ในการทำงานขององค์กรหลังจากการเกิดโรคระบาดโควิด-19 มาเกือบ 2 ปีเต็มทำให้หลายองค์กรในบ้านเราได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น Remote Working หรือ การใช้ Automation Tools และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เข้ามาช่วยควบคุมการทำงานให้พนักงานทำงานได้อย่างสะดวกมากขึ้น
เมื่อเข้าสู่ในปี 2023 สถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลายกลายเป็น New Normal ในการใช้ชีวิตของเราทุกคนรวมถึงรูปแบบการทำงานที่ได้เกิดการปรับเปลี่ยนไปจากปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
บทความนี้เราเลยขอมาอธิบาย 7 เทรนด์การทำงานในองค์กรปี 2023 ที่ HR ทุกคนควรต้องศึกษาเพื่อนำไปปรับใช้กับการทำงานในองค์กรของคุณให้สอดคล้องกับโลกอนาคตที่กำลังจะมาถึง
7 เทรนด์การทำงานในปี 2023
ลองมาดูกันว่า 7 เทรนด์การทำงานในปี 2023 จะมีเทรนด์อะไรที่สำคัญในการให้ทีม HR ได้นำไปปรับใช้ในการสร้างองค์กร จัดการด้านบุคลากร ให้เหมาะสมสำหรับปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนี้
1. Hybrid Working จะกลายเป็นเรื่องปกติ
Hybrid Working คือ การทำงานแบบผสมโดยที่บริษัทจะให้พนักงานสามารถทำงานทั้งจากที่ออฟฟิศและจากที่บ้านได้แทนการทำงานที่ออฟฟิศ 100% เหมือนการทำงานรูปแบบเดิมผ่านการใช้งานซอฟต์แวร์ช่วยการทำงานทั้งซอฟต์แวร์ด้านการสื่อสารในองค์กรและซอฟต์แวร์ด้าน Task Management การทำงานแบบ Hybrid Working ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 ที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ซึ่งมาในปี 2023 เทรนด์การทำงานแบบ Hybrid Working จะกลายเป็นเรื่องปกติของการทำงานในองค์กรสมัยใหม่เนื่องจากสามารถสร้างประสิทธิภาพในการทำงานได้ใกล้เคียงหรือมากกว่าการทำงานในรูปแบบเก่า ช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และช่วยทำให้พนักงานได้อิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น ซึ่งทำให้การทำงาน Hybrid Working กลายเป็นสิ่งที่คนทำงานในยุคปัจจุบันต่างมองหาจากองค์กรที่ต้องการร่วมงานมากขึ้นด้วย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง :
- Hybrid Working เทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่หลายบริษัทต้องเริ่มเตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่ตอนนี้
- Apple ประกาศให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์
2. บุคลากรที่มีศักยภาพกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นทุกปี
หน้าที่หลักของทีม HR แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของการเฟ้นหาบุคลากรที่มีคุณภาพเข้ามาเติมเต็มให้องค์กรอยู่ตลอด แต่ด้วยเทรนด์ของการทำงานในปี 2023 ที่เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง บุคลากรที่มีคุณภาพ มีทักษะการทำงานทั้งในด้าน Soft Skills และ Hard Skills กลับเป็นที่ต้องการขององค์กรส่วนใหญ่และองค์กรก็พร้อมจ้างด้วยอัตราค่าตอบแทนที่สูง จนทำให้บุคลากรที่มีศักยภาพในการทำงานเป็นอะไรที่หาได้ยากมากขึ้นทุกปี
ดังนั้นในเมื่อบุคลากรที่มีศักยภาพกำลังเป็นที่ต้องการและหายากมากขึ้นทุกปี (แถมค่าจ้างต่อเดือนก็สูง)การให้ความสำคัญในการเทรนนิ่ง บ่มเพาะบุคลากรในองค์กรให้มีศักยภาพ เพิ่มทักษะการทำงานใหม่ ๆ จึงกลายเป็นเรื่องที่ทีม HR ทุกคนต้องหันมาจริงจังมากขึ้น อาจจะเริ่มจากการเชิญวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสายงานต่าง ๆ มาอบรมให้กับพนักงานของคุณหรือลองจัดสวัสดิการที่ส่งเสริมให้พนักงานได้พัฒนาทักษะ Soft Skills ต่าง ๆ เช่นคอร์สเรียน สัมมนา ฯลฯ ก็เป็นอะไรที่จะทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรดูใส่ใจกับพนักงานมากขึ้นและยังช่วยลดอัตราการ Turn Over ให้องค์กรได้ด้วย เพราะพนักงานจะรู้สึกถึงความห่วงใยและการสนับสนุน Career Path ที่องค์กรของคุณมอบให้
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง :
3. Well-Being คือสิ่งสำคัญต่อพนักงาน
ต่อเนื่องจากสถานการณ์ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นและก็ยังคงอยู่กับเราถึงทุกวันนี้ เลยทำให้พนักงานส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและความเป็นอยู่กันมากขึ้น ดังนั้นเทรนด์ในเรื่องของสวัสดิการด้าน Well-Being หรือด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ในชีวิตการทำงานที่ไม่ใช่เพียงแค่สวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีหรือประกันกลุ่มแบบทั่วไป
โดยตัวอย่างสวัสดิการที่บริษัทจะมอบให้ในด้าน Well-Being รูปแบบใหม่ ๆ ที่เช่น สวัสดิการอุปกรณ์การทำงานแบบ Ergonomics, สวัสดิการปรึกษาจิตแพทย์ให้กับพนักงานฟรี, สวัสดิการกายภาพบำบัดสำหรับ Office Syndrome โดยเฉพาะ ฯลฯ ก็จะช่วยให้พนักงานรู้สึกถึงความห่วงใยด้านสุขภาพที่องค์กรให้กับพวกเขา ตัวของพนักงานเองก็จะมีความสุขในการทำงานและพร้อมที่จะเติบโตไปกับองค์กรของคุณ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง :
4. DEI คือสิ่งที่พนักงานต้องการ
DEI หรือ Diversity, Equity และ Inclusion ถ้าแปลตรงตัวก็คือความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมกลุ่มเป็นหนึ่งเดียวในองค์กร ซึ่งเรื่องของ DEI นี่เองที่เป็นสิ่งที่พนักงานโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกคนล้วนตามหาจากองค์กรที่อยากร่วมงานด้วย
เช่น การยอมรับความหลากหลายของคนทำงานในองค์กรที่ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องเพศ แต่ยังรวมถึงช่วงวัย เชื้อชาติ ภาษา ประสบการณ์ ที่มีความต่างกันในองค์กร ซึ่งต้องยอมรับว่าการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบ DEI ทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานมีความสุข พนักงานจะรู้สึกว่าองค์กรยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็น ทำให้การทำงานมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และยังช่วยเพิ่มแนวทางการแก้ปัญหาในการทำงานแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
5. บทบาทของ Manager ที่เปลี่ยนให้ทันสมัยมากขึ้น
หากพูดถึงบทบาทการทำงานของ Manager หรือในที่นี้อาจหมายถึง Team Lead ด้วยในการทำงานรูปแบบเดิมหลายคนคงนึกถึงหน้าที่ในการควบคุมการทำงานหรือการดูแลภาพรวมของโปรเจ็กต์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ในเทรนด์การทำงานของปีหน้าส่วนของบทบาทหน้าที่ของ Manager จะมีการอัปเกรดให้ทันสมัยมากขึ้น
ซึ่งบทบาทที่จะเพิ่มเข้ามาก็คือเรื่องของการสนับสนุน Career Path ของคนในทีมหรือพนักงานที่อยู่ใต้การดูแลของ Manager แต่ละคนเช่น มีการจัด Sessions สอนความรู้ที่จำเป็นต่อสายอาชีพนั้น ๆ จาก Manager หรือการมี Sessions 1-1 ในทุกไตรมาสเพื่ออัปเดตการทำงาน รับฟังปัญหาที่เกิดจากการทำงาน และช่วยแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ Manager ที่มีความใส่ใจต่อพนักงานทุกคนในทีมไม่ใช่แค่เรื่องงานแต่เพียงอย่างเดียว
6. EVP ที่พนักงานต้องการคือเวลาการทำงานต่อสัปดาห์ที่น้อยลง
EVP หรือ Employer Value Proposition คือคุณค่าที่นายจ้างอยากมอบให้กับพนักงานซึ่งทำให้เขาเหล่านั้นยังคงทำงานอยู่กับองค์กรต่อไป โดยในปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนั้นเทรนด์ในด้าน EVP ที่พนักงานส่วนใหญ่ล้วนต้องการมากที่สุดคือการลดเวลาทำงานต่อสัปดาห์ให้น้อยลง
เพราะในยุคที่เทคโนโลยี Automation Tools ต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทต่อการทำงานขององค์กรมากขึ้น นั่นย่อมช่วยลดระยะเวลาในการทำงานของแรงงานมนุษย์ได้มาก (แถมยังลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ลดต้นทุนได้เยอะกว่าด้วย) ดังนั้นเทรนด์ในการที่องค์กรจะมอบ EVP ให้กับพนักงานได้ดีที่สุดสำหรับเทรนด์นี้ก็คือการหยิบจับเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มาใช้ในองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและหันมาใส่ใจกับความเป็นอยู่ สภาพจิตใจของพนักงานในองค์กรมากขึ้นนั่นเอง
อย่างไรก็ตามเทรนด์นี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับบางธุรกิจ บางองค์กร การนำไปปรับใช้ควรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละบริษัท
7. พนักงานวัย Gen-Z จะต้องการ ‘ประสบการณ์ทำงานรูปแบบใหม่’
ประสบการณ์การทำงานรูปแบบใหม่ กำลังจะกลายเป็นสิ่งที่พนักงานช่วงวัย Gen-Z ต้องการมากที่สุดในปีหน้า โดยคำว่า ประสบการณ์การทำงานรูปแบบใหม่ ในที่นี้ก็หมายถึงเทรนด์การทำงานใหม่ ๆ ที่เราได้กล่าวไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสวัสดิการที่ตอบโจทย์ความต้องการสมัยใหม่มากขึ้น, บรรยากาศในการทำงานที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์, วัฒนธรรมองค์กรที่ให้อิสระในการใช้ชีวิตของพนักงานในช่วงวัย Gen-Z มากขึ้น หรือแม้แต่การสนับสนุนทุก Career Path ของพนักงานแต่ละคนอย่างเท่าเทียม เพื่อให้พนักงานในช่วงวัย Gen-Z ที่เป็นช่วงวัยในการตามหาตัวตนในการทำงานรู้สึกถึงการเติบโตที่องค์กรของคุณมอบให้
สรุปทั้งหมด
จากเทรนด์การทำงานในปี 2023 ทั้ง 7 ข้อที่เราได้อธิบายจะเห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปและกำลังจะเป็นกระแสต่อโลกการทำงานขององค์กรมากขึ้นก็คือเรื่องขององค์กรที่ต้องหันมาใส่ใจความเป็นอยู่และพัฒนาทักษะการทำงานให้พนักงานเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนเป็นหน้าที่ของทีม HR ในองค์กรที่ต้องคอยดูแลสร้างสรรค์สวัสดิการใหม่ ๆ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นบริษัทสมัยใหม่มากขึ้น ก็จะเป็นสิ่งที่จะทำให้องค์กรของคุณดึงดูดพนักงานที่มีคุณภาพและเพิ่ม Employee Retention รักษาพนักงานเก่าให้อยู่กับองค์กรต่อไป