การพัฒนาตัวเองสำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าสนุก แต่สำหรับบางคนก็อาจให้คำตอบที่ต่างกัน เขาอาจมองว่าการพัฒนานั้นเป็นเรื่องยาก น่าเบื่อ หรือไม่สนุกเอาซะเลย เพราะต้องแลกไปกับหยาดเหงื่อ ความทุ่มเท และความพยายามอย่างสูง ในการก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ
แต่ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องการสร้างความสนุกระหว่างพัฒนาตัวเอง เรามาทำความรู้จัก “ตัวละครหลัก” ของเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า
Mindset คือกระบวนการทางความคิดของแต่ละคน ในการแสดงออกทางทัศนคติที่แตกต่างกันออกไป เพราะขึ้นอยู่กับความหลากหลายทางความคิด ความรู้สึก ความเชื่อจากประสบการณ์ส่วนตัวบุคคล การเลี้ยงดู ครอบครัว สภาพแวดล้อม และการศึกษา เป็นต้น
- Growth Mindset คือกรอบความคิดที่พร้อมจะเติบโต เปลี่ยนแปลง และพัฒนาตัวเองอย่างไม่มีขีดจำกัด มีความยืดหยุ่นในกระบวนการทางความคิด และไม่ยึดติดกับกำแพงใดๆที่อาจมาขวางกั้นให้คุณหยุดอยู่กับที่
- Fixed Mindset จะตรงกันข้ามกับ Growth Mindset เพราะชอบที่ยึดติดกับขอบเขตเป็นหลัก ไม่กล้าออกมาจากพื้นที่เดิมที่เคยอยู่ ไม่พร้อมที่จะเอาตัวเองออกมานอกกรอบที่สร้างไว้ หรือไม่อยากทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่อาจจะสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับตัวเอง
แน่นอนว่าคนเราอาจไม่จำเป็นจะต้องมี Growth Mindset หรือ Fixed Mindset ในทุกๆเรื่อง เช่น บางคนอาจมี Growth Mindset ต่อเรื่องทางธุรกิจ และ Fixed Mindset ต่อเรื่องดนตรี แต่เราสามารถเปลี่ยนเรื่องที่เคยเป็น Fixed Mindsetให้กลายเป็น Growth Mindset ได้
หากคุณยังสับสนระหว่าง Growth Mindset และ Fixed Mindset อยู่ หรือยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความนี้ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ใน 5 นาทีด้วย Growth Mindset
หรือบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องของ The Growth Master ตามลิงก์ข้างล่างนี้ได้เลย
12 แนวคิดพัฒนา (Growth) Mindset สำหรับนักการตลาดที่รักในการเติบโต ฉบับปี 2021
Entrepreneurial Mindset พัฒนาแนวคิดให้เติบโตแบบผู้ประกอบการ
การพัฒนาตัวเองด้วยความคิดตามแผน Growth Mindset นั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย และต้องอาศัยความตั้งใจเป็นอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างระเบียบวินัยที่ดี ฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้เติบโตอยู่เสมอ หรือ การเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆในทุกวัน แต่เพื่อเป้าหมายสูงสุดที่อยากพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น และความก้าวหน้าของชีวิตในอนาคต หลายคนก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งเหล่านี้อยู่ คำถามคือ ทำอย่างไรเราถึงจะสามารถสนุกไปกับการพัฒนาตัวเอง และทำให้ทุกๆการเติบโตของเรามันไม่น่าเบื่อ
วันนี้ The Growth Master จะช่วยคุณค้นหาคำตอบจากคำถามที่เราสงสัยกัน เพราะวิธีการสร้างความสนุกระหว่างการทำงานนั้นทำได้ไม่ยาก หากเราเข้าใจหลักการของกระบวนการทางความคิดที่ดี ถ้าพร้อมแล้วไปดู 5 เคล็ดลับดีๆกันเลย
1. สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับตัวเรา
การสร้างสภาพแวดล้อมในที่นี้ไม่เพียงแต่จำกัดอยู่แค่ตัวเรา แต่มันกลับครอบคลุมไปถึงคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือเพื่อนร่วมงาน ซึ่งในบางที พวกเขาเหล่านี้นี่แหละคือส่วนสำคัญของสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ ถ้าเรารู้สึก Toxic หรือไม่สบายใจที่จะอยู่ท่ามกลางพื้นที่ตรงนี้ มันก็อาจจะก่อกวนการพัฒนาของเรา และทำให้เราไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่
หากเปรียบเทียบไปกับการปลูกดอกกุหลาบในกล่องแคบที่แออัด ไม่มีแสงเข้าถึง ไม่มีการรดน้ำพรวนดินอย่างสม่ำเสมอ กุหลาบนั้นอาจเหี่ยวเฉาและหมดทางเติบโตไปในที่สุด แต่ถ้าเราย้ายมันไปปลูกในสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ บนสวนหน้าบ้าน ที่มีแสงแดดส่องถึง ได้รับการรดน้ำในทุกๆเช้า ได้รับพลังงานดีๆ ความรัก ความใส่ใจ จากคนปลูก และรายล้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ดี ดอกกุหลาบดอกนั้นก็จะสามารถเบ่งบาน และเติบโตได้เต็มที่ อย่างมีอิสระ
ซึ่งการสร้างสภาพแวดล้อมพลังบวกนั้นทำได้ไม่ยาก และไม่สิ้นเปลืองเงินเราสักบาท เพราะมันเกิดจากการฝึกฝนตัวเองให้มีทัศนคติและความคิดเชิงบวก ตัวอย่างเช่น
- การมอบพลังที่ดีต่อคนรอบข้าง
กล่าวชื่นชมยินดีเมื่อเห็นคนประสบความสำเร็จ เพราะการได้รับคำชื่นชม เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยิน ก็ทำให้รู้สึกหัวใจพองโตกันไม่น้อย เมื่อเราพูดชมคนรอบข้าง มันก็จะทำให้คนฟังได้รับพลังบวก มีความสุข และเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง นอกจากนี้มันยังส่งผลให้เราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนที่มีความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย
- ช่วยเหลือกัน เพื่อสร้างสังคมของการให้และได้รับ
หากเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างมีปัญหาอะไรที่เราพอจะช่วยได้ เราก็ควรช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดความสามารถ เพราะนี่ถือเป็นการช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ช่วยลดภาระในใจของคนที่ประสบปัญหาให้เบาบางลง เพราะถ้าคนรอบข้างเราสบายใจ เราก็จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่พลังบวก และเมื่อมีการได้รับแล้วก็ย่อมมีการให้คืน เพราะเพื่อนๆเหล่านั้นนี่แหละ ที่จะมาอ้าแขนมาช่วยเหลือเรา ไม่มากก็น้อย ในยามยากเช่นกัน
ดังนั้นการสร้างสภาพแวดล้อมพลังบวกอาจเริ่มจากตัวเราเอง ที่ส่งผลให้คนรอบตัวปรับเปลี่ยนไปตามเรา หรือในทางกลับกัน คือการที่เราเอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เมื่อเราเห็นว่าคนรอบข้างเราสนุก หรือชื่นชอบ ในการทำสิ่งนั้นๆ เราก้จะซึมซับเรื่องราวดีๆเหล่านั้นไปเองอย่างไม่รู้ตัว
2. ใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ในแบบฉบับของตัวเราเอง
คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหม “Different methods can lead to the same result.”
บางคนอาจชื่นชอบที่จะเรียนรู้ผ่านการอ่านหรือ คำบอกเล่าประสบการณ์ที่หลากหลายของคนอื่น บางคนอาจชื่นชอบที่จะเรียนรู้ผ่านการลงมือทำด้วยตัวเอง จากประสบการณ์ส่วนตัว แต่ไม่ว่าจะทำโดยวิธีไหน เราก็สามารถมุ่งสู่จุดหมายเดียวกันได้
เพราะเราทุกคนล้วนมีการเรียนรู้ การจัดระบบความคิด ที่แตกต่างกันออกไป ฝาแฝดไข่ฟองเดียวกันที่มีหน้าตาเหมือนกันตั้งแต่หัวจรดเท้า ยังมีลายนิ้วมือ ความคิด และความถนัดที่ต่างกันได้เลย
โดยทั่วไปแล้ว ความสุขและความสนุก มักเกิดจากการที่เราได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก ได้ลงมือปฎิบัติกับงานที่เราถนัด หรือได้ค้นคว้าหาอ่านในสิ่งที่เราสนใจ ยกตัวอย่างเช่น
- การค้นพบว่าสิ่งที่เราชอบคืออะไร
เมื่อคุณมีความชื่นชอบเรื่องการอบขนมเอามากๆ คุณก็จะให้ความสนใจกับการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับขนม คิดค้นหาสูตรเมนูขนมใหม่ๆอยุ่เสมอ อาจจะเปรียบเทียบหาความแตกต่างของรสชาติขนม ผ่านกระบวนการอบด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย รู้สึกสนุกและคลั่งไคล้กับการอบขนม อย่างไม่รู้จักเบื่อ เพราะมันคือสิ่งที่คุณเองถนัด
- การต่อยอดธุรกิจจากสิ่งที่เราถนัด
หลังจากที่คุณพบว่าการอบขนมคือสิ่งที่คุณถนัดและชื่นชอบที่จะทำแล้ว คุณก็สามารถสร้างรายได้และโอกาสทางธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์ในแบบของคุณได้ เช่น ในสถานการณ์โควิด19 แทนที่จะไปเช่าพื้นที่ขายขนม หรือจ้างพนักงานมาดูแลหน้าร้าน คุณก็สามารถหันมาจับงานธุรกิจออนไลน์ ที่ไม่ต้องเสียค่าเช่าร้าน อีกทั้งยังไม่ต้องจ่ายค่าพนักงานเพิ่มเติม และยังสามารถเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างได้ในเวลาอันรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น การได้ทำงานในสายงานที่เราถนัดที่สุด ด้วยกลยุทธ์แบบฉบับของเราเอง ย่อมพาเราไปเจอผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้เช่นกัน
3. จัดลำดับการให้ความสำคัญในแต่ละกระบวนการให้ดี
ลองคิดเล่นๆดูว่าระหว่าง Process (กระบวนการ) กับ Result (ผลลัพธ์) สิ่งไหนคือสิ่งที่คุณจะใช้เวลาทำงานอยู่กับมันนานที่สุด แน่นอนเลยว่าคำตอบคงหนีไม่พ้น Process เพราะสำหรับคนส่วนมาก มันคือสิ่งที่จะทำให้เราสนุก และดื่มด่ำไปได้ ระหว่างการทำงาน หากเราให้คุณค่ากับสิ่งนี้ มันจะทำให้ทุกๆขั้นตอน กระบวนการต่างๆ ของเรามันกลายเป็นเรื่องน่าสนุก น่าสนใจ น่าทำ และท้าทายมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น การทำยอดขายให้ถึงเป้า ซึ่งกระบวนการก่อนจะถึงเป้าหมาย ที่มาพร้อมความสนุกและท้าทายนั้น มีอยู่มากมายหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็น
- การคิดแผนการทางการตลาด ที่ยั่งยืนและมั่นคงต่อการเติบโตของบริษัท
- การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
- การเจาะกลุ่มลูกค้า ที่เหมาสมและตรงกับจุดประสงค์หลักของบริษัท
- ความท้าทาย ที่อาจเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งจะทำให้เราต้องมานั่งลุ้นผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้น
- การออกนอกสถานที่ ไปพบปะ พูดคุยกับลูกค้า ที่จะช่วยเพิ่มสีสันให้การทำยอดของคุณมันไม่น่าเบื่อ
สิ่งเหล่านี้แหละที่เรียกว่าความสนุก เชื่อสิ!! ว่าถ้าเราได้ลิ้มรสความสนุกไประหว่างการทำงานแล้ว เราย่อมสามารถผลิตผลงานที่ดี หรือเดินไปสู่ผลลัพธ์ปลายทางที่ดีได้
ในทางกลับกัน ถ้าเราสนใจผิดจุด มัวแต่ไปให้คุณค่ากับผลลัพธ์ที่ปลายทางมากจนเกินไป มันก็อาจทำให้เราเผลอกดดันตัวเองมากเกิน หรือรู้สึกท้อแท้ บั่นทอนจิตใจตัวเองเปล่าๆ จากที่จะสนุกกับการทำงานกลับกลายเป็นหมดสนุก เครียดและกังวลแต่กับสิ่งที่อยู่ปลายทาง หรือในกรณีที่แย่ที่สุด บางคนอาจจะล้มเลิกการทำงานนั้นๆไปเลยก็เป็นได้
ดังนั้น จงสนุกไปกับกระบวนการการเรียนรู้ระหว่างไปให้ถึงเป้าหมายให้เต็มที่เถอะ ยิ้มเมื่อเราเห็นการพัฒนาในตัวเอง ยิ้มอีกครั้งเมื่อเราเห็นความความมุ่งมานะ เชี่ยวชาญ และความคล่องแคล่วของตัวเองที่เพิ่มขึ้นในทุกๆวัน และสนุกไปกับมันกัน
4. กล้าที่จะลองผิดลองถูก อย่าเครียด หรือมัวแต่กลัว
เพราะการได้ “ลองทำ ลองผิดลองถูก ลองไปก่อน ลองอย่างกล้าได้กล้าเสีย” นี่แหละที่ท้าทาย เราต้องมาลุ้นผลลัพธ์ว่า เมื่อลองทำดูแล้ว ผลลัพธ์จะทำออกมาหน้าเป็นอย่างไร จะเป็นไปตามที่เราตั้งใจไว้รึเปล่า
มันคล้ายๆกับการเล่นเกม ก่อนเล่นเราไม่รู้หรอกว่าจะแพ้ หรือ ชนะ แต่เราต้องลองเล่นดูสักตั้ง เราถึงจะเห็นผลคะแนน ฟังดูแล้วคุณเริ่มอยากลองเล่นเกมของคุณรึยัง?
ถ้าคุณอยากสนุกไปกับการพัฒนาตัวเอง คุณต้องกล้าออกมาจาก Comfort Zone กล้าลอง กล้าเสี่ยง กล้าทำ หากมัวแต่กังวล เครียด กดดันตัวเองจนมากเกินไป หรือกลัวไปก่อนล่วงหน้า มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถช่วยให้เราเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกได้เลย จงกล้าที่จะทำ และเรียนรู้จากความผิดพลาด นำเอาข้อปรับปรุงแก้ไขต่างๆเหล่านั้น มาเป็นบทเรียนที่ลองในครั้งต่อๆไป
และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หากเราให้โอกาสตัวเองให้ได้ลองลงมือทำ เราก็จะได้เรียนรู้ และสนุกกับมันได้เอง ทำตัวเองให้ผ่อนคลาย พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนลงมือทำ เพราะผลลัพธ์ที่สวยงาม กำลังรอคุณอยู่ที่ปลายทาง
5. เริ่มลงมือทำ! และปฎิบัติ !!! อย่างมีเป้าหมาย
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าเรื่องนี้อาจคล้ายคลึงกับข้อก่อนหน้า แต่จะแตกต่างกันตรงที่ระดับความจริงจังของการปฎิบัติ ที่ชัดเจนมากขึ้น!! เพราะมันคือการลงมือทำอย่างมีเป้าหมาย
เราจะสัมผัสความสนุกไม่ได้เลย ถ้าเรายังคงยึดติดกับความกลัว การเร่ิมลงมือทำนี่แหละ คือประตูบานแรก ที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จ จากที่เรารู้ๆกันดีว่าหัวใจหลักของ Growth Mindset คือการมีใจอยากพัฒนา พร้อมและตั้งใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ดังนั้นสรุปง่ายๆได้ว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดการลงมือทำของคุณ
อีกสิ่งนึงที่สำคัญไม่แพ้การลงมือทำ คือการกำหนดเป้าหมายควบคู่ไปกับการลงมือปฎิบัติ เพราะสิ่งนี้เป็นตัวที่คอยกำหนดขอบเขตให้เราไม่ออกนอกลู่นอกทาง ย่นระยะเวลาการทำงาน และทำให้เราไปถึงจุดหมายได้ไวขึ้น
นอกจากนี้สิ่งที่ชอบมาพ่วงกับเป้าหมายคือ Time Constraints การกำหนดระยะเวลาในการทำงานตั้งแต่ตอนเริ่มถึงตอนจบของแต่ละโปรเจ็กต์ เส้นขีดเวลานี้แหละ จะเป็นตัวเพิ่มแรงผลักดัน เติมเชื้อเพลิงให้เรามีแรงขับเคลื่อน ทำงานให้สำเร็จตามเวลาที่ตั้งไว้ เพราะหากไม่มีสิ่งนี้ เราก็อาจทำงานนั้นไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย
ตัวอย่างเช่น ลองเริ่มจากการ จับปากกาเขียนเป้าหมายที่ชัดเจน พร้อมรายละเอียดของขั้นตอนที่จะพาคุณเดินไปสู่เป้าหมายนั้นๆ และเริ่มลงมือทำตามแผนการนั้นอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ ทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่เรากำหนด
แต่เราต้องอย่าลืมว่า การกำหนดเวลาและการสร้างแรงกดดันต่างๆนั้น ควรตั้งอยู่ในจุดที่เราไหว มีความเป็นไปได้ และตามกำลังตัวเราเอง “อย่าดึงเชือกให้ตึงหรือหย่อนเกิน” อย่างการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็ไม่ควรที่จะ Strictly Focus on Goal เพียงอย่างเดียว เพราะการแวะชมดอกไม้ที่ข้างทางบ้าง ดื่มดำบรรยากาศรอบตัวบ้าง ในบางเวลา ก็อาจเป็นโอกาสที่ดีให้เราได้เพิ่มความสุข และสัมผัสความสนุกได้ในเวลาเดียวกัน โดยไม่ละทิ้งเป้าหมาย
สรุปทั้งหมด
การที่จะพัฒนาตัวเองให้มี Growth Mindset อย่างแรกคือเราต้องมีความตั้งใจที่จะเติบโตไปเรื่อยๆ มีความพร้อม มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาศักยภาพ และกระบวนการทางความคิดของเราไปในทางที่ดีได้ อย่างไร้ขีดจำกัด
ฉะนั้นแล้ว การสร้างความสนุกเพิ่มเติมไประหว่างทาง ก็ถือเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้การพัฒนาของคุณนั้นมีสีสัน ไม่น่าเบื่อ และไม่เหมือนใคร หากคุณพร้อมแล้ว เรามาเติบโตอย่างมั่นคงไปพร้อมๆกันเถอะ