Services
Services
Performance MarketingContent Led GrowthLaunchpad WebsiteBranding
PORTFOLIO
Let's Talk
Services
Performance MarketingContent Led GrowthLaunchpad WebsiteBranding
Services
Portfolio
Let's Talk
คุยกับเรา
Thank you! Your submission has been received!
Oops! Something went wrong while submitting the form.

Growth Update

ส่องดูเทรนด์ Customer Experience (CX) ในปี 2021 ที่นักการตลาดทุกคนไม่ควรพลาด!

สรุป 5 เทรนด์ Customer Experience (CX) จาก Zendesk ที่บริษัทและแบรนด์ต่าง ๆ ควรรู้ในปี 2021
By
Cartoon Tanaporn
February 24, 2021
Light
Dark
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

เมื่อวานนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2021) ทางทีมงาน The Growth Master ได้มีโอกาสเข้าร่วมการถ่ายทอดสดงานสัมมนาออนไลน์จากประเทศสิงคโปร์กับทาง Zendesk ในหัวข้อเรื่อง Customer Experience (CX) Trends 2021

ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นปีที่ทั้งดี แย่ และน่าตื่นเต้นสำหรับหลายธุรกิจเลย เพราะต้องปรับเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานขององค์กรใหม่เกือบทั้งหมด (สำหรับบางองค์กร) รวมถึงต้องปรับเปลี่ยนความสามารถในการเข้าถึงประสบการณ์ของลูกค้าด้วยเช่นกัน เพราะทุกคนต้องติดอยู่ที่บ้าน ไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติเหมือนที่เคยเป็น เนื่องจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว

แบรนด์ต่าง ๆ จึงต้องหาช่องทางเข้าไปเสิร์ฟประสบการณ์ดี ๆ ให้ลูกค้าของตัวเองกันถึงที่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าก็หนีไม่พ้นช่องทางออนไลน์ และหลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนการทำงานกันยกใหญ่แล้ว ทุกคนก็จะรู้ว่าทั้งพฤติกรรมของลูกค้าและการทำงานแบรนด์เองจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

ดังนั้น Zendesk จึงได้มีการรวบรวมเกี่ยวกับเทรนด์ด้าน Customer Experience ผ่านพฤติกรรมและข้อมูลสำคัญที่ได้เก็บรวบรวมมาจากทั่วโลกและจากตลาดเอเชียแปซิฟิก (APAC) ทำให้เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและการรับมือของแบรนด์ต่าง ๆ ในยุคที่ท่วมท้นด้วยข้อความ Messaging มากมาย จนเรียกว่าเป็นยุคแห่ง A More Conversation World เลยก็ว่าได้

ในบทความนี้ The Growth Master ก็ได้สรุปเรื่องราวเกี่ยวกับ Customer Experience Trends 2021 ที่น่าสนใจมาฝากทุกคนกันค่ะ

5 เทรนด์ Customer Experience ปี 2021 ที่น่าสนใจ

Zendesk ได้สรุป 5 เทรนด์ที่บริษัทหรือแบรนด์ต่าง ๆ ควรรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience: CX) ในปี 2021 จะมีอะไรกันบ้างไปดูกันเลย

เทรนด์ที่ 1: ประสบการณ์ของลูกค้าคือสิ่งแรกที่ควรใส่ใจ

อย่างที่เรารู้กันว่า การระบาดใหญ่ของ Covid-19 ทั่วโลกไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตหรือทำงานร่วมกันของผู้คนเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่บีบบังคับให้ลูกค้าต้องหันกลับมาใส่ใจคุณค่าของตัวเอง และสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากแบรนด์ด้วย

เพราะเมื่อผู้คนอยู่ที่บ้านกันมากขึ้น ลูกค้าก็หันมาซื้อของกันทางออนไลน์มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน โดยมีร้านค้า E-Commerce เพิ่มขึ้นมากถึง 30% ในช่วงการแพร่ระบาด เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นั่นจึงหมายความว่า ความคาดหวังที่พวกเขาอยากได้รับประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์ก็สูงขึ้นกว่าที่พวกเขาเคยมีด้วย 

75% ของลูกค้ามักจะใช้จ่ายกับแบรนด์ที่มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า 

การเชื่อมต่อระหว่างแบรนด์และลูกค้ามีความสำคัญมากขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของปี 2020 เป็นต้นมา เพราะทั้งลูกค้าและแบรนด์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งมันมากจนขึ้นไปเป็นแถวหน้าของกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business Strategy) ของหลายแบรนด์เลยทีเดียว

และลูกค้ามักจะมองหาประสบการณ์ที่ดีที่สุดที่แบรนด์ได้ส่งมอบให้พวกเขา จนเอามาเปรียบเทียบกับความคาดหวังที่พวกเขามี ซึ่งถ้าแบรนด์พลาดในการทำหน้าที่นั้นแม้แต่ครั้งเดียว อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจและย้ายไปซื้อสินค้าหรือบริการของคู่แข่งทันทีเลยก็ได้

ถ้าเรามองดูข้อมูลจากข้อมูลที่ Zendesk รวบรวมมา เราจะเห็นว่า 65% ของลูกค้ามักชอบซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ให้บริการอย่างรวดเร็วและมีการทำธุรกรรมทางออนไลน์ที่ง่าย และ 49% ของลูกค้าให้คะแนนกับการบริการของ Amazon สูงที่สุด (สะท้อนให้เห็นว่า Amazon นอกจากจะเป็นแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ก็ยังมีการบริการลูกค้าที่ดีและตอบโจทย์พวกเขาอีกด้วย)

cx trends 2021
ภาพจาก zendesk


นอกจากนั้น ในปี 2020 เราจะเห็นได้ว่าบริษัทที่ให้บริการด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น E-Commerce, Entertainment, Gaming, Groceries, Social Media, Online Health, Remote Conferencing & Learning Platform ล้วนได้มีการเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) กับลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทุกประเภทเลยทีเดียว

cx trends 2021
ภาพจาก zendesk


ถ้าให้กล่าวโดยสรุป จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะค้าขายกันผ่านช่องทางไหน ทั้งหน้าร้านเองหรือในโลกออนไลน์ แบรนด์ควรที่เอาใจใส่ลูกค้าอยู่แล้ว แต่พอมาอยู่ในยุคที่ลูกค้าและแบรนด์ต่างไม่สามารถมาเผชิญหน้ากันได้โดยตรง 

แบรนด์ก็ยิ่งควรต้องพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองให้ดีที่สุด รวมถึงค้นหาว่าลูกค้าของคุณต้องการอะไร และออกแบบการช่องทางการสื่อสารให้ดีขึ้น เพื่อที่สะท้อนให้เห็นว่าคุณเองพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา ต้องการที่จะเข้าถึง มีส่วนร่วม เอาใจใส่กับลูกค้ามากที่สุด และสร้างความประทับใจให้กับพวกเขา นั่นเป็นพื้นฐานที่ทุกร้านค้าออนไลน์ในปี 2021 ควรมีเป็นอย่างยิ่ง

เทรนด์ที่ 2: โลกที่การสนทนามีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น

เมื่อโลกเปลี่ยน คนก็เริ่มเปลี่ยน

สำหรับประโยคนี้ก็เป็นอีกหนึ่งประโยคที่ใช้ได้ตลอดกาลจริง ๆ เพราะในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่เรามีช่วงเว้นระยะห่างออกจากกัน (Social Distancing) ทำให้ไม่ได้พบกันแบบตัวบุคคล ลูกค้าก็มีแนวโน้มพฤติกรรมในการซื้อของเปลี่ยนไปด้วย

เพราะการส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ และการสนทนาทางช่องทางดิจิทัลออนไลน์ได้กลายมาเป็นวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง

ซึ่งลูกค้าเกือบ 1 ใน 3 บอกว่าพวกเขาเริ่มเปลี่ยนมาซื้อสินค้าและบริการจากแบรนด์ใหม่ ๆ ในช่วงที่เกิดโรคระบาด และ 84% ของพวกเขาก็ยังคงจะซื้อจากแบรนด์พวกนั้นต่อไป (ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าลูกค้าเก่าที่เคยจงรักภักดีต่อแบรนด์ของเรา สามารถเปลี่ยนไปได้เสมอ ถ้าเกิดว่าแบรนด์อื่นส่งมอบอะไรที่ดีกว่าให้กับพวกเขา)

และลูกค้าโดยเฉพาะคนรุ่น Millennials (ช่วงอายุ 21-37 ปี) และเหล่า Gen Z กว่า 64% บอกว่าพวกใช้ช่องทางใหม่ในการซื้อของ (เช่น เปลี่ยนจากซื้อหน้าร้านโดยตรงมาเป็นส่งข้อความไปซื้อกับร้านค้าออนไลน์) และ 73% ของพวกเขาก็คงจะเลือกซื้อของทางช่องทางนี้ต่อไปอีกด้วย


ภาพจาก zendesk

แอปพลิเคชันส่งข้อความทั้งหลายได้รับความนิยมขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ละตินอเมริกาและเอเชีย จากสถิติของ eMarketer ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้งาน Messaging App มีการใช้งานทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.77 พันล้านคนต่อเดือน 

ซึ่งลูกค้าจำนวนมากกล่าวว่า พวกเขาต้องการส่งข้อความถึงแบรนด์ผ่านเว็บไซต์หรือแอปของตัวเอง แต่แอปส่งข้อความ (Messaging App) ก็เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่สุดที่พวกเขาเลือกใช้ เช่น WhatsApp และ Facebook Messenger มียอดการใช้งานพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาด

ภาพจาก zendesk

ในขณะเดียวกัน ความนิยมของการรับส่งข้อความเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าช่องทางอื่น ๆ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ประตูการเติบโตสู่โลกของ Customer Experience” และเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีที่ลูกค้าโต้ตอบกับแบรนด์อย่างรวดเร็วอีกด้วย

ถ้าลูกค้ามีช่องทางการรับ-ส่งข้อความที่สะดวกสบาย รวดเร็ว และเป็นส่วนตัวมากขึ้น มันจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างตัวลูกค้าและแบรนด์เอง ลูกค้าจะรู้สึกผ่อนคลาย เพราะเป็นช่องทางที่ลูกค้าสามารถติดต่อกับแบรนด์ได้โดยตรง ในเวลาที่เขามีปัญหาหรือข้อสงสัยอะไร และแบรนด์เองก็จะสามารถช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาผ่านช่องทางนั้นได้โดยตรงอีกด้วย

ภาพจาก zendesk

เช่นเดียวกันที่ปีที่แล้ว เราได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Apple, Google และ Facebook ได้เข้ามาทำให้ลูกค้ามีโอกาสเชื่อมต่อกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มทางด้านการส่งข้อความกันยกใหญ่ เช่น

  • เดือนมิถุนายน Google ปล่อย Business Messages บน Google My Business เพื่อเพิ่มประสบการณ์การโต้ตอบระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ให้ง่ายขึ้น
  • เดือนกรกฎาคม Apple พัฒนาฟีเจอร์ Business Chat บน iMessage เพื่อให้ลูกค้ากับแบรนด์สามารถโต้ตอบกันได้
  • เดือนตุลาคม WhatsApp ปล่อย In-chat Payment ในอินเดีย คือ การโอนเงินผ่านแอปได้เลย ทำให้มีผู้ใช้งานกว่า 1 หมื่นล้านข้อความต่อวัน นอกจากนั้น Facebook ยังพัฒนาช่องทางการแชทให้เหนือขั้นกว่าเดิมโดยการผสานให้ผู้ใช้สามารถแชทข้ามแพลตฟอร์มระหว่าง Facebook และ Instagram ได้
ภาพจาก zendesk


สำหรับแบรนด์ต่าง ๆ การเชื่อมต่อกับลูกค้า หมายถึง การที่พวกเขาคอยแสวงหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้มีส่วนร่วมกับลูกค้าอยู่เสมอ ซึ่งกว่า 40% ของแบรนด์บอกว่า พวกเขาเพิ่มช่องทางใหม่ในการติดต่อกับลูกค้าในปีนี้ และ 53% หันมาใช้การรับส่งข้อความมากขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วยแอปอย่าง WhatsApp, SMS / Texting รวมถึงช่องทาง Messaging ที่ฝังอยู่ในเว็บไซต์ของบริษัทเองด้วย

ภาพจาก zendesk

แต่อย่างไรก็ตาม Grab หนึ่งในผู้นำบริการในด้าน CX เขาก็ได้มีช่องทาง Official เพื่อเอาไว้ติดต่อและเข้าถึงลูกค้า เช่น ระบบแชท และในขณะเดียวกันก็ใช้ช่องทางเสียง (Voice Channel) เป็นหลักด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า Grab เองจะได้รับคำตอบและมีคุณภาพที่ถูกต้องจากลูกค้า 

เพราะด้วยบริการของ Grab ที่เป็นลักษณะของระบบขนส่งสาธารณะและเดลิเวอรี่ อาจทำให้การโต้ตอบกับลูกค้าด้วยข้อความ (Messaging) ไม่ได้รับความสะดวกทั้งผู้ให้บริการและตัวลูกค้าเอง การใช้ช่องทางเสียงจึงทำให้ทั้งสองฝั่งได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น 

ถ้าให้คุณลองเดาเล่น ๆ คุณคิดว่าบริษัทที่สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้รวดเร็วที่สุด และได้รับคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าสูงสุด คือบริษัทแบบไหน?

จากข้อมูลของ Zendesk บอกว่าบริษัทประเภทนั้น คือ บริษัทที่มักจะส่งข้อความถึงลูกค้าโดยตรงอย่างสม่ำเสมอ เช่น บริษัท E-Commerce และ Gaming ต่าง ๆ เป็นผู้นำในด้านความพยายามนี้และพวกเขาก็กำลังขยายช่องทางการส่งข้อความให้รวดเร็วกว่าคนอื่น ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่มีความกระตือรือร้นในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

หลังจากที่เห็นตัวเลขสถิติต่าง ๆ และได้รับบทเรียนความห่างไกลระหว่างลูกค้ากับแบรนด์จากปี 2020 มาแล้ว ในปี 2021 ก็เช่นกัน ถ้าคุณเป็นแบรนด์ที่อยากใส่ใจและเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายมากที่สุด คุณก็ควรที่จะพัฒนาช่องทางการสื่อสารของธุรกิจคุณให้ดีขึ้น โดยเฉพาะช่องทางการส่งข้อความ หรือ Messaging App ทั้งหลาย แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูด้วยว่าธุรกิจของคุณเหมาะสมกับช่องทางการสื่อสารแบบใด (เหมือน Grab ที่ใช้ Voice Channel)

เพื่อที่จะได้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดี เข้าถึงง่าย และเป็นกันเองกับลูกค้า มิเช่นนั้น เมื่อลูกค้ามีพฤติกรรมเปลี่ยนไปแล้ว เขาก็จะรู้สึกเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบใหม่ ถ้าคุณไม่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยและคู่แข่งพัฒนาไปไกลและทำให้ลูกค้าของคุณได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้ว คุณก็จะเป็นแบรนด์ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังนั่นเอง

เทรนด์ที่ 3: ความคล่องตัวเป็นกุญแจสำคัญ

ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ความคล่องตัว (Agility) เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ซึ่งในปี 2020 เราจะเห็นได้ว่าทุกอย่างรอบตัวเรามีแต่ความผันผวนเต็มไปหมด และบริษัทต่าง ๆ ก็ได้เริ่มมีการปรับให้มีความยืดหยุ่นในการทำงานกับทีมงานของพวกเขามากขึ้น เพื่อเอาตัวรอดในช่วงของโรคระบาดที่นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างหนึ่ง

เช่นเดียวกับทีมที่รับผิดชอบด้าน Customer Experience กล่าวว่าพวกเขาก็ได้เพิ่มความสามารถในการปรับตัวมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคด้วย ซึ่งข้อนี้นับว่าเป็น Pain Point ที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาในปี 2020 และนับว่าเป็นความสำคัญอันดับแรก ๆ ที่ต้องใส่ใจอย่างมากในอนาคตอีกด้วย

ภาพจาก zendesk

นอกจากนั้น บริษัทต่าง ๆ ต้องเริ่มจากการเพิ่มประสิทธิภาพจากภายในองค์กรก่อน เพื่อที่จะทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น กล่าวคือ ทีมงานต้องรู้จักปรับขนาดในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ปรับลดขั้นตอนการทำงานระหว่างทีมให้ดีขึ้น และหาช่องทางเพื่อลดการใช้ทีมต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการทำงาน

เพราะมีหลายทีมงานที่กำลังทำงานข้ามแพลตฟอร์มอยู่ ซึ่งหมายถึงว่าพวกเขาต้องการที่จะสลับสับเปลี่ยนการทำงานไปมาระหว่างกันให้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กกำลังเพิ่มการใช้เครื่องมือหรือฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในทีม 

และผลออกมาว่า ทีมงานที่ขึ้นชื่อว่ามีประวัติการทำงานดีที่สุดทั้งในด้านความเร็ว ประสิทธิภาพ และการทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจ มักจะใช้เครื่องมือเทคโนโลยีด้าน Workflow Management ต่าง ๆ เข้ามาช่วยทำงาน เมื่อเทียบกันกับทีมงานที่ไม่ได้ใช้ พวกเขามีประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำกว่าทีมที่ใช้อีกด้วย

ภาพจาก zendesk

ถึงแม้ว่าบริษัทต่าง ๆ กำลังพยายามเพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้นภายในทีม แต่ส่วนใหญ่มักจะพลาดกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ นั่นคือ การใช้แหล่งข้อมูลแบบบริการตนเอง (Self-service) เช่น ศูนย์ช่วยเหลือต่าง ๆ เพราะจะทำให้ลูกค้าค้นหาคำตอบที่กำลังสงสัยได้โดยตรงทางช่องทางออนไลน์ แต่ก็มีบริษัทน้อยกว่าครึ่งที่จะเลือกใช้มัน

และแม้ว่ามีหลายบริษัทแล้วที่หันมาใช้ Chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI เพื่อช่วยลูกค้าในการตอบคำถามทั่วไปแล้ว แต่อัตราการใช้งานก็ยังคงมีอัตราที่ต่ำอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทขนาดเล็ก

อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงข้อมูลยังคงเป็นความท้าทายสำหรับหลาย ๆ บริษัท เพราะมีทีมงานน้อยกว่าครึ่งที่สามารถเข้าถึงประเภทของข้อมูลลูกค้าใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ อุปกรณ์ที่ลูกค้าใช้ คำสั่งซื้อล่าสุด หรือข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลพวกนี้มันสามารถช่วยให้พวกเขาช่วยเหลือลูกค้าได้ดีขึ้น ถ้าพวกเขามีโอกาสเข้าถึงมัน

ภาพจาก zendesk


ตัวอย่างนึงขององค์กรที่ใช้ข้อมูลของลูกค้าเข้ามาทำการทดลองใหม่ ๆ เพื่อหาช่องทางมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า คือ Grab

โดย Grab บอกว่า ถ้าแบรนด์ใช้วิธีแบบเดิม ๆ เขาก็จะรู้อยู่แล้วว่าลูกค้ามีการตอบโต้ยังไง ซึ่งโดยปกติลูกค้ามีพฤติกรรมแตกต่างกันอยู่แล้วในระดับที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงมีการทดลองโดยใช้ข้อมูลอยู่เสมอ เช่น ถ้า Grab อยากรู้ว่าลูกค้าเข้าถึง Grab ได้จากช่องทางไหนบ้าง Grab ก็ทำการทดลองแบบ A/B Testing โดยใช้ Data และ Insight ของลูกค้าที่มีอยู่ในมือ เพื่อทำความเข้าใจว่าวิธีไหนเป็นวิธีที่ดีและจะสามารถส่งมอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้พวกเขาได้อย่างไร

คุณจะเห็นได้ว่าเทรนด์ด้านความคล่องตัวนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่มีความสำคัญไม่แพ้กับเรื่องอื่น ๆ เลย แต่อย่างไรก็ตาม คุณควรเริ่มที่จะปรับการทำงานจากภายในองค์กรเป็นอันดับแรก ๆ เพื่อที่จะสร้างความคล่องตัวในการทำงานของทีมงาน และทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่สะดุด 

ถ้าระบบหลังบ้านไม่ดี แล้วระบบหน้าบ้านที่ส่งออกไปจะดีได้ยังไง ถ้ามันจะดีก็ควรที่จะดีมาจากภายในด้วยเช่นกัน เพื่อที่สุดท้ายแบรนด์จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง

เทรนด์ที่ 4: อนาคตของการทำงานคือปัจจุบัน

ในปี 2020 เป็นช่วงเวลาสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ธุรกิจที่มีการเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีก็จะรอด (ส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรที่มีการใช้เทคโนโลยีในการทำงานอยู่แล้ว) ส่วนธุรกิจไหนที่ไม่เคยปรับตัวมาใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานก็อาจจะมีสะดุดบ้าง หรือแม้กระทั่งบางธุรกิจก็ร่วงหายไปเลย

ซึ่งมันเหมือนเป็นการให้คนในองค์กรทุกระดับทดลอง Work From Home กัน นับเป็นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และมันก็ได้ส่งผลกระทบต่อวิธีการทำงานของหลายองค์กร ตั้งแต่เครื่องมือที่เราต้องใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพไปจนถึงวิธีการทำงานร่วมกันของทีมงานในวันที่เราต้องไกลห่างกัน

และในปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าบริษัทต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เช่น กว่า 50% ของพนักงานในองค์กรเริ่มทำงานจากระยะไกล, บริษัทจำนวน 36% มีการปรับลดพนักงาน ในขณะที่ 68% ของตัวแทนรู้สึกว่าตัวเองต้องแบกรับภาระงานที่หนักขึ้น หรือเรียนรู้เครื่องมือและกระบวนการใหม่ ๆ เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เช่น มีการนำเครื่องมือมา Video Conferencing กับทีม, การส่งข้อความหากัน หรือเครื่องมือที่สามารถทำงานร่วมกันได้แบบ Seamless

ภาพจาก zendesk

แต่อย่างไรก็ตาม การทำงานแบบ Work From Home พนักงานมากถึง 46% รู้สึกว่าพวกเขายังไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับทำงาน จากเดิมที่เคยทำงานอยู่ในออฟฟิศจึงไม่ต้องปรับอะไรมากมาย แต่พอมาทำงานในสภาพแวดล้อมแบบใหม่ต้องมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก  และ 40% ของเหล่า Manager บอกอีกว่าพวกเขาไม่มีเครื่องมือ Analytics ที่เหมาะสมสำหรับวัดผลการทำงานในระยะไกลของทีม

จากตัวเลขเหล่านี้มันสะท้อนให้เห็นว่า บางองค์กรยังไม่สามารถสนับสนุนการทำงานของทีมได้ นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยปรับเปลี่ยนการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์เข้ามาช่วย ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน ๆ มันอาจเป็นต้นเหตุของการทำงานที่ไม่มีสิทธิภาพ และอาจเกิดปัญหาสะสมขึ้นภายหลังได้อีกด้วย

ภาพจาก zendesk

หลังจากที่เห็นถึงปัญหาและต้องเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ องค์กรต่าง ๆ จึงต้องหันกลับไปวางแผนหาทางใหม่ เพื่อหาวิธีจัดระเบียบการทำงานของทีมต่าง ๆ ให้ดีขึ้น 

ผลการสำรวจล่าสุดพบว่า 92% ของผู้บริหารต้องกลับมาคิดใหม่ว่า พวกเขาต้องทำงานอย่างไร เนื่องจากการแพร่ระบาด ซึ่งมีหลายคนที่กำลังพัฒนา Solution ในระยะยาว ประกอบไปด้วย 

  • 70% ต้องการเพิ่มการมีส่วนร่วมกับพนักงานให้ดีขึ้น
  • 60% มีแผนที่จะปรับให้พนักงานมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
  • 60% คิดที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขั้นตอนการทำงาน เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของพนักงานมากขึ้น (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 30%)

ซึ่งจากข้อมูลของ Zendesk เปิดเผยว่า มีหลายองค์กรที่เข้ามาลงทุนใช้งานระบบช่วยเหลือภายใน (Help Desk) เพิ่มมากขึ้น และคาดอีกว่าจะเพิ่มหลังเหตุการณ์ Covid-19 เป็นสองเท่าอีกด้วย

ภาพจาก zendesk

ซึ่งเราขอสรุปว่า การที่องค์กรมีการสนับสนุนและให้ความสำคัญกับเครื่องมือตัวช่วยการทำงานแก่พนักงานที่ดี ก็จะส่งผลต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในองค์กร และที่สำคัญก็จะส่งผลมาถึงประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้นอีกด้วย และระบบ Automation ยังให้ของแถมกับองค์กรอีกด้วยนั่นคือ ช่วยเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายลงนั่นเอง

ลองนึกภาพดูเล่น ๆ นะคะว่า ถ้าบางองค์กรไม่สามารถจัดการการทำงานร่วมกันของทุกทีมได้ ฝ่ายนั้นสั่งงานอีกอย่าง ฝ่ายนี้ทำงานออกมาอีกอย่าง การทำงานมีช่องโหว่ แล้วสินค้าหรือบริการที่ปล่อยออกมาจะมีประสิทธิภาพตรงกับความต้องการของลูกค้าได้หรือไม่? เพราะฉะนั้น คุณต้องหาเครื่องมือตัวช่วยเข้ามาเต็มเติมประสิทธิภาพตรงนั้นก่อนที่จะสายเกินไป

เทรนด์ที่ 5: การลงทุนทางด้านดิจิทัลคือคำตอบ!

ถ้าองค์กรไหนที่วางแผนว่าจะเปลี่ยนแปลงองค์กรของตัวเองเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว เราอยากบอกคุณว่าหยุด “แค่คิด” ได้แล้ว เพราะตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำแบบจริงจังได้แล้ว

ผู้นำองค์กร 75% ยอมรับว่าโรคระบาดทั่วโลกได้เข้ามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เราต้องเข้าสู่การใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ต้องคอยแสวงหาวิธีการใหม่ ๆ ในการเข้าถึงลูกค้าและเชื่อมต่อกับทีมงานของตัวเอง

ซึ่งในปัจจุบันนี้ Solution และเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม (Innovation) ใหม่ ๆ ไม่ได้มีเฉพาะสำหรับผู้ที่เป็น Digital Savvy อีกต่อไป แต่มันมีไว้สำหรับทุกทีมหรือทุกคนเลย ส่วนใครที่ยังคงไม่มีความสนใจในเรื่องนี้ ก็มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียว (เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากนะคะ)

นอกจากนั้น บริษัทมากกว่าครึ่งยังกล่าวอีกว่า พวกเขาต้องการลงทุนมากขึ้นในเทคโนโลยีที่ช่วยให้พวกเขาสามารถบริหารจัดการกับพนักงานที่อยู่กระจายตัวกันได้ดีขึ้น ปรับตัวให้ทันกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงเพิ่มวิธีการใหม่ ๆ ในการสนับสนุนพวกเขาอีกด้วย

ภาพจาก zendesk

แม้แต่บริษัทที่เคยให้อันดับความสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีไว้เป็นอันดับท้าย ๆ ยังหันมาสนใจลงทุนด้านนี้เป็นอันดับแรก ๆ เลย (เมื่อโลกเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนตาม เหมือนกับที่เคยบอกไว้จริง ๆ นะ)

  • 35% วางแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมในการเพิ่มบริการข้ามช่องทาง (Service Across Channels)
  • 29% วางแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีด้านการทำงานแบบ Agile
  • 27% วางแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพื้นที่ทำงานในระบบดิจิทัล (Digital Workspace)

และการแพร่ระบาดทำให้ Digital Transformation เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทต่าง ๆ ก็มีการแบ่งแยกระหว่างการมีทรัพยากรสำหรับทำการเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ และต้องเปลี่ยนแปลงไล่จับให้ทันในภายหลัง แม้ว่าหลายคนจะมองโลกในแง่ดีว่าการเพิ่มงบประมาณเพื่อมาลงทุนด้านเทคโนโลยีจะช่วยลดช่องว่างนี้ในอีก 2 ปีข้างหน้าก็ตาม 

หรือแม้แต่ Grab เองที่เป็นอุตสาหกรรมระบบขนส่งและเดลิเวอรี่แนวหน้าของเอเชียก็ได้โฟกัสในการลงทุนด้าน Technology และ Automation เช่นกัน อย่างการหันมาพัฒนาระบบแอปพลิเคชันของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนา Live Chat อีกด้วย ซึ่งคุณก็ต้องฟังความเห็นของลูกค้าด้วยว่า พวกเขาต้องการอะไร เพื่อที่จะได้มาพัฒนาให้ถูกจุด

ซึ่งเมื่อพูดถึงการเติบโตของ Customer Experience ตอนนี้บริษัทต่าง ๆ เริ่มอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างกันแล้ว กล่าวคือ 76% ให้บริการแบบ Self-Service รวมถึงใช้ช่องทางเฉลี่ย 7 ช่องทางในการ Support ลูกค้า และอีกกว่า 4 เท่าใช้การทำงานแบบทางไกล

ส่วนผู้ที่เดินทางมาได้ไกลที่สุดบนเส้นทาง CX นี้ มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะมีการลงทุนใน CX เพิ่มขึ้นอีก 7 เท่าอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้าอีกด้วย และจากการทำเช่นนี้ พวกเขามีแนวโน้มที่จะรักษาลูกค้าเก่า ๆ (Customer Retention) ไว้ได้มากกว่า 6 เท่าอีกด้วย

ภาพจาก zendesk

จากที่ดูสถิติต่าง ๆ แล้วก็ทำให้เราสามารถคาดการณ์อนาคตไว้ว่า ไม่มีองค์กรไหนที่จะไม่ปรับตัวมาใช้ Digital Business Model เพื่อที่จะเข้าถึงและสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าแน่นอน 

ถ้าคุณเป็นองค์กรที่ยังไม่เริ่มปรับตัวตั้งแต่ตอนนี้ ยังไงอีก 5-10 ปีข้างหน้า คุณก็ต้องปรับตัวอยู่ดี แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคุณหันมาลงทุนทางด้านดิจิทัลในตอนนี้ เพื่อผลตอบแทนที่ดีในอนาคต เพราะเมื่อพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปแล้ว ก็คาดว่าจะไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นแบบเก่าได้อีก คุณจำเป็นต้องอ่านใจและวิ่งตามพวกเขาให้ทันก่อนที่จะสายเกินไป

ซึ่งถ้าองค์กรไหนสนใจที่ปรึกษาทางด้านการใช้ซอฟต์แวร์ภายในบริษัท The Growth Master ก็ได้มีบริการ Business Tech Stack Consulting ด้วยเหมือนกันนะ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ ที่นี่

สรุปทั้งหมด

นับได้ว่าข้อมูล CX Trends 2021 ที่ Zendesk ได้รวบรวมมาให้คนทำธุรกิจหรือนักการตลาดอย่างเรา ๆ ได้ศึกษา มันมีประโยชน์มากมายมหาศาล และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในธุรกิจของคุณอีกด้วย 

อย่างที่เรารู้กันว่าในปีที่ผ่านมา โลกทำให้เรามีช่องว่างระหว่างกันมากขึ้น “การสื่อสารกับลูกค้า” จึงเข้ามามีอิทธิพลในการอุดช่องโหว่ตรงนั้น เพื่อทำให้แบรนด์ยังสามารถรักษาปฏิสัมพันธ์ที่ดี รวมถึงการมีส่วนร่วมกับลูกค้ามากขึ้น บวกกับการที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว การตลาดรูปแบบเก่า ๆ ก็เริ่มอาจใช้ไม่ได้ผลและไม่ตอบโจทย์ประสบการณ์ที่ลูกค้าของคุณได้รับอีกต่อไป 

ดังนั้นองค์กรจึงต้องมีการปรับตัวให้ก้าวตามทันเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่ออนาคตที่ดีของธุรกิจของคุณเองในปี 2021 และเป็นรากฐานที่ดีในอนาคตต่อไปอีกด้วย 

ทีมงาน The Growth Master หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะคะ :-)

‍
Source: zendesk
‍
ส่งต่อเรื่องราวดีๆ

คุณอาจจะชอบบทความนี้...

สรุปสถิติ Digital และ Social Media จาก We Are Social ที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้ อัปเดตปี 2023
รวม 7 บทความการตลาดที่เราแนะนำให้คุณอ่านก่อนปี 2023

ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

ติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube
Subscribe

เราช่วยธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกดิจิทัลด้วยการใช้ศาสตร์ Growth, เครื่องมือด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีม

Services
Growth AgencyDesign StudioSoftware ConsultingDigital TalentsOur Portfolio
Category
All ArticlesSoftware ReviewGrowth Trends
Company
We're HiringCommunityContact
ติดตามข้อมูลการตลาด
Growth Hacking ได้เลยทีนี่
มากกว่า 4,000 บริษัทติดตาม The Growth Master ตอนนี้
ไปที่หน้า Subscribe

© Copyright 2024 The Growth Master Company Limited All Rights Reserved