หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าค่าย Epic Games ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น ในการเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นบริษัทเกมที่มีมูลค่าคาดการณ์สูงมากถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ อีกทั้งยังสามารถระดมทุน เปิดการแข่งขันชิงแชมป์ภายในเกม Fortnite โดยที่ทางค่ายเสนอ มอบเงินรางวัลให้ผู้เข้าแข่งขัน รวมมากถึง 93 ล้านดอลลาร์ เรียกได้ว่า ‘สูงที่สุดในวงการ E-sport เลยทีเดียว’
หากพูดถึงวงการเกมออนไลน์ในปัจจุบัน คงต้องบอกว่ายังไม่มีค่ายเกมไหนที่สามารถโค่นล้มค่าย Epic Games ในฐานะผู้สร้างเกมที่มียอดจำหน่ายสูงสุดไปได้ เพราะหากดูจากสถิติที่ผ่าน เขาสามารถสร้าง Fortnite เกมฟอร์มยักษ์ที่ทำรายได้ถึง 5.1 พันล้านดอลลาร์ และยังคงเป็นค่ายเกมที่ขึ้นชื่อเรื่องแจกให้เล่นฟรี มากถึง 765 ล้านชุดในปี 2021 เรียกได้ว่า Epic Games นั้นน่าจับตามองอย่างยิ่ง
และพิเศษไปกว่านั้น Epic Games ยังเป็นค่ายแรก ๆ ที่เลือกผสานตัวเกม Fortnite เข้ากับวงการ Pop Culture และ Metaverse โลกเสมือน ได้อย่างลงตัวก่อนใคร ในวันนี้ The Growth Master จะพาย้อนกลับไปถึงเส้นทางความสำเร็จของพวกเขากัน
Epic Games คืออะไร?
Epic Games คือ แพลตฟอร์มเกมออนไลน์ ที่เริ่มเปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 จัดตั้งขึ้นโดย Timothy Dean Sweeney นักปรับปรุงซอฟต์แวร์ชาวอเมริกัน โดยทางค่าย Epic Games ได้เปิดวางจำหน่ายบนระบบ Windows, macOS ที่รองรับทุกแพลตฟอร์ม ทั้งคอนโซลเกม สมาร์ตโฟน และ PC ทำให้ผู้เล่นจากทุกกลุ่มตลาดสามารถเล่นด้วยกันได้อย่างสะดวกและครอบคลุม
ในช่วงเริ่มต้น ค่าย Epic Games เลือกใช้กลยุทธ์ให้แตกต่าง แหวกแนวและไม่ซ้ำค่ายอื่น ๆ โดยเลือกเน้นจำหน่าย ‘เกมสไตล์อินดี้’ มากที่สุด ด้วยลักษณะเกมที่ใช้ต้นทุนน้อย และวางจำหน่ายในราคาที่ระดับผู้เล่นทั่วไปจับต้องได้ นั่นถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ค่าย Epic Games ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาเกมและผู้เล่นเป็นจำนวนมาก
และไม่นานมานี้ ทางค่ายได้เปิดเผยสถิติ ยอดจำหน่ายจากช่องทาง Epic Games Store ในปี 2021 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ 20% เป็นมูลค่ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ และแฟนเกมของพวกเขา ยังมีชั่วโมงเล่นเกมที่รวมกันสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 70% (เทียบกันในปี 2020 อยู่ที่ 5,700 ล้านชั่วโมง และในปี 2019 อยู่ที่ 3,350 ล้านชั่วโมง)
การเติบโตของ Epic Games ดูท่าจะยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะค่ายได้มีการพัฒนาต่อยอดตัวเกมสำหรับเครื่อง PC ให้เหนือไปอีกขั้น ด้วยการมุ่งพัฒนาเกมฟอร์มยักษ์ อย่าง God of War หรือ Total War: Warhammer III ที่ผสมผสานรูปแบบการเล่นระหว่าง ‘เรียลไทม์ และเกมเพลย์’ ให้สามารถสลับกันเล่นได้อย่างอิสระ
โดยตัวเกมทั้งหมด ที่จะปล่อยในไตรมาสแรกของปี 2022 นั้น จะเน้นใส่ความเป็น Story หรือ ดึงเอาประสบการณ์ของผู้เล่น ขึ้นมาผูกกับเนื้อหาของเกมให้มากขึ้น อย่าง Dying Light 2 Stay Human ซึ่งเกมที่ถูกปล่อยออกมาก่อนนี้ ได้สร้างปรากฏการณ์ ที่ทำให้ค่ายเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ สร้างรายได้สูงสุดเป็นใบเบิกทางให้ค่ายมาแล้ว อย่างเกม Fortnite นั่นเอง
Fortnite เกมแนว ‘Battle Royale’ ตัวท็อปจากค่าย
หากพูดถึงเกมที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Epic Games ได้มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเกม Fortnite ที่เริ่มเปิดตัวให้เล่นเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วเมื่อ ช่วงเดือนกรกฎาคมปี 2017 ที่ผ่านมา ด้วยระบบ Free to play (เปิดให้เล่นฟรี)
Fortnite เป็นเกมออนไลน์แนว Battle Royale ที่ผู้เล่นสามารถประลองฝีมือ, ท้าทายผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ด้วย ‘ไหวพริบของผู้เล่น’ ในระยะเวลาประมาณ 20 นาที ต่อ 1 รอบ และหากใครที่อยู่รอดจนถึงคนสุดท้ายในแต่ละแมตซ์ ก็จะเป็นผู้ชนะไป
จนถึงปัจจุบัน Fortnite ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยตัวเกมที่ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ผู้เล่นได้ทันกระแสนิยม เหมาะกับยุค New Normal ที่ทุกอย่างมีข้อจำกัดได้เป็นอย่างดี
และในที่สุด เมื่อปี 2020 Fortnite ก็ได้การตอบรับจากเหล่าเกมเมอร์ ด้วยบัญชีผู้เล่นที่มากถึง 350 ล้านบัญชี ซึ่งนั่นเท่ากับ มีผู้เล่นหน้าใหม่ เพิ่มขึ้นมากถึง 100 ล้านบัญชี ภายในระยะเวลาแค่ 1 ปีเท่านั้น (จากปี 2019 ที่มีเพียง 250 ล้านบัญชี) และนั่นถือเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของค่าย Epic Games ทันที
นอกจากนี้ ตัวเกม Fortnite ยังได้เลือกใช้เทคโนโลยีซอฟต์แวร์อย่าง Unreal Engine (ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้พัฒนาเกม) เพื่อตอบโจทย์ผู้เล่นได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น ด้วยกราฟิกเกมที่ดู ‘มีความธรรมชาติ ไหลลื่น’ เสมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่งอีกด้วย
มาถึงตรงนี้ ทุกคนอาจสงสัยว่า ค่าย Epic Games มีกลยุทธ์อะไรที่สามารถสร้างรายได้มหาศาล จากการ ‘เปิดให้เล่นฟรี’ กันบ้าง The Growth Master จะชวนมาไขกลยุทธ์ในแบบที่ค่าย Epic Games เอาชนะใจผู้เล่นหรือเกมเมอร์ทั่วโลกมาแล้วกันค่ะ
เส้นทางความสำเร็จฉบับ Epic Games ที่เปลี่ยนจากค่ายเกมอินดี้ สู่ค่ายที่สร้างรายไ้ด้สูงสุดในวงการเกมออนไลน์
1. เลือกกลุ่มตลาดที่ไม่ทับซ้อน ด้วยกลยุทธ์ Blue Ocean
กลยุทธ์ Blue Ocean เป็นการมองหากลุ่มตลาดที่มีขนาดไม่กว้าง และคู่แข่งไม่เยอะ โดยเลือกนำเสนอความต่าง ในการสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้งานขึ้นมาใหม่ ด้วยการนำ ‘เทคโนโลยี หรือ นวัตกรรม’ มาผสมผสานร่วมกับธุรกิจ จนสามารถกลายเป็นจุดแข็งไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งโดนัลด์ (หัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์จากค่าย Epic Games) ได้ออกมาเปิดเผย กลยุทธ์ Blue Ocean ที่พวกเขาเลือกใช้ว่า ‘ Epic Games สร้างความเป็นเอกลักษณ์ ไปพร้อมกับการใช้ต้นทุนที่ไม่สูง ’ พวกเขาเลือกเปิดตลาดเกมให้แตกต่าง
และเมื่อระดมทุนได้จำนวนหนึ่ง พวกเขาเลือกเทคโนโลยีอย่าง Metaverse เข้ามาผสานกับตัวเกม เพื่อมอบความสมจริง รวมถึงสร้างรูปแบบการเล่นใหม่ ๆ โดยใช้ ‘การกระทำและความเชื่อ’ ของผู้เล่น มาปรับแต่ง, อัปเดตตัวเกมในทุก ๆ สัปดาห์ ในแบบที่ผู้เล่นจะไม่สามารถหาได้จากแพลตฟอร์มเกมอื่น ๆ
ความน่าสนใจจากคอนเทนต์ของตัวเกม Fortnite นั้นถูกออกแบบให้มีการขายไอเทมในเกมแบบไม่ส่งผลกระทบกับฝีมือผู้เล่น Free to play แต่อย่างใด เพราะความสามารถในการแข่งขันนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมง และความชำนาญของผู้เล่นเป็นหลัก
นอกจากนี้ Epic Games ได้เลือกกลยุทธ์สร้างรายได้ ผ่านการจำหน่าย ‘ชุด และอุปกรณ์ปรับแต่งตัวละคร’ ในดีไซน์ที่ออกแบบร่วมกับ แบรนด์ดังที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว อย่าง Star Wars, DC comics หรือค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Marvel ซึ่งแน่นอนว่าด้วยฐานแฟนคลับของแบรนด์เหล่านั้น ทำให้เกิดแรงจูงใจมากพอที่ผู้คนจะชื่นชอบและยินดีจ่ายเงิน
2. ร่วมมือกับ Partner ระดับโลก ขยายกลุ่มตลาดผู้เล่นหน้าใหม่
ในปี 2021 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ทางค่ายได้เข้าร่วมกับ Discord (แพลตฟอร์ม…แชทเกมยอดนิยมมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง) โดยผู้เล่นของค่าย Epic Games สามารถใช้งาน ‘Discord Nitro’ ที่เป็นบริการสมาชิกระดับพรีเมียมจากทาง Discord ได้ฟรีถึง 3 เดือน
(หากอยากทราบว่า อะไรที่ทำให้เกมเมอร์หลงรัก Discord สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ บทความนี้ )
แน่นอนว่า มีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่ประทับใจกับ Discord Nitro ด้วยลูกเล่นที่เสริมเข้ามาให้รับกับการใช้งานบนระบบ Discord ให้สะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Animated Avatar (ภาพเคลื่อนไหวได้), สร้าง Emoji ได้แบบไม่จำกัด หรือสะสม Badges (เหรียญรางวัลใน Nitro) ด้วยความสำเร็จที่ผ่านมา ค่าย Epic Games สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ ผู้เข้าชมพร้อมกัน จากคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นใน ‘รูปแบบของเกม Fortnite’ มากถึง 10 ล้านบัญชี ด้วยเพราะความน่าตื่นเต้นของระบบเกม ที่ได้มอบความรู้สึกให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมกับศิลปินคนโปรดอย่างใกล้ชิด
ยกตัวอย่างผลงาน Fortnite X Ariana Grande ที่นำป็อปสตาร์ระดับโลกอย่าง Ariana Grande มาร่วมเปิดคอนเสิร์ต ไปพร้อม ๆ กับมีการจำหน่าย ‘สกินและคอลเลคชันพิเศษ’ ซึ่งมีแต่ผู้เล่นที่เข้าร่วมเท่านั้นจะได้ไป เรียกว่า Exclusive สุด ๆ
ด้วยเทคโนโลยีของ Metaverse ที่ส่งให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือน ‘มองเห็นทุกอย่างในเกมได้ด้วยตาเปล่า สัมผัสหลากหลายมิติ ด้วยเสียงเพลง บรรยากาศในเกม แสงสีเต็มรูปแบบ เรียกว่าจัดเต็มกันสุด ๆ นี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ไม่ง่ายนักจากเกมอื่น ซึ่งในอนาคตเราคงจะได้เห็น Epic Games ใช้ Metaverse ในรูปแบบอื่นๆ มากขึ้นอย่างแน่นอน
เและคงปฎิเสธไม่ได้ว่า เทคโนโลยี Metaverse กำลังจะเปลี่ยนโลกของเราในเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเชื่อมโยงกันบนระบบ Blockchain ที่มีความน่าเชื่อถือ โดยอำนาจจะอยู่ในมือผู้ใช้งานเท่านั้น
(หากอยากทราบว่า Metaverse เข้าใกล้อนาคตที่กำลังจะถึงมากขึ้นในรูปแบบไหนอีกบ้าง ทางเราก็นำมาเล่าเพิ่มเติมเช่นกัน บทความนี้)
ประเด็นชวนคิด ในเรื่อง ‘ข้อตกลงจากฝั่ง App Store’
นอกจากความสำเร็จที่พูดถึงแล้ว จริง ๆ ทางค่าย Epic Games ก็มีประเด็นร้อนแรงเมื่อกลางปี 2020 กับเขาเหมือนกัน เมื่อทางค่ายเปิดให้ผู้เล่นสามารถชำระเงินในส่วนคอนเทนต์เกมได้โดยตรง “แบบไม่ผ่านตัวกลาง” อย่าง Apple แถมยังแจกส่วนลดของราคา V-Buck (สกุลเงินดิจิทัล Fortnite) สูงถึง 20%
ซึ่งแน่นอนว่า ‘ผิดกฎข้อตกลง’ ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน โดยในสัญญาระบุไว้ว่า ทุกอย่างดำเนินการเพื่อความปลอดภัยของแอปพลิเคชันบน App Store ดังนั้น Apple จึงดำเนินการ ถอดเกม Fortnite ออกทันทีในเดือนสิงหาคม 2020 ที่ผ่านมา
นั่นส่งผลให้ Fortnite มีจำนวนผู้เล่นลดลงมากถึง 60% (ชี้ให้เห็นชัดเลยว่า มีผู้ใช้งานจากกลุ่ม iOS เยอะพอสมควร) แต่ต่อมา Epic Games เลือกโต้ตอบกลับทันที ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างทวิตเตอร์ ด้วย Hashtag #FreeFortnite โดยแจ้งเหตุผลว่า ‘ไม่เห็นด้วยกับการเก็บค่าคอมมิชชั่นที่สูงถึง 30%’ แต่ไม่ว่าเหตุการณ์จะดุเดือดแค่ไหน สุดท้ายแล้ว ศาลได้ตัดสินให้ทาง Apple เป็นฝ่ายชนะไป
แต่เหตุการณ์นั้นก็ไม่ใช่จุดจบ เพราะด้วยจำนวนฐานแฟนเกมของ Fortnite ที่ยังคงเหนียวแน่น และมีเสียงเรียกร้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทาง Epic Games จึงแก้ปัญหาด้วยการเข้าร่วมกับ GeForce Now บริการสตรีมมิ่งจากค่าย Nvidia โดยรองรับตัวเกม Fortnite ที่ทำให้สามารถเล่นผ่านเบราว์เซอร์ บนอุปกรณ์ iOS ได้ (โดยระบบเปิดให้ผู้เล่นทดลองใช้ Close Beta เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2022 ที่ผ่าน)
(อ่านกลยุทธ์ จากสตรีมมิ่งเกมชื่อดังที่น่าสนใจอย่าง Twitch ได้ที่ บทความนี้)
สรุปทั้งหมด
สำหรับกลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Epic Games ประสบความสำเร็จไปอย่างสวยงาม และถึงแม้ว่าในตอนนี้ค่ายดังอย่าง Steam จะเป็นที่รู้จักในวงการจำหน่ายเกมรูปแบบดิจิทัลมากกว่า แต่ฝั่ง Epic Games ก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง บวกกับมีเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Metaverse อยู่ในมือแล้ว ทำให้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพุ่งขึ้นมาเทียบเท่า Steam ในอนาคต
และไม่ว่าฝั่งไหนจะมาเหนือ คนที่ได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็คงจะเป็นฝั่งผู้พัฒนา ที่รับรายได้มหาศาล และเหล่าเกมเมอร์ ที่ได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ไปพร้อมกับโลก Metaverse ที่สมจริงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนั่นอาจเป็นโอกาสที่จะดึงผู้เล่นหน้าใหม่ จากแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Steam, GOG หรือ Origin เข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก และสร้างรายได้ให้กับค่ายเกมอย่างไม่รู้จบนั่นเอง