เรียกได้ว่าเป็นก้าวต่อไปของการเติบโตสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สำหรับ Ninja Van สตาร์ทอัปด้านโลจิสติกส์ การขนส่งพัสดุ สัญชาติสิงคโปร์ ที่ปัจจุบันก็มีการให้บริการในตลาดประเทศไทยมาสักพักแล้วด้วย
เนื่องจากล่าสุด Ninja Van ได้รับเงินระดมทุนก้อนใหม่เป็นจำนวนสูงถึง 578 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่รอบ Series E อย่างเต็มตัว โดยผู้ลงทุนในครั้งนี้นำมาโดยยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจ E-Commerce ของเอเชียอย่าง Alibaba Group และบริษัท Venture Capital อื่น ๆ ร่วมด้วย
โดยการได้รับเงินระดมทุนในครั้งนี้ Ninja Van จะนำเงินที่ได้มาไปใช้เพื่อการพัฒนา ปรับปรุงระบบโครงสร้างและเทคโนโลยีขององค์กร ให้พร้อมสู่การขยายสเกลการเติบโตสู่ตลาดเอเชียมากขึ้นในอนาคต แต่ประเด็นนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจหรือเป็นแนวทางให้ธุรกิจสตาร์ทอัปอื่น ๆ อีกบ้าง ไปติดตามต่อได้เลย
รู้จัก Ninja Van สตาร์ทอัปด้านการขนส่งพัสดุ ที่กำลังมาแรงในตลาดเอเชีย
สำหรับใครที่เคยใช้งานแอปพลิเคชันชอปปิ้งออนไลน์อยู่เป็นประจำ เช่น Shopee, Lazada น่าจะคุ้นเคยกับ Ninja Van เป็นอย่างดี ในฐานะตัวเลือกในการเป็นผู้ขนส่งสินค้าหรือพัสดุที่เราสั่งให้ส่งตรงมาถึงหน้าบ้านของเรา (แม้บางคนอาจมองว่าบริการยังไม่ประทับใจเท่าผู้ขนส่งเจ้าอื่น ๆ)
ซึ่งจริง ๆ แล้ว Ninja Van คือบริษัทสตาร์ทอัปด้านโลจิสติกส์ สัญชาติสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 หรือเกือบ 7 ปีที่แล้ว มีพื้นที่ให้บริการส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ รวมถึงประเทศไทย ก็เป็นพื้นที่ให้บริการของ Ninja Van ด้วยเช่นกัน
โดย Ninja Van มีแพลตฟอร์มให้บริการด้านการขนส่งด้วยตัวเอง ทั้งในรูปแบบของแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ เพื่อให้บริการติดตามสถานะการจัดส่ง และมีจุดรับ-ส่งพัสดุ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานด้วย
ซึ่งในปัจจุบัน Ninja Van เป็นสตาร์ทอัปที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาไม่ถึง 7 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท มีพนักงานตอนนี้รวมกว่า 61,000 คน มีพัสดุส่งมากกว่าวันละ 2 ล้านชิ้น มีผู้ส่งสินค้ามากกว่า 1.5 ล้านคนและผู้รับประมาณ 100 ล้านคนจากพื้นที่ให้บริการทั้งหมด
ที่ต้องบอกว่าแม้ในประเทศไทย ชื่อเสียงของ Ninja Van อาจจะไม่ใช่ผู้ให้บริการขนส่งที่เป็นที่นิยมมาก (เพราะเพิ่งจะเปิดให้บริการในไทยได้ไม่ถึง 5 ปี) แต่สำหรับต่างประเทศ ในอาเซียน Ninja Van ถือเป็นธุรกิจสตาร์ทอัปผู้ให้บริการขนส่งที่ได้รับความนิยมและเติบโตเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นบริษัทโลจิสติกส์ที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
Ninja Van กับการเติบโตที่ไปเข้าตา Alibaba จนนำมาสู่การได้รับเงินลงทุนในครั้งนี้
ด้วยอัตราของผู้ใช้งาน Ninja Van ที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2014 ทำให้ Ninja Van เป็นสตาร์ทอัปที่ได้รับการระดมทุนใน Series A ทันทีในปี 2015 ด้วยจำนวนเงินเริ่มแรก 2.5 ล้านดอลลาร์ จาก Monk’s Hill Ventures บริษัท Ventures Capital เพื่อนร่วมชาติจากสิงคโปร์
จากนั้นเมื่อได้รับเงินลงทุนก้อนแรกมา Ninja Van ก็ได้นำเงินก้อนดังกล่าวไปสร้างการเติบโตในด้านต่าง ๆ ทั้งการซื้อยานพาหนะเพื่อใช้ขนส่ง ขยายฐานโกดังจัดเก็บสินค้า รวมถึงสร้างสำนักงานตามประเทศที่ให้บริการในภูมิภาค ทำให้ Ninja Van ได้รับเงินระดมทุนในรอบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
จนผ่านรอบการระดมทุน Series D ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ได้รับเงินลงทุนมากกว่า 279 ล้านดอลลาร์ (ราว 9,300 ล้านบาท) จาก 8 บริษัทลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น B Capital Group, Geopost, Zamrud Sovereign Wealth Fund, Grab รวมถึง 2 บริษัทจากไทยอย่าง Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ) และ Intouch Holdings (บริษัทแม่ของ AIS)
ซึ่งจากการระดมทุนในครั้งนั้นทำให้ Ninja Van มีมูลค่าธุรกิจที่ประมาณ 750 ล้านดอลลาร์ ตอกย้ำถึงการเติบโตอันรวดเร็วของธุรกิจ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสายตาผู้ใช้บริการได้ไม่น้อย
และด้วยการเติบโตอันรวดเร็วของ Ninja Van ทำให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ด้าน E-Commerce ของทวีปเอเชียอย่าง Alibaba Group ที่เคยร่วมงานกับ Ninja Van มาแล้ว มอบเงินระดมทุนครั้งใหม่ในรอบ Series E ให้กับ Ninja Van เป็นจำนวนเงินกว่า 578 ล้านดอลลาร์ (ราว 19,000 ล้านบาท)
โดยการระดมทุนในครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ Alibaba เจ้าเดียว แต่ก็มีบริษัท Ventures Capital เจ้าอื่นในภูมิภาคที่ล้วนแต่เคยเป็นผู้มอบเงินลงทุนให้กับ Ninja Van ขอกระโดดมาร่วมวงด้วย เช่น B Capital Group, Geopost, Zamrud Sovereign Wealth Fund (กองทุนความมั่งคั่งอธิปไตยของบรูไน) และ Monk’s Hill Ventures
ซึ่งนอกจาก Ninja Van จะได้รับเงินลงทุนระดับมหาศาลและมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ยังทำให้ Ninja Van มีมูลค่ารวมของธุรกิจไปแตะระดับ 1 พันล้านดอลลาร์เรียบร้อยแล้ว หรือเท่ากับว่า Ninja Van กลายเป็นธุรกิจยูนิคอร์นตัวใหม่ของประเทศสิงคโปร์และภูมิภาคอาเซียน
โดยทาง CEO ของ Ninja Van อย่าง Lai Chang Wen ได้ออกมาสรุปใจความสำคัญของการที่พวกเขาได้รับเงินระดมทุนในรอบ Series E เอาไว้ว่า ตลาดธุรกิจ E-Commerce รวมถึงโลจิสติกส์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นอะไรที่ใหญ่โต และมีโอกาสในการทำธุรกิจอยู่เสมอ โดย Ninja Van จะนำเงินที่ได้มาจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปต่อยอดในการสร้างการเติบโตให้กับองค์กรในแง่มุมต่าง ๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อทำให้ Ninja Van ประสบความสำเร็จในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รวมถึงเป็นการตอบแทนความเชื่อใจให้กับบริษัท Venture Capital ทั้งหลายที่เคยได้ร่วมมือกันเป็นพันธมิตรที่ดีกับ Ninja Van มาโดยตลอด
และฝั่งของตัวแทนผู้ลงทุนอย่าง Kenny Ho ตำแหน่ง Head of Investment for Southeast Asia ของ Alibaba Group ก็ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า เรายังคงเชื่อมั่นในตลาดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะพลังของธุรกิจโลจิสติกส์ และเรามั่นใจว่าการที่เราร่วมมือกับ Ninja Van จะสามารถช่วยขยายการเติบโตให้ Ninja Van ได้ทั่วทั้งภูมิภาคในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน
ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า Ninja Van จะนำงบประมาณที่ได้จากการระดมทุนรอบนี้ไปพัฒนาระบบ Micro-Supply Chain Solutions เพื่อช่วยสร้างโอกาสและประสบการณ์การใช้งานใหม่ ๆ ของผู้ใช้บริการซื้อ E-Commerce ในอนาคตต่อไปนั่นเอง
สรุปทั้งหมด
การเติบโตของ Ninja Van ที่เราได้หยิกยกมาพูดถึงในวันนี้ ถือเป็นตัวอย่างการขยายการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัปที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากการให้บริการในประเทศ แล้วค่อย ๆ ขยายพื้นที่การให้บริการไปในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และไปสู่ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ก่อนวางแพลนขยายไปในระดับทวีปและโลกในอนาคต
รวมถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อครองใจผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด ลบข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น จนนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในที่สุด
ส่วนเรื่องของการบริการที่ Ninja Van มีฟีดแบคที่ไม่ค่อยสู้ดีนักมาตลอด (ในประเทศไทย) ก็คงต้องมาดูกันว่าพวกเขาจะสามารถปรับปรุงการให้บริการให้ดีมากขึ้นแค่ไหน