที่จะช่วยเพิ่ม Engagement ได้ผ่าน Social Live-Commerce ทั้งระบบดูด CF เมื่อลูกค้าพิมพ์รหัสสินค้าในไลฟ์ จะมีการส่งแชทพร้อมกับลิงก์สั่งซื้อสินค้าเข้าไปใน Inbox ของลูกค้าโดยอัตโนมัติทันที เพื่อป้องกันปัญหาส่งข้อมูลไม่ทันหรือแชทตกหล่น รวมถึงมีกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างการสตรีมมิ่ง ทั้ง Live Quiz, Golden Minute, และ การประมูล (Bidding) เพื่อให้การไลฟ์ดูน่าสนใจ และยังช่วยเพิ่มยอดผู้เข้าชมให้ร้านอีกด้วย
เริ่มต้นทดลองใช้งาน SHOPLINE ได้ทีนี่
8. ฟีเจอร์ Posts Commerce
สำหรับร้านค้าที่มีการขายผ่านการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ก็สามารถใช้ฟีเจอร์ Posts Commerce ระบบดูดคอมเมนต์ ตั้งคีย์เวิร์ดเป็นรหัสสำหรับสินค้าแต่ละชิ้น เมื่อลูกค้าคอมเมนต์รหัสใต้โพสต์สินค้า ก็จะมีการส่งคำสั่งซื้อเข้าไปใน Inbox ของลูกค้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งปกติจะมีขั้นตอนที่มากกว่า ตั้งแต่แคปภาพ นำไปสอบถามทาง Inbox ทำให้หลายครั้งที่ลูกค้าหลุดไปจากขั้นตอนนี้ ฟีเจอร์นี้จึงช่วยให้ลูกค้าเริ่มต้นกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น เพิ่ม Engagement บนโพสต์ และทำให้มีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้นด้วย
9. Message Center ศูนย์รวมข้อความจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียว
ฟีเจอร์ Message Center หรือศูนย์รวมข้อความ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาจากการขายของออนไลน์หลายช่องทาง ซึ่งก็คือการที่พ่อค้าแม่ค้าต้องคอยเข้าไปตอบตามช่องทางการขายต่าง ๆ นั้นอาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาด เช่น การส่งผิดแชท ได้ การมีศูนย์รวมข้อความจากทุกช่องทางให้สามารถจัดการได้ในที่เดียวจะช่วยลดเวลา ลดขั้นตอน ลดข้อผิดพลาดและประหยัดทรัพยากรบุคคลหรือแอดมินของช่องทางต่าง ๆ และช่วยให้ลูกค้าติดต่อกับร้านค้าได้รวดเร็วขึ้นไปอีก
โดย Message Center เป็นศูนย์รวบรวมคอมเมนต์และข้อความ จากทั้ง Facebook, Instagram และ Line Official Account ซึ่งแต่ละแชทก็สามารถมอบหมายให้แอดมินดูแลโดยอัตโนมัติ หรือสร้างออร์เดอร์ ส่งลิงก์ชำระเงินสินค้าไปหาผู้ซื้อได้ง่าย ๆ ภายในไม่กี่คลิกผ่านช่องทางเดียวได้เลย
รีวิวจากการทดลองใช้งานของ The Growth Master
หลังจากที่ได้ทดลองใช้งานตัว SHOPLINE สิ่งที่ The Growth Master รู้สึกได้คือผลิตภัณฑ์ของ SHOPLINE สร้างขึ้นมาจาก Pain Point ที่เกิดจากการทำธุรกิจ Ecommerce จริง ๆ ในหลากหลายแง่มุม แต่ด้วยความที่ซอฟต์แวร์มีขนาดใหญ่ อีกนัยหนึ่งก็คือมีฟีเจอร์เยอะนั่นเอง อาจทำให้การใช้งานสำหรับผู้เริ่มต้นค่อนข้างยากเล็กน้อยในการทำความเข้าใจแต่ละจุด (แต่ SHOPLINE มีทีมซัพพอร์ตช่วยเหลือลูกค้าอยู่แล้ว)
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเริ่มต้นด้วยซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก ค่อย ๆ เสริมทีละจุด จะดีในแง่ของงบประมาณช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อธุรกิจมีการขยายตัว แน่นอนว่าซอฟต์แวร์เหล่านั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับในจุดนี้ หากมองในระยะยาว การใช้งานเครื่องมือที่มีความรอบด้านนั้นมักจะได้ผลที่ดีมากกว่า เพราะ ไม่ต้องคอยหาเครื่องมือเข้ามาเสริม ไม่ต้องเสียซอฟต์แวร์หลายต่อ (ตัวเล็ก ๆ รวมกันแล้วอาจจะแพงกว่า หรือ มาคำนวณความยากในการใช้ตัวเดียวจบ กับ ใช้หลาย ๆ ตัวรวมกัน อย่างหลังมักจะไม่คุ้ม) อีกกรณีหนึ่งคือความยุ่งยากในการเปลี่ยนซอฟต์แวร์ เพราะการย้ายฐานข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาสั้น ๆ และมีความวุ่นวายมากยิ่งขึ้นถ้าระบบในการลงข้อมูลแตกต่างกัน
จากมุมมองของเรา การใช้งานตัว SHOPLINE จะเหมาะกับร้านค้าที่ต้องการเครื่องมือที่ครอบคลุมและจริงจังกับการวางระบบในระดับหนึ่ง เพื่อสร้างฐานที่แข็งแรง ติดตามทุกจุดได้ง่าย และเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจในยุคที่โลกออนไลน์มีอิทธิพลไม่ต่างจากโลกจริง
สรุป
การทำงานบน SHOPLINE จะเป็นการทำงานภายใต้ระบบเดียวกันทั้งหมด หรือที่เรียกว่า Ecosystems ที่ทุกอย่างเป็นของ SHOPLINE ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่มีระบบการจัดการที่ครอบคลุม หรือการใช้สื่อโซเชียลอย่าง Facebook ในการขายและทำการตลาด ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างแต่ละส่วนเป็นไปได้อย่างราบรื่น
SHOPLINE จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับการทำธุรกิจ E-Commerce แบบครบวงจร เพราะขับเคลื่อนด้วย Ecosystems ภายในตัวเอง ตั้งแต่การสร้างเว็บไซต์ไปจนถึงการส่งสินค้า รวมถึงการสร้างแคมเปญเพื่อพาลูกค้ากลับมาอยู่ในลูปของธุรกิจ ช่วยให้ร้านค้าประหยัดเวลา เพื่อไปโฟกัสกับการต่อยอดและขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะจัดการทุกอย่างให้จบได้ในตัวเดียว
เริ่มต้นทดลองใช้งาน SHOPLINE ได้ทีนี่