จากสถานการณ์ของโควิด-19 ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจทั่วโลกให้ชะลอตัวลงทำเอาหลายธุรกิจต้องเริ่มปรับตัว ปรับแผนการทำธุรกิจให้เข้ากับสถานการณ์ แต่สำหรับบางธุรกิจการเข้ามาของโควิด-19 กลับทำให้พวกเขาเติบโตได้อย่างสุดขีด เช่น Salesforce บริษัทผู้นำด้านซอฟต์แวร์ระบบ CRM และการทำงานในองค์กรที่ตอนนี้พวกเขากำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทาง Salesforce ได้ทำการเปิดเผยรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1/2021 ออกมาทางเว็บไซต์ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจตรงที่ในไตรมาส 1/2021 Salesforce มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 23% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งหากย้อนกลับในช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส1/2020) ถือว่าเป็นช่วงที่โลกนี้เพิ่งเจอกับโควิด-19 เป็นช่วงแรก ๆ สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของ Salesforce ที่พุ่งทะยานฝ่าโควิด-19 ในปีนี้
นอกจากนั้นเรื่องของกำไรสุทธิ Salesforce ก็ยังแรงดีไม่มีตก เพราะในไตรมาส 1/2021 พวกเขาสามารถโกยรายได้ (กำไรสุทธิ) ไปกว่า 469 ล้านดอลลาร์หรือเงินไทยราว 14,600 ล้านบาท จนถึงขนาด Marc Benioff ผู้เป็น CEO ของ Salesforce ต้องออกมายอมรับว่านี่เป็นตัวเลขการเติบโตที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Salesforce
แต่เพราะอะไรกันล่ะ Salesforce ถึงสร้างการเติบโตได้อย่างมหาศาลแบบนี้ในช่วงที่สถานการณ์โควิดทั่วโลกก็ยังไม่ทุเลาลง เรื่องนี้มีคำตอบแน่นอนครับ ติดตามกันต่อได้เลย
พุ่งเกิน! Salesforce กับตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 1/2021 ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับธุรกิจ
รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2021 ของ Salesforce นั้นถูกเปิดเผยบนหน้าเว็บไซต์ของทาง Salesforce เองโดยความน่าสนใจอยู่ตรงที่ตัวเลขการเติบโตอันมหาศาลที่ Salesforce สามารถสร้างความแตกต่างได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีท่ามกลางพิษเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19
อ้างอิงจากรายงานฉบับนั้นพบว่าในไตรมาสแรกของปี 2021 Salesforce สามารถสร้างรายได้ทั้งหมดเพิ่มขึ้นถึง 23% หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 5,963 ล้านดอลลาร์ (เงินไทยราว 1 แสนล้าน) เปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน หรือเติบโตขึ้นกว่า 23% ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี โดยฐานเป้าหมายหลักของ Salesforce ก็ยังคงอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเหมือนเดิม รองลงมาคือประเทศในโซนยุโรปและเอเชียแปซิฟิกตามลำดับ
และอย่างที่เรารู้กันดีว่าในปัจจุบัน Salesforce ถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจซอฟต์แวร์ประเภท B2B แน่นอนว่าไลน์ธุรกิจของ Salesforce ก็ถูกแบ่งออกมามากมาย โดยในรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ก็ได้มีการจำแนกไว้อย่างชัดเจนว่าแต่ละไลน์ธุรกิจของ Salesforce สามารถสร้างรายได้รวมให้กับบริษัทได้เท่าไร
ประเด็นที่น่าสนใจคือในปีนี้ไลน์ธุรกิจในประเภท Platform and Other สามารถทำรายได้มาเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 1,747 ล้านดอลลาร์ (53,000 ล้านบาท) ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 400 ล้านดอลลาร์ซึ่งต้นเหตุที่ทำให้ไลน์ธุรกิจ Platform and Other สามารถสร้างรายได้เป็นอันดับ 1 ให้กับบริษัทได้นั้นมาจากการที่ Salesforce เข้าซื้อกิจการของ Tableau และ Mulesoft ที่เป็นผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ด้าน Data Visualization เมื่อช่วงปีก่อน (จะมีอธิบายเต็ม ๆ ในหัวข้อหน้า)
เมื่อทำการเปรียบเทียบเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์จะพบว่าทุกไลน์ธุรกิจ/ผลิตภัณฑ์ของ Salesforce เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2020 ทั้งหมดโดยฝั่งธุรกิจ Sales เพิ่มขึ้น 11% ธุรกิจ Service เพิ่มขึ้น 20% ส่วนฝั่งธุรกิจแพลตฟอร์มและอื่น ๆ เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 28% และเบ็ดเสร็จหักต้นทุนทุกอย่างของบริษัทออกไปพบว่าในไตรมาสแรกของปี 2021 Salesforce โกยกำไรไปทั้งสิ้น 469 ล้านดอลลาร์หรือเงินไทยราว 14,600 ล้านบาท
จนทำให้ CEO คนปัจจุบันของ Salesforce อย่าง Marc Benioff ต้องออกมาแถลงการณ์ยอมรับว่าตัวเลขการเติบโตของ Salesforce ในไตรมาส 1/2021 นี้คือตัวเลขของไตรมาสแรกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเราเลย เพราะว่าตัวซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์ของ Salesforce ออกแบบการทำงานมาเอื้อกับสภาพการทำธุรกิจในยุคโควิด-19 อย่างแท้จริง เช่นตัว Customer 360 ที่เป็นผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ด้าน CRM ครบวงจรก็เติบโตขึ้นและได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงว่าทุกผลิตภัณฑ์ของ Salesforce เป็นเทคโนโลยีสำหรับองค์กรสมัยใหม่โดยเฉพาะ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Salesforce สามารถสร้างการเติบโตในครั้งนี้คืออะไร ?
อย่างที่ผมได้เกริ่นไปในหัวข้อที่แล้วบางส่วนว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Salesforce สร้างการเติบโตครั้งประวัติศาสตร์ชนิดที่โควิด-19 ยังทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเกิดมาจากการเข้าซื้อกิจการอันชาญฉลาดของ Salesforce ที่ทำให้ธุรกิจของพวกเขาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันมาโดยตลอด
หากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วหรือช่วงปี 2019 ในปีนั้น Salesforce เข้าซื้อกิจการธุรกิจไปหลายเจ้าไล่ตั้งแต่รายเล็ก ๆ อย่าง MapAnything ซอฟต์แวร์ด้าน Location Systems สำหรับธุรกิจแบบ B2B, ClickSoftware ซอฟต์แวร์ด้านงานบริการภาคสนาม (Field Service) ด้วยจำนวนเงินกว่า 1,350 ล้านดอลลาร์ และดีลใหญ่อย่างการเข้าซื้อกิจการของ Tableau ซอฟต์แวร์ด้าน Data Visualization And Analytics for B2B Business อันดับ 1 ของโลก ณ ตอนนั้นด้วยจำนวนเงินมหาศาลกว่า 15,700 ล้านดอลลาร์ โดยทุกการซื้อกิจการของ Salesforce ในปีนั้นทาง Marc Benioff เผยว่าทุกกิจการที่ Salesforce ซื้อไปนั้นจะถูกนำมารวมกับผลิตภัณฑ์ของเราเอง เพื่อทำให้ Salesforce เป็นแพลตฟอร์มอันดับ 1 สำหรับการทำงานในองค์กร ที่พวกเขากำลังจะเริ่มแข่งขันในตลาดนี้หลังจากครองความยิ่งใหญ่ในตลาดของ CRM มานาน และการเข้าซื้อกิจการของ Tableau นี่แหละที่เปรียบเหมือนกุญแจดอกแรกที่พา Salesforce สร้างประวัติศาสตร์การเติบโตครั้งนี้
แถมในปีเดียวกัน Salesforce ก็ทำเซอร์ไพรซ์ด้วยการมอบเงินสนับสนุนก้อนโตกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในการระดมทุน Series D ให้แก่บริษัท Automattics ที่ถือเป็นบริษัทแม่ของ WordPress, WooCommerce สาเหตุเพราะ Salesforce มองเห็นฐานผู้ใช้งานสร้างเว็บไซต์จาก WordPress ที่มีส่วนแบ่งมากที่สุดในโลกถึง 34% (ณ ปี 2019) ซึ่งน่าจะมาเป็นกำลังสำคัญในอนาคตสำหรับการสร้างการเติบโตของ Salesforce
แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะในปี 2020 ที่ทั่วทั้งโลกต้องเจอกับสถานการณ์ของโควิด-19 แต่ Salesforce ไม่สนใจ ขอช้อปต่อเริ่มต้นปีด้วยการซื้อกิจการของ Vlocity ที่เป็นบริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อการทำงานในภาคอุตสาหกรรมทุกแขนงด้วยจำนวนเงินกว่า 1.33 พันล้านดอลลาร์ และดีลที่โด่งดังอย่างการเข้าซื้อกิจการของ Slack เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาด้วยจำนวนเงินกว่า 27,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 837,232 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีด้วยจำนวนเงินมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก
*อ่านเรื่องราวดีลประวัติศาสตร์ของ Salesforce กับการเข้าซื้อกิจการของ Slack ได้ที่ >> บทความนี้
โดยวัตถุประสงค์ก็เช่นเดิม คือการนำเอาฟีเจอร์ จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ๆ มาปรับใช้ในผลิตภัณฑ์ในเครือของ Salesforce เองซึ่งการเข้ามาซื้อกิจการของ Salesforce ก็ช่วงสร้างผลดีให้กับ Slack เพราะพวกเขามีลูกค้าสมัครใช้บริการแบบเสียเงินเพิ่มขึ้นกว่า 14,000 รายหลังจากที่ Salesforce เข้าซื้อกิจการไป (ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ)
ด้วยปัจจัยเหล่านี้เอง เราคงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าในการซื้อกิจการแต่ละครั้งของ Salesforce พวกเขามักจะเลือกซื้อกิจการที่เล็งเห็นแล้วว่าต้องเอามาสร้างประโยชน์ให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเองได้ สังเกตได้จากดีลใหญ่ ๆ ทั้ง Tableau, Slack ที่ทาง Salesforce ยอมทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อการได้มาของกิจการนั้น ๆ ทำให้ตัวผลิตภัณฑ์ของพวกเขาตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในตลาด จนสร้างการเติบโตได้มากมายมหาศาล
ซึ่งจากตัวเลขการเติบโตในไตรมาสนี้ คงเป็นสิ่งที่ชี้ชัดอย่างดีแล้วว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกการลงทุนของ Salesforce นั้น “คุ้มค่า” แค่ไหน
สรุปทั้งหมด
จากสถานการณ์ของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่ามันทำให้ธุรกิจทุกภาคส่วนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีต่าง ๆ กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือเล็กก็ต้องเริ่มนำเทคโนโลยี, ซอฟต์แวร์ มาใช้ในการทำงานเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในขณะที่สถานการณ์ของโรคระบาดยังไม่ดีขึ้น (ไม่งั้น Salesforce ไม่เติบโตขึ้นขนาดนี้หรอก)
ดังนั้นถ้าหากคุณเห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้และอยากลองเริ่มต้นนำเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มาใช้ในองค์กรของคุณบ้าง The Growth Master เราขอแนะนำบริการใหม่อย่าง BUSINESS TECH STACK CONSULTING หรือบริการให้คำปรึกษาด้านการใช้ซอฟต์แวร์ในบริษัท เพื่อการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่จะมองหา Pain Point ต้นเหตุของการทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และแก้ปัญหานั้นด้วยการแนะนำเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เข้ามาใช้ในองค์กรของคุณ
ทำให้การทำงานของคุณและทีมเชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น ลดขั้นตอนการทำงานบางส่วนลงไป สามารถจัดการงานสำเร็จมากขึ้นในระยะเวลาที่เท่าเดิม คุณสามารถกดอ่านรายละเอียดทั้งหมดของบริการ Business Tech Stack Consulting จาก The Growth Master พร้อมสมัครบริการนี้กับองค์กรคุณได้แล้วทันที เพียงกดที่รูปด้านล่าง