ตลอดปี 2021 ที่ผ่านมา เราอาจเห็นแล้วว่า การสร้างเว็บไซต์ธุรกิจหรือการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อแย่งชิง Conversion ค่าที่ชี้วัดถึงยอดขายและรายได้ที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจมีอัตราการแข่งขันที่สูงมาก และคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปี 2022 การแข่งขันจะเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นอีก
แต่ธุรกิจจะทำอย่างไรให้กลุ่มลูกค้าที่เข้ามายังเว็บไซต์เกิด Action บางอย่างขึ้น หลายธุรกิจอาจคิดค้นกลยุทธ์มากมายเพื่อดึงดูดพวกเขา ทั้งออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงาม หรือมีเอฟเฟกต์มากมาย แต่ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี ซึ่งคุณอาจกำลังโฟกัสที่ผิดจุด
เพราะนอกจากความสวยงามและความทันสมัยแล้ว สิ่งที่คุณควรต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือ User Experience (UX) หรือการออกแบบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน ซึ่ง UX เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้ตัดสินว่าจะอยู่บนเว็บไซต์ของคุณต่อไปหรือไม่ หากว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีจากเว็บไซต์ ผู้ใช้ก็จะรีบกดปิดเว็บไซต์ของคุณไป
ดังนั้นคุณต้องมีการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีที่สุด ซึ่งบทความนี้เราได้รวบรวม 7 UX Design Hacks ออกแบบเว็บไซต์ให้ปัง เพิ่ม Conversion ให้พุ่งกระฉูด ต้อนรับปี 2022 มาให้คุณแล้ว ไปติดตามกันเลย
User Experience (UX) คืออะไร? User Experience (UX) คือ การออกแบบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน ใช้งานง่าย แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน มีลำดับขั้นตอน ในขณะที่พวกเขาเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ
ซึ่งปกติแล้ว การออกแบบ UX มักจะมาควบคู่กับการออกแบบ User Interface (UI) หรือส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานกับระบบ โดยจะมุ่งเน้นไปที่ทุกสิ่งที่ผู้ใช้เห็นเมื่อเข้ามายังเว็บไซต์ เช่น การวาง Layout, การจัดวางปุ่ม CTA, Visual Design, การนำทาง, หน้าเว็บเพจทั้งหมด เป็นต้น
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ UX หรือ UI ล้วนแล้วแต่ทำขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และทำให้ลูกค้ารู้สึกดี จนสร้างผลลัพธ์ (Conversion) กับธุรกิจขึ้น
ภาพจาก thecdm ทำไม UX ถึงมีความสำคัญกับเว็บไซต์ธุรกิจ? คุณเคยเข้าไปยังเว็บไซต์ที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมไหม? เว็บไซต์ที่เรากำลังพูดถึง คือ เว็บไซต์ที่มีการออกแบบที่สวยงามมาก ๆ แต่กลับไม่สามารถมอบสิ่งที่คุณกำลังตามหา (เข้ามาบนเว็บไซต์แล้วไม่ได้อะไรกลับออกมาเลย) ทั้งตอบคำถามที่กำลังสงสัย, ข้อมูลผลิตภัณฑ์หรือบริการ, ข้อมูลติดต่อธุรกิจ แถมยังมอบประสบการณ์ที่ไม่ดี (ค่อนไปทางเลวร้ายสุด ๆ) ให้กับคุณอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่ออกแบบเส้นทางแย่ เข้าหน้านี้แล้วไม่มีปุ่มให้กดไปต่อ, หน้าเว็บโหลดช้า, ไม่มีบทความแนะนำให้อ่าน, ไม่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่, หาปุ่ม CTA ไม่เจอ, มีโฆษณามากมายมาบดบัง ทำให้คอนเทนต์อ่านยาก, เว็บไซต์มีสีสันฉูดฉาดเกินไป พื้นหลังมีลายเยอะ อ่านแล้วไม่สบายตา
หรือว่าพอเข้าไปหาคำตอบหรือสินค้าแล้ว ก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการออกมา เราเชื่อว่าถ้าคุณเจอแบบนี้ คุณอาจไม่รอช้าที่จะกดปิดเว็บไซต์นั้นออกไปทันทีเลยก็ได้ (แทนที่จะได้ลูกค้าเข้ามาเว็บไซต์ของเรา กลับเสียพวกเขาให้กับคู่แข่ง)
เว็บไซต์ที่เป็นแบบนี้จะส่งผลให้โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายกำลังจะเกิด Conversion เช่น กดซื้อสินค้า, กดส่งข้อความมาสอบถามพูดคุย หรือกรอกแบบฟอร์มเพื่อเป็น Lead ให้เราติดต่อกลับไป ต้องหายวับไปในพริบตาเดียว
ภาพจาก spiralytics ในทางกลับกัน ถ้าคุณเจอเว็บไซต์หนึ่งที่ออกแบบมาไม่ได้สวยงามมากนักหรือเต็มไปด้วยแสง, สี, ภาพเคลื่อนไหว แต่เว็บไซต์นั้นกลับมอบคำตอบที่คุณกำลังตามหา และประสบการณ์ที่ดีสุด ๆ ให้คุณ (ตรงข้ามกับเว็บไซต์แบบแรก) คุณก็อาจตกหลุมรักเว็บไซต์แบบนี้มากกว่าเว็บไซต์แรก จนเกิด Conversion บางอย่างให้กับเว็บไซต์แบบนี้ก็ได้
ตัวอย่างเช่น medium.com คือ เว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวมตัวของนักเขียนมืออาชีพ หรือผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ต่าง ๆ มาเขียนถ่ายทอดประสบการณ์หรือสิ่งที่ตนเองรู้ เพื่อเผยแพร่ให้ผู้อ่านได้เข้ามาอ่าน
ซึ่ง medium เป็นเว็บไซต์ที่มีการออกแบบค่อนข้างเน้นความเรียบง่ายในแบบ Minimalist ใช้สีขาวดำที่อ่านง่าย สบายตา, มีการแนะนำบทความที่มีความเกี่ยวข้องกัน, แบ่งหมวดหมู่เป็นอย่างดี และที่สำคัญ medium ยังขึ้นชื่อว่ามีความเป็น Mobile Friendly มาก สามารถใช้งานได้ดีทั้งหน้าจอ Desktop หรือบนสมาร์ทโฟน เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบในการอ่านไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ภาพจาก dribbble อย่างไรก็ตาม คุณต้องรู้ก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ดังเช่นในกรณีนี้ จุดประสงค์ของ medium สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนเข้ามาเขียน-อ่านบทความ จึงคัดเฉพาะฟีเจอร์ที่จำเป็นมาใส่เท่านั้น และไม่ได้สร้างให้มีกราฟิกมากมายเพื่อความสบายตาของผู้อ่านเอง
ดังนั้นภาพรวมของเว็บไซต์ medium จึงถือว่าไม่ได้มีความสวยงามมีเอฟเฟกต์ชวนว้าวอย่างใด แต่ medium ก็มีความสวยงามแบบเรียบง่าย ที่ทำให้ผู้ใช้ค้นพบในเรื่องที่ตัวเองอยากรู้คำตอบได้ครบถ้วนจริง สำหรับเราจึงคิดว่า medium ถือเป็นเว็บไซต์ที่มีการออกแบบ UX ที่ดี สามารถมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการอ่านให้กับผู้ใช้งานได้อีกหนึ่งเว็บไซต์
นี่แหละคือความสำคัญของการออกแบบ UX ที่ดี ซึ่งธุรกิจสามารถนำแนวคิดไปปรับใช้ เพื่อทำให้ผู้ใช้ที่ตอนแรกเป็นเพียงคนแปลกหน้าของธุรกิจ เข้ามาแล้วได้รับประสบการณ์ที่ดี เข้ามาแล้วเจอสิ่งที่พวกเขาตามหา แล้วเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่สร้าง Conversion ให้ธุรกิจเติบโตได้ในที่สุด
ภาพจาก bevirtual User Experience (UX) ที่ดีควรต้องมอบคุณค่าอะไรบ้าง? นอกจาก Conversion จะเป็นตัวชี้วัดที่ทำให้ธุรกิจจะเติบโตได้ แต่ Conversion จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากเว็บไซต์ของคุณมอบประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับลูกค้า จนพวกเขาไม่อยากเข้ามาบนเว็บไซต์ ซึ่งการสร้าง UX ที่ยอดเยี่ยมและมอบคุณค่าให้กับผู้ใช้งานนั้น องค์ประกอบของเว็บไซต์ควรต้อง...
มีประโยชน์ (Useful) – ทุกองค์ประกอบที่คุณมาไว้บนหน้าเว็บไซต์ เช่น ปุ่ม, คอนเทนต์ ต้องเป็นประโยชน์ สามารถช่วยเหลือ และตอบคำถามในสิ่งที่ผู้ใช้กำลังตามหาอยู่ได้ใช้งานได้ง่าย (Usable) – การออกแบบ Sitemap หรือ Interface ต้องเรียบง่าย ง่ายต่อการเข้าถึง และทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่ซับซ้อนเป็นที่น่าพอใจ (Desirable) – รูปภาพและองค์ประกอบอื่น ๆ สามารถใช้กระตุ้นอารมณ์ ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกพอใจ ชื่นชม และอยากสร้าง Conversion ให้เว็บไซต์ค้นหาได้ (Findable) – ต้องออกแบบเว็บไซต์ที่สามารถนำทางให้ลูกค้าไปยังคอนเทนต์หรือส่วนต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องการได้อย่างง่ายดายเข้าถึงได้ (Accessible) – ต้องทำให้ไม่ว่าใครก็ตามสามารถเข้าถึงคอนเทนต์และทุกองค์ประกอบบนเว็บไซต์ได้น่าเชื่อถือ (Credible) – ข้อมูล, ข้อความ หรือคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณควรเป็นความจริง ไม่หลอกลวง และมีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานภาพจาก interaction-design 7 UX Design Hacks ออกแบบเว็บไซต์ให้ปัง เพิ่ม Conversion ให้พุ่งกระฉูด หลังจากที่เราได้รู้ถึงความสำคัญและคุณค่าของ User Experience (UX) ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างไรไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาไปดู 7 เทคนิคเพิ่ม Conversion ให้ธุรกิจเติบโตด้วยการออกแบบเว็บไซต์ที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานกันแล้วว่าจะมีอะไรบ้าง
1. ปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ให้เร็วขึ้น เมื่อผู้ใช้ก้าวเข้ามาสู่หน้าเว็บไซต์ของคุณ ด่านแรกที่พวกเขาต้องเจอ คือ Page Speed หรือความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ ซึ่งในปัจจุบันนี้นับว่าผู้ใช้น้อยคนมาก ที่สามารถอดทนรอเว็บไซต์ที่มีการโหลดนานเกิน 3 วินาที
เพราะหากเกินกว่านั้น โอกาสที่พวกเขาจะกดปิดเว็บไซต์นั้นไปจะมีอัตราสูงมาก ซึ่งตรงกับการศึกษาจาก Radware ที่บอกว่า หากเว็บไซต์โหลดช้าเกิน 2 วินาที จะเพิ่มอัตราการละทิ้งหน้าเว็บไซต์ถึง 87% เลยทีเดียว (เราเชื่อว่าคุณเจอถ้าเจอเว็บไซต์ที่โหลดนาน คุณก็ปิดเว็บไซต์นั้นเหมือนกัน)
ดังนั้น การปรับปรุง Page Speed ให้โหลดเร็วทันใจผู้ใช้งาน จะเป็นด่านแรกของการสร้าง First Impression ที่ดีมากให้กับพวกเขา ซึ่งเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่สามารถดึงให้คนยอมเข้ามาในเว็บไซต์ แล้วเปลี่ยนให้คนแปลกหน้ากลายเป็นลูกค้า หรือสร้าง Conversion ที่ธุรกิจต้องการในที่สุด (เครื่องมือแนะนำ ในการวัด Page Speed ของเว็บไซต์)
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ภาพจาก ryte 2. โฟกัสและมุ่งไปที่เป้าหมายที่ต้องการ อยากให้ลูกค้าเกิด Conversion อะไร คุณก็มุ่งเป้าในการสร้างหน้า Landing Page ไปเพื่อสิ่งนั้นเลย! ถ้าคุณสร้างหน้า Landing Page มาเพื่อเป็นหน้าแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการ ให้ลูกค้าไปกรอกแบบฟอร์ม ดังนั้นตัวเอกของหน้านั้นควรต้องเป็นข้อมูลของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ครบถ้วน สามารถตอบคำถามที่พวกเขากำลังสงสัยอยู่ได้ และที่สำคัญอีกหนึ่งตัวเอกที่คุณจะพลาดไม่ได้เลย คือ การใส่ปุ่ม CTA หรือลิงก์ นำทางให้ผู้ใช้ไปยังหน้ากรอกแบบฟอร์มให้ได้ เพื่อให้เกิด Conversion ที่คุณต้องการขึ้น
สิ่งที่คุณควรต้องทำ คือ ใส่เฉพาะรายละเอียดที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการเท่านั้น อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ควรที่จะเขียนลงไป เพราะจะได้ไม่เป็นการเบนความสนใจของลูกค้าให้หลุดลอยออกไปจากสิ่งที่เราต้องการ ควรจำกัดและนำทางให้ผู้ใช้โฟกัสไปยังสิ่งที่เขาตามหาเท่านั้น และค่อย ๆ ดึงความสนใจของพวกเขาไปยังปุ่ม CTA อย่างเป็นธรรมชาติ
ตัวอย่างเช่น การปรับใช้พื้นที่ของรายละเอียดหรือเนื้อหาเป็นสีพื้น ๆ อย่างสีขาว เพื่อให้ดวงตาของผู้ใช้อ่านแล้วรู้สึกผ่อนคลาย สบายตา จากนั้นจึงค่อย ๆ ดึงพวกเขาให้เกิดการกระทำบางอย่าง โดยใช้ปุ่ม CTA ที่เป็นสีเด่นชัด หรือใช้รูปภาพที่มีสีสันชัดเจน เพื่อดึงดูดความสนใจไปยังที่ที่คุณต้องการ และทำให้พวกเขาเกิด Conversion ขึ้นในที่สุด
3. มีช่องทางการติดต่อที่ชัดเจนบนเว็บไซต์ เมื่อผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณแล้ว สิ่งที่พวกเขามักจะตามหาบ่อยครั้ง คือ ช่องทางการติดต่อ อย่างปุ่ม ‘ติดต่อเรา’ หรือ ‘Contact Us’ เพราะการมีปุ่มหรือลิงก์ที่ชัดเจนจะสามารถสร้าง Conversion ในรูปแบบของ Lead ได้
ซึ่งปุ่มหรือลิงก์นี้จะเป็นสิ่งที่นำทางพวกเขาไปยังช่องทางการติดต่อ หรือแบบฟอร์มของธุรกิจ ที่ทำให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจว่า เว็บไซต์ของคุณยังมีการประกอบธุรกิจอยู่ ยังเปิดรับลูกค้าอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง และพวกเขาจะได้รับการติดต่อกลับไปแน่ ๆ (ภายในเวลาที่กำหนด) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจคุณเองอีกด้วย
ภาพจาก impactplus ลองนึกภาพว่า หากคุณเข้าไปยังเว็บไซต์ธุรกิจหนึ่งแล้วพบว่า ธุรกิจนั้นไม่มีข้อมูลการติดต่อ อย่างเช่น ที่อยู่, เบอร์โทร, อีเมล หรือแม้แต่แบบฟอร์มที่ทำให้คุณสามารถติดต่อไปหาเลย คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าธุรกิจนั้นยังมีตัวตนอยู่จริง?
ดังนั้น การใส่ข้อมูลการติดต่อที่ชัดเจน หรือสร้างแบบฟอร์มให้ทิ้ง Lead เอาไว้ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และยังช่วยลดความลังเลใจของลูกค้าได้อีกด้วย ลองดูว่าตอนนี้เว็บไซต์ของคุณมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบแล้วหรือยัง หรือถ้ามีแล้ว ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ หรือแบบฟอร์มนั้นสามารถส่งข้อความได้จริงหรือไม่ เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากคุณเอง
ภาพจาก clickup 4. ออกแบบเว็บไซต์เป็นแบบ Responsive Design รองรับได้ทุกหน้าจอ อีกหนึ่งเทคนิคที่สำคัญมาก ๆ คือ การออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นแบบ Responsive Design ที่สามารถรองรับได้ทุกหน้าจอ เพราะอัตราการใช้อุปกรณ์มือถือในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี
หากลองเปรียบเทียบสถิติจำนวนผู้ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนในปี 2018 พบว่ามีมากถึง 2.6 พันล้านคน แต่ในปี 2021 นี้ กลับพบว่ามีจำนวนผู้ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนทั่วโลกกว่า 3.8 พันล้านคน (ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 1.2 พันล้านคนเลยทีเดียว)
Over 80% of internet users use mobile devices to surf the web. – Techjury ลองนึกภาพดูว่า หากคุณไม่ปรับให้เว็บไซต์สามารถรองรับได้ทุกอุปกรณ์ เมื่อเว็บไซต์มาอยู่ในหน้าจอที่เล็กลง อาจทำให้องค์ประกอบต่าง ๆ คลาดเคลื่อน, Layout ไม่ตรงกับที่ต้องการ, ตัวหนังสือเล็กเกินไป ซึ่งมันทำให้ภาพรวมเว็บไซต์ออกมาไม่ดี
ภาพจาก lumne หรืออีกกรณีหนึ่ง ถ้าคุณไม่ออกแบบให้เว็บไซต์เป็นแบบ Responsive มันจะทำให้หน้าเว็บไซต์ที่ปกติเป็นแนวนอน มาแสดงผลบนหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เป็นแนวตั้ง (เหมือนยกหน้าเว็บไซต์มาทั้งเว็บเลย) ทำให้หน้าจอมันล้น จนผู้ใช้ต้องซูมเข้าซูมออก เลื่อนซ้ายขวาไปมา เพื่ออ่านเนื้อหา แทนที่จะเป็นการเลื่อนขึ้นเลื่อนลง ซึ่งมันส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี
ภาพจาก searchspring ดังนั้นหากเว็บไซต์ธุรกิจไหนทำเว็บไซต์ที่รองรับเฉพาะหน้าจอ Desktop เท่านั้น อาจเสียโอกาสในการได้รับ Conversion จากผู้ใช้งานไปก็ได้ ถ้าคุณไม่อยากพลาด Conversion ที่จะหลั่งไหลเข้ามา คุณควรต้องออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับได้ทุกอุปกรณ์
5. กำจัดลิงก์หรือข้อความเสียทั้งหมด คุณเคยเข้าไปอ่านคอนเทนต์หนึ่งแล้วพบว่าคอนเทนต์นี้เต็มไปด้วยการสะกดคำแบบผิดๆ, ลิงก์เสีย, รูปไม่ขึ้นหรือไม่? อ่านแล้วคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?
คุณอาจจะสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่ไม่ดีเท่าไรนัก และอาจคิดว่าธุรกิจนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย เช่นเดียวกัน ถ้าหากไม่อยากให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณ คุณต้องกำจัดความผิดพลาดเหล่านี้ออกไปให้หมด
It’s poor UX. It can sabotage consumer trust, and jeopardize your branding. สำหรับในบ้านเราเองที่ไม่ได้มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่จำเป็นต้องเขียนคอนเทนต์หรือใช้ภาษาอังกฤษบนเว็บไซต์ ถ้าเกิดคุณไม่มั่นใจด้านนี้ คุณควรจ้างทีมงานที่มีความเป็นมืออาชีพในด้านภาษา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพให้กับธุรกิจคุณเอง
ส่วนสำหรับเว็บไซต์ไหนที่มีลิงก์เสีย เทคนิคง่าย ๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้แก้ไขได้ คือ ถ้าเว็บไซต์ของคุณรันอยู่บน WordPress ให้ติดตั้ง Plug-in 404 Redirect เพื่อตรวจจับลิงก์เสีย ซึ่งถ้าเกิดเว็บไซต์คุณมีลิงก์เสียเกิดขึ้น จะมีแจ้งเตือนส่งไปหา แล้วคุณจะได้แก้ไขและกำจัดมันออกไป
6. CTA ต้องชัดเจน คุณมี CTA บนเว็บไซต์ที่ชัดเจนแล้วหรือยัง? CTA (Call to Action) ที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม, ลิงก์ ทุกอันมักเป็นสิ่งที่ใช้กระตุ้นให้ลูกค้าเกิด Action บางอย่างที่คุณต้องการทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากให้ลูกค้ากดซื้อ คุณอาจใช้ปุ่มคำว่า ‘ซื้อเลย’, ‘Buy it Now’ หรือถ้าคุณอยากให้ลูกค้าทำอะไรที่มันเฉพาะเจาะจงกว่านั้น เช่น ‘ดาวน์โหลด E-book ฟรีตอนนี้’, ‘คลิกเพื่อรับส่วนลด’, ‘Subscribe for More Tips’
ภาพจาก ecloud อย่างไรก็ตาม การเขียน CTA ที่ดี คุณควรต้องระบุ CTA ให้สั้น กระชับ ชัดเจน ส่งสารไปตรง ๆ เลยว่าคุณอยากให้พวกเขาทำอะไร ไม่ต้องแฝงความนัยให้ลูกค้าตีความเอง ซึ่งนอกจากการใช้คำแล้ว CTA ยังมีหลักจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย ในด้านของสีที่ใช้บนปุ่ม CTA ในทางจิตวิทยาบอกว่า สีมีผลต่อการกระตุ้นให้คนรู้สึกอยากกดอีกด้วย
ซึ่งสีที่ได้รับความนิยมที่สุดที่ถูกนำไปใช้ คือ สีแดง แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะใช้หยิบนำสีแดงไปใช้เลย คุณต้องดูการออกแบบโดยรวมของเว็บไซต์คุณด้วยว่าควรใช้สีอะไร เพื่อดึงดูดลูกค้าให้กดปุ่มนั้น แต่ทางที่ดีที่สุด คุณอาจลองทำ A/B Testing เฉพาะปุ่มบนเว็บไซต์ของคุณดู เพื่อทดสอบดูว่าสีไหนที่ทำให้เกิด Conversion ที่คุณต้องการได้เยอะและมีประสิทธิภาพที่สุด (เครื่องมือแนะนำในการทำ A/B Testing > Google Optimize )
7. เว็บไซต์ที่หาคำตอบได้ง่าย เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่เข้าเว็บไซต์จากสมาร์ทโฟนเป็นหลัก (อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้) ซึ่งมันเป็นหน้าจอขนาดที่เล็กลง ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องการอะไรที่ย่อยง่าย หาคำตอบได้อย่างรวดเร็วชัดเจน
เพราะบางครั้งเว็บไซต์ของคุณอาจเป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าหลากหลายประเภท หรือเป็นเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเนื้อหาค่อนข้างยาว อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าผู้ใช้ทุกคนตั้งใจเข้ามาเพื่ออ่านบทความทั้งหมดนั้น แต่บางคนแค่ต้องการคำตอบที่เขากำลังตามหาเพียงข้อเดียว
ดังนั้น สำหรับเว็บไซต์ที่ให้เนื้อหาความรู้ สิ่งที่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน คือ คุณอาจจะแบ่งหมวดหมู่ของเว็บไซต์ออกอย่างชัดเจน, ย่อใจความสำคัญของบทความนั้น ๆ ประมาณ 2-3 บรรทัด ไว้ด้านบนสุด หรือทำเป็น Bullet บอกผู้ใช้ว่าบทความนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง เพื่อทำให้พวกเขาอ่านสแกนหาคำตอบได้อย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลากับเนื้อหาทั้งหมดที่เขาไม่ได้ต้องการ
ส่วนสำหรับด้านเว็บไซต์ประเภท E-Commerce คุณอาจจะใส่แถบช่วยค้นหาเอาไว้ด้านบนของเว็บไซต์ เพราะด้วยความที่เว็บไซต์มักจะมีสินค้ามากมายหลากหลายประเภท จึงต้องแบ่งออกเป็นหลายหน้า ทำให้พวกเขาไม่สามารถเลื่อนลงค้นหาได้ทั้งหมด ดังนั้นเพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาสิ่งง่ายที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วควรใส่แถบค้นหาเอาไว้
*เว็บไซต์ประเภทที่ให้ความรู้ แถบค้นหาก็เป็นสิ่งที่ควรมีเช่นกัน ภาพจาก thegrowthmaster สรุปทั้งหมด สำหรับนักการตลาดหรือผู้ประกอบการท่านใดที่อยากจะลองเพิ่ม Conversion ให้กับเว็บไซต์ธุรกิจของคุณในปี 2022 ที่กำลังจะมาถึง นอกจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่ควรใส่ใจแล้ว ลองหันมาให้ความสำคัญกับการออกแบบ UX บนเว็บไซต์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้งานของคุณดูบ้าง รับรองว่าธุรกิจของคุณจะมีผลลัพธ์ Conversion ที่เปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เทคนิคที่เรายกตัวอย่างมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งยังมีวิธีอีกมากมายในการพัฒนา UX ให้ดีขึ้น The Growth Master ขอเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณดีขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับปี 2022 ที่การแข่งขันทางเว็บไซต์ออนไลน์จะมีแนวโน้มที่จะดุเดือดขึ้นไปอีก มาเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เติบโตขึ้นกันนะคะ :)