Influencer Marketing เข้ามามีบทบาทกับธุรกิจต่าง ๆ ในบ้านเราเป็นเวลาเกือบ 6 ปีแล้ว และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นทุกปี จึงทำให้สื่อชนิดเก่า เริ่มค่อย ๆ ลดบทบาทตนเองลงทุกวัน ประกอบกับตามสถิติของอัตราการเข้าถึง Social Media ของประชากรไทยในปี 2023 ที่ผ่านมา คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและ Social Media สูงถึง 75% นอกจากนั้น ยังมีบัญชี Social Media เพิ่มขึ้นมาอีก 4.7%
ถ้าจะให้เปรียบเทียบว่า Social Media คือ ทำเลทองของการทำการตลาดในยุคปัจจุบันก็คงไม่ผิดแปลกอะไร เพราะสาเหตุนี้เองทำให้การเติบโตของการทำ Influencer Marketing เพิ่มมากขึ้นไปโดยปริยายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แถมในปัจจุบันนี้ ความยืดหยุ่นของการทำ Influencer Marketing ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นว่าคุณต้องเป็นดาราหรือเน็ตไอดอลอะไร เพียงแค่มี “ยอดผู้ติดตาม” ของตัวเองอยู่ในมือ ทุกคนก็สามารถเป็น Influencer ได้ทั้งหมด
สะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบัน Influencer Marketing เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นเครื่องมือสำคัญที่แบรนด์ต่าง ๆ ขาดไม่ได้จริง ๆ วันนี้ The Growth Master จึงจะพาทุกคนมาดูการทำ Influencer Marketing รวมถึงเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 นี้ด้วย ไปดูกันต่อได้เลยครับ
Influencer Marketing คืออะไร ? ถ้าจะให้พูดถึงด้านของรากศัพท์ของความหมายคำว่า Influencer Marketing นั้นมาจากคำว่า Influence ที่แปลว่า การจูงใจ การทำให้หลงเสน่ห์ มีอิทธิพล รวมกับคำว่า Marketing ที่แปลว่าการทำการตลาด เพราะฉะนั้นกล่าวโดยรวม Influencer Marketing คือ การทำการตลาดโดยการใช้บุคคลที่สามารถสร้างแรงจูงใจ สร้างอิทธิพล ให้กับผู้คนได้ นั่นเอง
ซึ่งการทำการตลาดที่ว่านั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะการสร้างคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ (เช่น Facebook, Instagram, Youtube) ไปจนถึงการลงรูปหรือวีดีโอ เพื่อโปรโมทหรือรีวิวสินค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเราจะเรียกคนที่มีหน้าที่เหล่านี้ว่า Influencer ที่แบรนด์สามารถใช้พวกเขาเป็นผู้กระจายสินค้าหรือภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้
โดยคนที่เป็น Influencer ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างในโลกออนไลน์ หรือไม่ก็เป็นคนที่มีผู้ติดตามผ่านทางช่องทางโซเชียลต่าง ๆ เยอะ เปรียบเหมือน Key Opinion Leader (KOLs) ที่เป็นผู้นำหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งสามารถสร้างอิทธิพลและความน่าเชื่อถือในการชักจูงใจให้แก่ผู้ติดตามได้
ทำให้ในฝั่งของตัวผู้บริโภคเองก็เกิดความอยากรู้อยากลอง อยากทำตามคนที่พวกเขาชื่นชอบ เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าใช้แล้วมีประโยชน์จริง ก็เกิดเป็นการซื้อสินค้าและสนับสนุนแบรนด์นั้น ๆ ขึ้นในที่สุด
ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe
ประเภทของ Influencer ในตลาดของไทย ปี 2024 มีอะไรบ้างและมีข้อดีอย่างไร สำหรับ Influencer Marketing นั้น ถ้าเจาะรายละเอียดลงไปแล้ว พวกเขาจะมีการแบ่งระดับหรือ Stage ของตัวเองไว้อยู่แล้ว โดยเกณฑ์ที่จะนำมาแบ่งระดับของพวกเขาก็คือจำนวนผู้ติดตาม ในช่องทางโซเชียลมีเดียของเขานั่นเอง
แน่นอนว่าในแต่ละประเภทก็จะสร้างอิมแพ็คที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในเรื่องความน่าเชื่อถือ, เรทราคา, จำนวนผู้ติดตาม, คุณภาพของการสร้างสรรค์คอนเทนต์ และอิมแพ็คในการดึงดูดคนทั่วไปให้กลายมาเป็นลูกค้า โดยประเภทของ Influencer ในตลาดของไทย จะแบ่งได้เป็น 5 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
Nano Influencer Nano Influcencer คือ ผู้ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ 1,000 - 10,000 คน นับเป็น Stage ที่เล็กที่สุดและมีจำนวน Influencer แบบนี้ในตลาดเยอะที่สุด ซึ่งข้อดีก็คือ ราคาไม่สูงมาก ถ้าเทียบกับระดับอื่น ซึ่งแบรนด์สามารถให้ Nano Influencer หลายคนสร้างสรรค์คอนเทนต์ ได้พร้อม ๆ กันในทีเดียวแบบกระจายวงกว้าง และทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูมีความเป็นจริงมากกว่า
Micro Influencer Micro Influencer คือ ผู้ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ 10,000 - 50,000 คน (หรือเรียกอีกชื่อว่า Everyday Influencer) ข้อดีและประโยชน์ก็จะมีความคล้ายคลึงกับ Nano Influencer แต่สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าด้วยจำนวนผู้ติดตามที่มากกว่า โดยระดับ Micro Influencer นี้ถือว่าเป็น Influencer ที่สามารถใช้งานได้ดีและเข้ากับสินค้าและแบรนด์ได้ง่าย เพราะยังไม่มีตัวตนที่ชัดเจนมาก
Mid-Tier Influencer Mid-Tier Influencer คือ ผู้ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ 50,000 - 100,000 คน เป็นระดับที่หลายแบรนด์ต่าง ๆ มักต้องการ เพราะสามารถสร้าง Brand Awareness ได้ดีในระดับนึง รวมไปถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ดีกว่า 2 ประเภทแรก แต่เรทราคาก็สูงตามขึ้นไปด้วยเช่นกัน
Macro Influencer Macro Influencer คือ ผู้ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ 100,000 - 1,000,000 คน ซึ่งข้อดี คือ มีผู้ติดตามจำนวนมากในระดับนึง สามารถสร้าง Brand Awareness ได้ดี แต่ส่วนใหญ่ใน Stage นี้ตัวตนของ Influencer จะเริ่มมีความเป็นมืออาชีพในการสร้างคอนเทนต์มากกว่าและมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นด้วย เช่นเกี่ยวกับด้านความงาม ด้านการท่องเที่ยว ด้านอาหาร ด้านการลงทุน ด้านการออกกำลังกาย ด้านเทคโนโลยี ทำให้เข้าถึงและเจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
Mega Influencer Mega Influencer คือ ผู้ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ 1,000,000 คนขึ้นไป มักเรียกอีกชื่อว่า “Celebrity” ซึ่งถือว่ามีมากที่สุดในทุกระดับ โดยอาชีพส่วนใหญ่ของระดับนี้ก็มักจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม เป็นนักแสดง ดารา นักกีฬา เหมาะสำหรับการสร้าง Brand Awareness แบบวงกว้าง ต้องการเข้าถึงคนจำนวนมาก ๆ ไม่เจาะจงถึงกลุ่มเป้าหมาย (แน่นอนว่าเรทราคาก็สูงที่สุดเช่นกัน)
ทำไมปี 202 Influencer ถึงมัดใจลูกค้าได้มากกว่าการโฆษณาแบบเก่า ๆ หรือแม้แต่โฆษณาออนไลน์บางส่วน “เพราะ 49% ของผู้บริโภคมักเชื่อมั่นในการแนะนำและการรีวิวจาก Influencer มากกว่าการดูโฆษณาธรรมดา” – Digitalmarketinginstitute ต้องกล่าวอย่างนี้ครับว่า ข้อดีของการทำ Influencer Marketing ที่แตกต่างจากการทำโฆษณาแบบอื่น ๆ คือ มันมีความน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะ Influencer ส่วนใหญ่ก็คือคนธรรมดา ๆ แบบเรา ๆ นี่แหละครับ ไม่ได้มีความพิเศษที่แยกตัวออกมาโดดเด่นชัดเจนเหมือนดารา ซึ่งจะให้ความรู้สึกที่ดูจริงและใกล้ตัวเรามากกว่า
และแน่นอนว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่ออะไรที่ดูเป็น “ความจริง” ดูมีชีวิตมากกว่าการโฆษณาแบบทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว และการที่มีคนออกมาขายสินค้าให้กับแบรนด์ ผู้บริโภคก็มักจะเชื่อมากกว่าการที่แบรนด์ออกมาขายเอง เพราะผู้บริโภคเห็นแล้วว่าถ้ามีคนออกมาพิสูจน์ให้เห็นหรือยืนยันสินค้าและบริการนั้น ๆ แล้วแสดงว่ามันดีจริง
ส่วนปัจจัยอีกข้อนั่นก็คือ Influencer Marketing มันง่ายต่อการเจาะจงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนครับ กล่าวคือ ถ้าเราลองเปรียบเทียบการโฆษณาแบบเก่า ๆ คุณไม่มีสิทธิ์เลือกได้เลยว่าจะให้โฆษณาไปปรากฏที่คนกลุ่มใดบ้าง พรีเซนเตอร์ที่คุณเอามาโปรโมทนั้นจะถูกจริตกลุ่มลูกค้าหรือเปล่า
วิธีการใช้ Influencer นี้คุณจะสามารถเลือกได้เลยว่า คุณต้องการให้คนที่จะมาเป็น Influencer มีคาแรคเตอร์อย่างไร มีวิธีการสร้างสรรค์คอนเทนต์แบบใด กลุ่มเป้าหมายจะเป็นคนแบบไหน คุณสามารถกำหนดเองได้หมด ซึ่งจะทำให้เจาะจงความต้องการของแบรนด์ได้มากขึ้นนั่นเอง
ซึ่งกลยุทธ์นี้ในบ้านเราจะเหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีสินค้าออกใหม่อยู่บ่อย ๆ เพราะการใช้ Influencer จะสามารถกระจายสารไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้เร็วกว่าการโฆษณาแบบเดิม ๆ จึงทำให้ Influencer Marketing ได้รับความนิยมในประเทศไทย
และถ้าเราดูจากสถิติจาก Influencer MarketingHub ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของ Influencer Marketing มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี โดยเฉพาะปี 2020 มีมูลค่าเติบโตขึ้น 9.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2019 กว่า 3.2 พันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว และคาดว่าในปี 2024 นี้ มีมูลค่าทะลุหมื่นล้านดอลลาร์แน่นอน
ภาพจาก influencermarketinghub นอกจากนั้น สถิติจาก Mediakix แสดงให้เห็นว่าจากการสำรวจมีนักการตลาดแค่ 5% จากทั้งหมด ที่ยังคิดว่า Influencer Marketing ยังไม่จำเป็นกับธุรกิจ ถือว่าน้อยมาก ๆ เลยครับ ซึ่งมันก็สะท้อนให้เราเห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ทุกแบรนด์อาจพึ่งพาการทำ Influencer Marketing มากขึ้นจนครบ 100% อย่างแน่นอน
ภาพจาก Mediakix Hack ให้ถูกจุด ! ประเภทของสินค้าและแบรนด์ที่เหมาะแก่การทำ Influencer Marketing 2024 แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง กระแส Influencer Marketing กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่อง และเริ่มกลายเป็นกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับหลาย ๆ แบรนด์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการใช้กลยุทธ์นี้จะต้องสำเร็จตามเป้าหมายทุกครั้งนะครับ กล่าวคือ บางธุรกิจก็อาจไม่ได้เหมาะกับการใช้ Influencer Marketing เท่าไหร่นัก
จากที่เราได้สังเกตกันในโซเชียลมีเดียจะพบว่า ส่วนใหญ่การทำ Influencer Marketing นั้น จะเน้นไปทาง เครื่องสำอาง เสื้อผ้า การท่องเที่ยว รีวิวที่พัก โรงแรม ไปจนถึงของกิน ร้านอาหารต่าง ๆ สาเหตุก็เพราะ Influencer Marketing นั้นจะส่งผลได้ดีกับกลุ่มลูกค้ามากกว่า เมื่อใช้กับสินค้าหรือแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับ ความรู้สึก, ความต้องการ หรืออารมณ์ร่วม เช่น อยากลอง, อยากกิน, อยากไป เป็นต้น
อ้างอิงจากสถิติปี 2019 ของ Thailand Influencer จาก Wisesight จะเห็นได้เลยว่าสถิติของ Influencer ที่มีการเติบโตได้เร็วที่สุด ก็คือ Influencer สายอาหารและสายสัตว์เลี้ยง ซึ่งเห็นได้ชัด ๆ เลยครับว่าเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของเราทั้งนั้น
ภาพจาก Wisesight 4 สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำ Influencer Marketing เพราะการทำ Influencer Marketing ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเราเห็นแบรนด์อื่นทำแล้วดี ทำแล้วได้ผลจริง จึงอยากจะทำบ้าง แต่การตลาดที่ดีสำหรับแบรนด์หนึ่ง อาจไม่ใช่เหมาะกับแบรนด์ของเราก็ได้ เพราะฉะนั้นก็อย่างที่บอกไปครับว่าต้องดูว่าแบรนด์ของเราเหมาะกับการทำการตลาดแบบนี้ไหม ถ้าคุณเห็นว่าทำได้ และตัดสินใจที่จะทำแล้ว ไปดูกันว่าขั้นตอนต่อไปคุณควรทำอะไรกันบ้าง
1. เป้าหมายในการทำ Influencer Marketing คือสิ่งที่ต้องรู้ เพื่อที่จะทำให้การทำ Influencer Marketing ประสบความสำเร็จ คุณต้องระบุจุดประสงค์ในการทำก่อนว่า จะทำ Influencer Marketing เพื่ออะไร เพราะส่วนใหญ่หลายแบรนด์มักมองหา Influencer เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์และโปรโมทสินค้าผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่ง
จากการสำรวจของ Linqia บอกว่า
89% ของนักการตลาดใช้ Influencer Marketing เพื่อสร้างคอนเทนต์รีวิวสินค้าให้กับแบรนด์ ในลักษณะใช้งานแล้วเห็นผลจริง ของมันดีจริง ของมันต้องมี 77% ใช้เพื่อเพิ่มยอด Engagement ให้กับแบรนด์ 56% ใช้เพื่อกระตุ้นยอด Traffic ให้เข้าสู่เว็บไซต์หรือหน้า Landing Page ของแบรนด์ ถ้าเกิดว่าคุณรู้เป้าหมายแล้วว่าต้องการทำ Influencer Marketing เพื่ออะไร คุณก็ลองควรตั้งค่าวัดผลสักค่านึง เช่น KPIs เพื่อเอาไว้ตรวจสอบดูประสิทธิภาพต่อไปครับ
ภาพจาก socialmediaweek 2. ทำการเก็บข้อมูล Influencer และกลุ่มเป้าหมาย ก่อนที่จะให้แบรนด์ของคุณตกไปถึงเหล่า Influencer คุณต้องดูก่อนว่า Influencer คนนั้นเข้ากับแบรนด์ของคุณได้หรือเปล่า หรือว่าเคยไปเป็น Influencer ให้กับแบรนด์คู่แข่งมาไหม ถ้าเกิดว่าเคยเป็น ก็ต้องลองคุยกันก่อนว่า ทำไมถึงย้ายมาเป็น Influencer ให้กับแบรนด์ของเรา และให้พิจารณาดูว่าจะเกิด Effect อะไรขึ้นภายหลังจากที่ปล่อยคอนเทนต์หรือไม่
ส่วนขั้นตอนการทำ Research กลุ่มเป้าหมายก็ง่าย ๆ เลยเพราะทั้ง Facebook, Instagram หรือโซเชียลมีเดียแทบจะทุกช่องทางมักจะมี Audience Insight Tool เอาไว้ดูข้อมูลเชิงลึกของผู้ชม และแสดง Metric ทั้งเกี่ยวกับสถานที่ อายุ และความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเอง เพื่อที่แบรนด์สามารถทำความเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มลูกค้าปัจจุบันของแบรนด์คือใคร รวมถึงมีใครบ้างที่กำลังเป็นคู่แข่งของเราอยู่
นอกจากนั้น ต้องดูกลุ่มผู้ติดตามของ Influencer ด้วยว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ไหม เพราะถ้าเกิดว่ากลุ่มผู้ติดตามของ Influencer ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ เช่น เราเป็นแบรนด์เกี่ยวกับกีฬา แต่กลุ่มผู้ติดตามของ Influencer ที่เลือกมากลับเป็นคนที่ชอบเทคโนโลยี ก็อาจดูไม่มีความเข้ากันสักเท่าไร ทำให้เมื่อเลือกทำ Influencer Marketing ไปแล้วก็อาจไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา แถมอาจเสียเงินฟรีอีกด้วย
ดังนั้น เราควรพิจารณาดูข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ก่อน เพื่อให้การทำ Influencer Marketing เกิดประโยชน์สูงสุด
3. เลือก Influencer ที่เหมาะสม สำหรับการเลือก Influencer ที่เหมาะสมกับแบรนด์จะมีทริคง่าย ๆ คือ ถ้าเป็นแบรนด์ใหญ่ควรที่จะใช้ Influencer ระดับ Nano, Micro จนถึง Mid-Tier เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักจะรู้จักชื่อเสียงของแบรนด์ดีอยู่แล้ว จึงต้องการความเรียลขึ้นอีกนิด การใช้ Influencer ทั้ง 3 ประเภทนี้จึงจะทำให้แบรนด์เติบโตขึ้นไปอีก
แต่สำหรับแบรนด์เล็กควรใช้ Influencer ระดับ Macro หรือ Mega ไปเลย เพราะแบรนด์ยังไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอ ถ้าเกิดใช้ระดับเล็ก ๆ ก็อาจทำให้ไม่เกิดผลอะไรมากนัก แต่ถ้าอยากให้แบรนด์อิมแพ็คเลย ก็ต้องยอมจ่ายเงินหน่อย เพื่อให้สามารถสร้างยอดขายในระยะสั้นได้ รวมถึงเพิ่มเครดิต เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง เมื่อแบรนด์เริ่มมีชื่อเสียงแล้ว อาจจะส่งผลให้ Influencer ระดับ Nano, Micro หรือ Mid-Tier มาทำคอนเทนต์โปรโมทให้ฟรีอีกด้วย (User-Generated Content)
หลังจากที่คุณรู้แล้วว่า Influencer ประเภทไหนที่เหมาะสมกับการทำการตลาดให้กับแบรนด์ของเรา คุณก็ต้องเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่ตรงกับสไตล์และจุดประสงค์ในการทำ Influencer Marketing ของแบรนด์ และสามารถเปลี่ยนจากกลุ่มเป้าหมายให้มาเป็นลูกค้าได้ในที่สุด
โดยการหา Influencer สมัยนี้ก็หาไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไปครับ เนื่องจากมีทั้งแบบติดต่อไปที่ตัวบุคคลโดยตรงเลยหรือติดต่อผ่านเอเจนซี่ ซึ่งอย่างหลังจะช่วยให้ขั้นตอนการติดต่อมีความง่ายมากขึ้น เพราะสามารถหา Influencer ที่ตรงกับแคมเปญที่เราจะทำได้เลย
และหัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเลือก Influencer คือ ควรเป็นคนที่เป็นมิตรกับกลุ่มเป้าหมายและมีมุมมองที่ดีต่อแบรนด์ ซึ่งในการทำคอนเทนต์ ทางแบรนด์ควรให้พวกเขาสร้างคอนเทนต์ออกมาในรูปแบบสไตล์ของพวกเขาเอง เพื่อที่จะได้ไม่ดูเป็นการครอบงำจากแบรนด์จนผิดหูผิดตาผู้ที่ติดตามพวกเขาอยู่มากจนเกินไป
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องจุดยืนของ Influencer ที่ควรระวังด้วย เช่น การแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมือง การวางตัวบนโซเชียล ถ้าเกิดว่าตัว Influencer มีดราม่าบนโลกโซเชียลขึ้นมา ก็จะส่งกระทบต่อแบรนด์เสมอ
เพราะฉะนั้นควรคุยรายละเอียดให้ชัดเจนเลยว่าแบรนด์ต้องการอะไร อยากให้คอนเทนต์ออกมาแนวไหน และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง ทำข้อตกลงระหว่างกันให้ดี เพื่อให้ทั้งสองฝั่งเห็นภาพชัดเจน ตรงกัน เข้าใจง่าย และไม่เกิดปัญหาขึ้นในภายหลังอีกด้วย
4. วัดผลเพื่อดูความสำเร็จ หลังจากที่ปล่อยแคมเปญการตลาดออกไป ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหนหรือศาสตร์ไหนของการตลาดก็ตาม สิ่งที่ควรทำก็คือ "การวัดผล" เพื่อดูว่าสิ่งที่ทำไปแล้วมันช่วยให้แบรนด์บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ในตอนแรกได้หรือไม่
วิธีที่ดีที่สุดในการวัดผล คือ การดู KPIs ที่คุณตั้งไว้ในจุดแรก ไม่ว่าจะเป็นยอด Engagement, Reach, Traffic ไปสู่เว็บไซต์ หรือยอด Coversion Rate ที่ทำได้ ซึ่งคุณสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยวัดผลได้ เช่น ตั้งค่าไว้ใน Google Sheet และวัดความคืบหน้าของ Metric ที่คุณตั้งไว้ การใช้เครื่องมือเข้ามาช่วย จะทำให้คุณได้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นครับว่าแคมเปญนั้นใช้ได้ผลหรือไม่ หรือมีตรงจุดไหนที่ควรปรับปรุงแก้ไขไหม เพื่อที่ว่าจะได้นำไปปรับใช้กับการทำการตลาดในอนาคตอีกด้วย
ส่องดู 6 เทรนด์ในการทำ Influencer Marketing ในปี 2024 เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าศาสตร์ของความเป็น Digital Marketing นั้นไม่มีอะไรแน่นอนและคงที่อยู่ตลอดเวลา Influencer Marketing ก็เช่นกันครับ ซึ่งเทรนด์ก็จะเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคและการวางแผนในการทำการตลาดของเรา
แต่ในบทความนี้เราได้รวบรวมเทรนด์สำคัญ ๆ ในการทำ Influencer Marketing ที่จะได้เจอในปี 2021 ให้คุณแล้ว จะมีอะไรบ้างนั้นและจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณและธุรกิจได้แค่ไหน ลองมาดูกัน!
1. Micro Influencer ยังคงมาแรง แซงทุกระดับ สำหรับเทรนด์นี้ ถ้าใครที่คลุกคลีอยู่ในแวดวง Digital Marketing น่าจะเริ่มสังเกตกันได้แล้ว ว่าในปัจจุบัน Influencer ที่กำลังมาแรงที่สุด คือ ระดับ Micro Influencer สาเหตุเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป พวกเขาอยู่กับสื่อโซเชียลทุกวัน จนรู้แล้วว่าการใช้ Influencer เป็นส่วนหนึ่งของการทำการตลาด นั่นทำให้พวกเขาเชื่อ Influencer ระดับใหญ่ ๆ น้อยลง (เพราะดูรู้เลยว่ามาขายของ)
ในทางกลับกัน กลุ่มลูกค้ากลับมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเชื่อกลุ่ม Influencer ในระดับ Micro มากขึ้น เพราะด้วยจำนวนผู้ติดตามที่ไม่ได้เยอะมาก แถมใครก็ตามไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดทั้งนักเรียน นักศึกษา พนักงานบริษัท หรือแม้แต่คนที่เป็นพ่อหรือแม่เอง ก็เป็น Influencer ได้ และทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ดูมีความจริงใจมากกว่า มีความหลากหลายมากกว่าเดิม จึงเปรียบเหมือนเป็นคนใกล้ตัวเราคอยแนะนำ
ภาพจาก medium แม้ถ้าวัดกันตามจำนวนผู้ติดตามจะน้อยกว่าระดับ Mid-tier Influencer ขึ้นไป แต่สถิติจาก Socialmediatoday บ่งชี้เลยครับว่า Micro Influencer สามารถสร้าง Conversion Rate และ Engagement ได้ดีกว่าระดับอื่น ๆ
อีกทั้งในมุมผู้บริโภคก็มีถึง 61% ที่เลือกเชื่อคอนเทนต์ที่ Micro Influencer เป็นคนผลิตมากกว่า Influencer ระดับอื่น
ภาพจาก socialmediatoday 2. หมดยุค Influencer มีหน้าที่แค่โฆษณาเฉย ๆ แล้ว “92% ของผู้บริโภค ต้องการเห็น Influencer โฆษณาโดยการใช้การเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์มากกว่ารูปแบบอื่น ๆ” – Socialmediatoday อย่างที่ผมได้เคยบอกไปครับว่าด้วยความที่ปัจจุบัน ทุกคนที่มีผู้ติดตามอยู่ในโซเชียลมีเดียก็สามารถเป็น Influencer ได้หมด มันเลยทำให้การแข่งขันของตลาด Influencer ด้วยกันสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่ง Influencer แต่ละคนก็จะมีวิธีการเล่าเรื่อง วิธีการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างกันออกไปด้วย
โดยเทรนด์สำคัญของปี 2024 นี้คือ การเล่าเรื่องให้เป็นเอกลักษณ์ สร้างจุดขายของตัวเอง หรือจะให้พูดอีกแง่หนึ่งก็คือ ผู้บริโภคส่วนใหญ่เบื่อแล้วกับการที่ Influencer ลงรูป แล้วก็ขายของเฉย ๆ แบบโจ่งแจ้ง โดยไม่มีการเล่าเรื่องอะไรเลย ไม่มีอารมณ์ร่วมกับสินค้าและแบรนด์
คุณอาจลองหา Influencer ที่มีความครีเอทีฟสูง มีวิธีการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์ สนุกสนาน Feed สอดแทรกความรู้ให้ลูกค้าดูจะได้ไม่เบื่อ ถึงแม้จะเป็นการขายของก็ตาม (นอกจากจะเป็น Influencer แล้วยังต้องมีความเป็น Content Creator อยู่ในตัวด้วย)
ตัวอย่าง Influencer ที่มีการเล่าเรื่องแปลก ๆ ของวัยรุ่นไทย เช่น นอร์ธ-สัณหณัฐ ทิราชีพ จากเพจ “บ้านกูเอง ” ที่เขามักจะใช้วิธีการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ สร้างออกมาเป็นการ Entertain คนอ่านโดยใช้การเล่าเรื่องโดยรูปภาพมากกว่าเป็นเพียงแค่โพสต์ตัวหนังสือยาว ๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามีการตอบรับที่ดีจากคนอ่านมาก เนื่องจากมียอด Like และ Share ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
ภาพจาก facebook และมีตัวเลขออกมาว่า 60% ของผู้บริโภคจะรู้สึกไม่โอเคกับการที่ Influencer มัก Tie In สินค้าต่าง ๆ ในลักษณะอวยเกินจริง ถึงแม้ผู้บริโภคจะดูออกว่าเป็นการขายของ แต่การที่พวกเขายัดแต่เรื่องโฆษณาสินค้ามากเกินไป จะทำให้คอนเทนต์นั้นดูไม่จริงใจ ไม่น่าเชื่อถือ ส่งผลให้ลูกค้ามีความรู้สึกด้านลบให้กับตัว Influencer และแบรนด์อีกด้วย
แต่สุดท้าย ยังไงก็ต้องย้อนกลับมาดูที่แบรนด์หรือสินค้าของคุณอยู่ดีว่าเหมาะกับการใช้ Influencer ลักษณะไหนและควรสร้างสรรค์การเล่าเรื่องเป็นอย่างไรครับ
3. Instagram ยังฮิตอยู่ตลอด แต่แพลตฟอร์มทางเลือกก็มีอิทธิพลมากขึ้น หลายคนมักจะยึดติดที่อยู่ของ Influencer ว่าต้องเป็นแค่ Facebook, Instagram, Twitter และ Youtube เท่านั้น ซึ่งพูดในความเป็นจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ครับ เพราะทั้ง 4 แพลตฟอร์มนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศ
จากข้อมูลของ Business Insider แพลตฟอร์มทำเลทองอันดับ 1 ของการทำ Influencer Marketing ก็ยังคงเป็น Instagram (79%) ตามมาด้วย Facebook (46%), YouTube (36%) และ Twitter (24%)
แต่ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่พฤติกรรมผู้บริโภคของไทย พวกเขาก็ยังคงเลือกเสพสื่อที่เป็นภาพ มากกว่าตัวอักษรอยู่ดี ประกอบกับการมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เกิดขึ้นในตลาดตลอด มันเลยเป็นโอกาสให้แพลตฟอร์มทางเลือกอื่น ๆ เริ่มมีอิทธิพลมากในวงการ Influencer มากขึ้น เช่น Pinterest , TikTok
ภาพจาก clubsister โดยเฉพาะ TikTok แพลตฟอร์มที่กำลังได้รับความนิยมและมีอิทธิพลในวัยรุ่น Gen Z ของไทย ตั้งแต่ช่วงกักตัวจากเหตุการณ์ Covid-19 ปี 2020 เป็นต้นมา ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นตลอดซึ่งเป็นที่น่าสนใจมาก ๆ กับสินค้าหรือแบรนด์ที่ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น (อายุประมาณ 16-24 ปี)
และจากข้อมูลของ Hootsuite ในปี 2020 แอปพลิเคชัน TikTok ขึ้นแท่นแอปที่มียอดดาวน์โหลดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยขึ้นแซงหน้า Facebook และ Instagram อีกด้วย
ภาพจาก datareportal และปัจจุบันยังมี Clubhouse แอปพลิเคชันน้องใหม่ล่าสุดที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ ก็เริ่มมีแบรนด์เข้าไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับเหล่า Influencer ที่เข้ามาเป็น Moderator ในห้องต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่ว่า Influencer จะไปอยู่ที่แพลตฟอร์มใด ก็เรียกได้ว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ติดตามมักอยากที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบุคคลเหล่านั้นเสมอ (ที่ใดมี Influencer ที่นั่นมีคนติดตามแน่นอน ไม่ต้องกลัวเลย)
ภาพจาก beartai เรียกได้ว่าการจะทำ Influencer Marketing 2021 ให้มีประสิทธิภาพนั้น นอกจากต้องใส่ใจกับแพลตฟอร์มหลักแล้ว ก็อย่าลืมหันมาใส่ใจแพลตฟอร์มทางเลือกอื่น ๆ ด้วยเช่นกันนะครับ
4. สถิติยังคงชี้ชัด Video Content มีประสิทธิภาพยืนหนึ่ง ยังคงยืนหนึ่งในปี 2024 แน่นอนครับ สำหรับการทำ Video Content ที่เรียกได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ในแพลตฟอร์มไหนก็ยังคงใช้ได้และสร้างอิมแพ็คให้กับสินค้าหรือแบรนด์คุณได้อยู่ตลอด
เหมือนที่ผมได้บอกไปในข้อที่แล้วว่าพฤติกรรมผู้บริโภคไม่ชอบอ่านอะไรที่เป็นข้อความอยู่แล้ว ซึ่งข้อมูลของ Livestream ยังบอกแบบเดียวกันอีกว่า 80% ของผู้บริโภคชอบดู Live Video มากกว่าอ่านบทความบนบล็อก เพราะถ้าเป็น Video เราจะได้เห็นความสมจริงมากกว่ารูปภาพปกติ จึงทำให้ Video Content เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมและสามารถสร้าง Enagement, Organic Reach ได้ดีอยู่แล้วบน Social Media
และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ดู Video นั่นเป็นเพราะ Algorithm ของโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook ที่เลื่อนไปยังคลิปถัดไปอยู่เสมอ ก็ทำให้คนดูอยู่ในวังวนของ Video Content ต่อได้เรื่อย ๆ
ภาพจาก Oberlo ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้คำว่า Video Content ก็สามารถแบ่งออกมาได้อีกว่าจะเป็น Video ในรูปแบบไหน เช่น Short Form Video, Long Form Video, Live Video, IGTV, Facebook/IG Stories และอื่น ๆ ทำให้ตัวคุณสามารถเลือกได้เลยว่าอยากให้คอนเทนต์ของคุณออกมาเป็นสไตล์ไหนและปรากฏบนแพลตฟอร์มไหน
ถึงแม้ว่าบางแบรนด์ก็ยังคงมุ่งความสนใจไปเฉพาะบนหน้า Feed ของเหล่า Influencer แต่ยังมีจิ๊กซอว์อีกหนึ่งตัวที่สามารถเข้ามาเติมเต็มการทำตลาดแบบนี้ได้ดี นั่นคือ Instagram/Facebook stories ถึงแม้ว่าวิดีโอแต่ละอันจะมีเวลาอยู่ได้แค่ 24 ชั่วโมงก็ตาม แต่เราก็สังเกตได้ว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่มักเล่น Stories (73%) กันเยอะมากพอ ๆ กันกับโพสต์รูปหรือวิดีโอผ่านบนหน้า Feed (78%) เลยทีเดียว
ภาพจาก nogood และจากสถิติของ Hootsuite บอกว่ามีคนเล่น IG Stories กันกว่า 500 ล้านคนต่อวัน และ 58% บอกว่าพวกเขามักให้ความสนใจกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์หลังจากที่เห็นใน Stories อีกทั้ง 50% มักเข้าชมเว็บไซต์เพื่อซื้อสินค้าหลังจากดู Stories อีกด้วย
ซึ่งความแตกต่างระหว่าง Stories กับโพสต์ธรรมดาบนหน้า Feed คือ ถ้าเป็น Influencer ระดับ Micro (มีผู้ติดตาม 10,000 คนขึ้นไป) Stories ของพวกเขาจะใส่ลิงก์ได้ ทำให้คนที่สนใจสินค้านั้นสามารถปัดหน้าจอขึ้นเพื่อ Lead เข้าสู่หน้า Landing Page ของร้านค้าได้เลย ทำให้มีโอกาสในการขายเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่โพสต์บนหน้า Feed ธรรมดา จะไม่สามารถใส่ลิงก์เหมือนใน Stories ได้นั่นเอง
ภาพจาก medium Livestream มีสัดส่วนถึง 82% ของปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดในปี 2020 – Go-Globe นอกจากนั้น สำหรับ Influencer Marketing ในปี 2024 นั้น ผมอยากให้คุณลองให้ความสำคัญกับ Live Video ดูด้วยครับ เพราะจากสถิติจาก Socialmediatoday บ่งชี้ว่าผู้ใช้งานจะใช้เวลามากกว่าเดิมถึง 3 เท่าในการดูวีดีโอที่เป็น Live Video แถมยังสร้าง Engagement ได้ดีด้วย ยิ่งถ้าเป็น Influencer ดัง ๆ เป็นคน Live เอง น่าจะสร้างอิมแพ็คให้กับแบรนด์ได้ในระดับดีเลยทีเดียวครับ
5. รู้จักตัวตนของ Influencer แต่ละคน ถ้าจะให้บอกว่าประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตของ Influencer Marketing ที่สูงขึ้นก็คงไม่แปลกครับ เพราะตลาด Influencer ของไทยมีเอกลักษณ์ในเรื่องของตัวตน Influencer ที่ชัดเจน
กล่าวคือ แต่ละคน แต่ละเพจ ก็จะมีตัวตนหรือคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น สายเทคโนโลยี สายท่องเที่ยว สายของกิน สายไลฟ์สไตล์ สายอสังหาที่อยู่อาศัย สายกีฬา และอื่น ๆ อีกเพียบ
นั่นจึงเป็นสิ่งที่นักการตลาดอย่างเราต้องเข้าใจในธรรมชาติและวิธีการนำเสนอของ Influencer ในปี 2021 แต่ละคนและแต่ละเจ้าครับ แม้ว่าบางที Influencer บางคน เขาอาจไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา ไม่ใช่ตัวตนที่เรามองหา แต่วิธีการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของเขาอาจจะทำออกมาได้ดีก็ได้ มีความครีเอทีฟสูง สามารถสร้างไวรัลให้กับโลกออนไลน์ รวมถึงทำให้คนจำแบรนด์ได้อย่างแน่นอน
หรืออีกกรณี คือ พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้นจริง ๆ แม้ผู้ติดตามจะไม่เยอะ แต่ถ้าคอนเทนต์อะไรที่ออกมาจากเขา มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าคนอื่น ๆ หรือว่าเป็นศาสดาของแต่ละสายงานก็สามารถสร้าง Lead สร้างยอดขาย ให้กับสินค้าหรือแบรนด์ของคุณได้เช่นกันครับ
ภาพจาก Becausexm 6. สามารถใช้ประโยชน์จาก Influencer ได้ในระยะยาว ผมว่าในปี 2024 นี้น่าจะหมดยุคสำหรับการที่นักการตลาดต้องยอมจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อให้ Influencer ลงรูป ลงคอนเทนต์โปรโมทสินค้าแค่โพสต์เดียวและหลังจากนั้นก็จบกัน ทำเหมือนไม่รู้จักกันมาก่อน !
โดย Whisttler ได้ออกมาทำการสำรวจว่า ผู้บริโภค 84% ไม่ชอบการทำ Influencer Marketing แบบนั้นเท่าไร พวกเขาได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเอาไว้ว่า การที่ Influencer ลงโพสต์แค่รูปเดียวแล้วก็หายจากกันไปเลยนั้น มันดูไม่มีความจริงใจและไม่น่าเชื่อถือ
ดังนั้นในปี 2024 นี้การที่นักการตลาดจะหา Influencer มาสักคนอาจจะต้องมองหาผลประโยชน์ที่จะได้รับจากพวกเขาในระยะยาวหน่อยนะครับ ดูว่าถ้าเวลาผ่านไปเราจะสามารถใช้ประโยชน์จาก Influencer เจ้านี้ได้อยู่อีกหรือไม่
ยิ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง คุณยิ่งต้องเลือกดี ๆ เลยครับว่า Influencer ที่เลือกมานั้นจะมีเคมีที่เข้ากับแบรนด์หรือสินค้าของเรามากน้อยเพียงใด และอย่าลืมเช็ค Feedback หรือสถิติว่า Influencer ที่เลือกมานั้นสามารถสร้าง Awareness, Reach, Engagement ให้กับแบรนด์ของเราได้จริง ๆ หรือเปล่า ก็เป็นอีกเรื่องที่คุณต้องศึกษาอยู่ตลอดเช่นกันครับ
สรุปทั้งหมด “ในปี 2024 Influencer Marketing ยังคงเติบโตขึ้นตลอดในประเทศไทย”
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังเกิดความลังเลว่าการทำ Influencer Marketing จะเติบโตไปได้อีกแค่ไหนในตลาดของประเทศไทย ผมบอกตรงนี้เลยครับว่า Influencer Marketing ยังสามารถเติบโตได้อีกเรื่อย ๆ ครับ และสามารถเป็นอีกกลยุทธ์ที่นักการตลาดสามารถเดินเกมได้แน่นอน
เพราะจากพฤติกรรมของคนไทยที่มีการใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากขึ้นในแต่ละปี บวกกับการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ร้านค้าต่าง ๆ หันมาขายของกันบนแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้นหลังจากนี้
และโดยส่วนตัวแล้วผมว่าความสำคัญของศาสตร์นี้ ต้องขึ้นอยู่กับการตามเทรนด์ให้ทัน ศึกษา ข้อมูล สถิติต่าง ๆ อยู่ตลอด เพราะ Influencer Marketing ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำการตลาดออนไลน์ศาสตร์อื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลาและต้องขึ้นอยู่กับเทรนด์ในแต่ละช่วง
ผมหวังว่าทุกคนคงได้ความรู้จากบทความนี้ เพื่อนำไปปรับใช้กับการทำการตลาดของพวกคุณกันนะครับ สำหรับใครที่ชอบในบทความนี้ สามารถกดแชร์ส่งต่อความรู้ดี ๆ ไปสู่ผู้อื่นกันได้เลยนะครับ