ค่า North Star Metric จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกรากฐานการเติบโตของธุรกิจคุณ เนื่องจากเป็นค่าที่แสดงให้เห็นว่าลูกค้าได้รับคุณค่าจากผลิตภัณฑ์ของคุณจริง ๆ เมื่อลูกค้าเห็นถึงคุณค่านั้นแล้ว ก็จะทำให้ลูกค้ามีการกลับมาใช้ซ้ำ (Retention) หรือเป็นกระบอกเสียงบอกต่อผลิตภัณฑ์ (Referral) ให้เรา ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตในระยะยาวต่อไปอีกด้วย
ในบทความนี้เป็นบทความที่มีความยาวในระดับหนึ่ง แต่ถ้าคุณสนใจที่จะทำความรู้จัก North Star Metric ตัวชี้วัดที่จะทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน แล้ว เราเชื่อว่าคุณจะได้รับสาระความรู้มากมายที่อัดแน่นจากบทความนี้แน่นอน (จริง ๆ นะ) พร้อมแล้วหรือยัง? ที่จะไปตามหา North Star Metric ให้กับธุรกิจของคุณ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านต่อกันเลยดีกว่า
North Star Metric should reflect actual value created for customers and that generally happens with the engagement with the product. – Sean Ellis
North Star Metric คือ ตัวชี้วัดในเชิงผลลัพธ์ (Output) ที่บริษัทใช้เพื่อมุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจทั้งหมด เป็นค่าที่สะท้อนว่าธุรกิจของคุณสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงยังสามารถบ่งบอกได้ว่าธุรกิจของคุณจะเติบโตไปในทิศทางไหนในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นค่าที่ทำให้คนในบริษัททำงานโดยมีจุดมุ่งหมายไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วย
หรือถ้าจะให้อธิบายเป็นภาษาบ้าน ๆ ค่า North Star Metric จะเป็นผลลัพธ์ของการทำธุรกิจที่สามารถนิยามการเติบโตของธุรกิจได้ทั้งหมด ซึ่งธุรกิจจะเติบโตหรือไม่เติบโตให้ดูที่ค่านี้ และสิ่งที่สำคัญสำหรับตัวชี้วัดนี้คือ เราจะไม่โฟกัสผลลัพธ์ไปที่เรื่องของ “จำนวนเงิน” เลย เพราะถ้าหากกำหนดเป็นจำนวนเงิน คุณก็จะมุ่งเน้นแต่การหาเงินจากลูกค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจจะได้จากลูกค้าในระยะสั้นเท่านั้น
ดังนั้น การกำหนดค่า North Star Metric ควรกำหนดเป็นคุณค่าที่ลูกค้าได้รับจากการซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งในธุรกิจควรมีค่านี้เพียง 1 อย่าง ที่สำคัญที่สุดต่อการเติบโตของธุรกิจ (จริง ๆ อาจมีหลายอย่าง แต่เราอยากให้คุณพยายามยุบรวบเป็น North Star Metric เดียว เพื่อมุ่งเป้าไปยังค่านั้น)
Case Study: Uber
Uber มีค่า North Star Metric คือ “ยอดเรียกรถต่อสัปดาห์” (Rides per Week) เพราะคุณค่าของ Uber นั้นคือ การเป็นผู้ให้บริการ “เรียกรถขนส่งสาธารณะ” โดยเมื่อผู้ใช้งานกดเรียกรถโดยสารผ่านสมาร์ทโฟนแล้ว รถก็มาจอดรับถึงที่ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่าการที่ต้องไปโบกแท็กซี่เอง นั่นก็ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความประทับใจจนครั้งต่อไปก็ต้องกลับมาใช้งานซ้ำอีกเรื่อย ๆ นอกจากนั้น ตัวเลขยอดเรียกรถยังเป็นสิ่งบ่งบอกถึงสุขภาพโดยรวมของธุรกิจของ Uber ทั้งหมดด้วย เพราะเมื่อไรที่ยอดเรียกรถตกฮวบ แน่นอนว่าธุรกิจต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่ในทางกลับกัน ถ้า Uber เปลี่ยนค่า North Star Metric เป็น “จำนวนเงินที่ได้รับ” ก็อาจไม่เห็นรอยรั่วของธุรกิจตัวเอง เช่น ธุรกิจได้รับเงินมาเท่าเดิม เพราะคนที่เข้ามาใช้งานนั้นเดินทางด้วยระยะทางที่ไกลกว่าเดิม (ทำให้พวกเขาจ่ายแพงขึ้นตามระยะทาง) แต่จำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานเรียกรถน้อยลงกว่าเดิมมาก เมื่อผู้ใช้งานมาเจอกับประสบการณ์ดี ๆ ที่ Uber ตั้งใจมอบให้น้อยลง โอกาสในการเติบโตก็จะต่ำลงเรื่อย ๆ ไปด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราไม่อยากให้คุณใช้ “จำนวนเงิน” มาตั้งเป็นค่า North Star Metric ของธุรกิจ
*ข้อควรระวังของ North Star Metric
อย่างที่บอกไปว่า North Star Metric คือ “ผลลัพธ์ที่ชี้วัดการเติบโตของธุรกิจ” (Output) ซึ่งเราจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามันเป็นค่า Passive Metric ที่ต้องมีค่า Input (หรือ Active Metric) เข้ามากระทำอะไรบางอย่าง เพื่อช่วยกระตุ้นให้ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้นกว่าเดิม
North Star Metric เป็นค่า Output ซึ่งจะดีมาก ๆ หากมีค่า Input ที่กระตุ้นให้ Output มีจำนวนเพิ่มขึ้น
ดังเช่นในกรณีของ Uber ที่เรายกตัวอย่างไปข้างต้น ที่มีค่า North Star Metric คือ “ยอดเรียกรถต่อสัปดาห์” แต่ Uber มีการใส่ค่า Input ลงไป เพื่อทำให้ลูกค้าใช้งาน Uber หลายครั้ง เช่น มีการแสดงคะแนนความน่าเชื่อถือคนขับรถ (Driver Star Rating), มีการเสนอโปรโมชัน แจกส่วนลดต่าง ๆ หรือเป็นการตัดเงินผ่านบัตรเครดิต ซึ่ง Active Metric เหล่านี้ มันทำให้ลูกค้าเข้ามาอยากใช้งาน Uber มากขึ้น ก็สามารถทำให้ยอดเรียกรถเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง
สำหรับสตาร์ทอัปที่กำลังมองหา North Star Metric เป็นแนวทางของตัวเอง เว็บไซต์ Future ก็ได้รวบรวมค่า North Star Metric จากบริษัทกว่า 40 แห่ง ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปัจจุบันมาให้ดังตารางด้านล่างนี้ ลองดูว่าถ้าธุรกิจของเรามีโมเดลธุรกิจคล้ายกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง คุณก็สามารถนำไปเป็นแนวทางได้
โดยเราจะขอยกตัวอย่าง North Star Metric จากบริษัทที่คุ้นเคยและรู้จักกันดี เช่น
Netflix – ยอดดูเฉลี่ยต่อเดือน (Median View per Month), ชั่วโมงที่ผู้ใช้อยู่บนแพลตฟอร์ม
Spotify – ยอดผู้ใช้งานต่อเดือน (Monthly Active User: MAU), ระยะเวลาที่ผู้ใช้ฟังเพลงต่อคน (Time Spent Listening to Music)
Facebook – ยอดผู้ใช้งานต่อวัน (Daily Active User: DAU)
ตัวอย่าง Framework ในการเลือก North Star Metric
หลังจากที่รู้จัก North Star Metric ทั้ง 6 ประเภทข้างต้นไปแล้ว ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเลือก North Star Metric ให้ตรงกับประเภทธุรกิจ, โมเดลธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งเราก็ไ้ด้มีแนวทางการเลือก North Star Metric กับประเภทธุรกิจต่าง ๆ มาให้คุณได้ทำความเข้าใจกัน เพื่อที่ว่าคุณจะได้นำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ต่อไป
1. ธุรกิจประเภท Marketplaces และ Platforms
North Star Metric ที่ใช้โดยทั่วไป: Consumption Growth
รู้หรือไม่? Facebook มีการเปลี่ยนค่า North Star Metric ด้วยนะ!?
เมื่อก่อนที่ Facebook ยังมีผู้ใช้งานน้อยกว่าปัจจุบันมาก ๆ จึงมี North Star Metric เป็น MAU แต่พอเริ่มมีคนมาใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เปลี่ยน North Star Metric มาเป็น WAU จนปัจจุบัน หลังจากที่มีคนใช้เยอะขึ้นมากกว่า 2.7 พันล้านคนต่อเดือน ผู้ใช้งานส่วนใหญ่มีการเข้าถึงตัวแอปพลิเคชันทุกวัน ทำให้ Facebook ขยับ North Star Metric มาเป็น DAU ซึ่งการใช้ North Star Metric ค่านี้ ส่งผลทำให้ Facebook ได้เห็นตัวเลขการเติบโตที่ชัดมากขึ้นกว่าเดิม
จากเคสของ Facebook แสดงให้เราเห็นว่า North Star Metric ไม่ใช่ค่าที่กำหนดขึ้นมา 1 ครั้ง แล้วค่านั้นก็จะอยู่กับธุรกิจตายตัวตลอดไปเลย แต่เป็นค่าที่สามารถปรับให้ยืดหยุ่นได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งานของตัวผู้ใช้ จำนวนผู้ใช้งาน หรือขนาดของธุรกิจที่เติบโตขึ้นด้วย
เราจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ของ Spotify เหมือนกัน แต่เมื่อมีผลิตภัณฑ์ต่างกัน ภายใต้ธุรกิจเดียวกันแล้ว ก็สามารถมีค่า North Star Metric ที่แตกต่างกันได้ จากที่เป็นเพลง Spotify มีค่า North Star Metric เป็น Time Spent Listening to Music แต่พอมาเป็นพอดแคสต์แล้ว North Star Metric กลายเป็น MAU แทน
เพราะด้วยความที่ Strava เป็นแอปออกกำลังกายที่โดดเด่นในเรื่องของการ Tracking ระยะทาง หรือสถิติในการออกกำลังกายได้อย่างละเอียด แถมยังสรุปออกมาในรูปแบบของตัวเลขหรือแผนภูมิ เพื่อที่เราจะได้มีการสังเกตพัฒนาการในการออกกำลังกายของตัวเราเองในแต่ละครั้งได้ นั่นเป็นเพราะว่าผู้ใช้งานไม่ได้ออกกำลังกายทุกวันอยู่แล้ว มันต้องมีวันพักกันบ้าง การกำหนดค่า North Star Metric ของ Strava เลยออกมาในรูปของ MAU (ไม่ใช่ DAU หรือ WAU) ซึ่งจากเคสนี้ก็ทำให้เราเห็นว่าพฤติกรรมของผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ก็มีผลต่อการกำหนดค่า North Star Metric เหมือนกัน
Tinder
Tinderมี North Star Metric ที่ให้ความสำคัญกับ “การเติบโตของลูกค้า” (Customer Growth) มากกว่าการมีส่วนร่วม (Engagement) ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ Tinder มุ่งเน้นไปที่ “เปอร์เซ็นต์ของบัญชีที่ชำระเงินแล้ว” (Percentage of Paid Accounts) แทนที่จะเป็น “จำนวนที่แน่นอน” (Absolute Number)
North Star Metric ควรมีเพียงค่าเดียวที่สำคัญที่สุดต่อธุรกิจ
สนใจ “คุณค่า” มากกว่า “จำนวนเงิน” จะเป็น North Star Metric ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
North Star Metric ไม่ใช่กำหนดเพียงครั้งเดียวแล้วธุรกิจต้องใช้ค่านั้นตลอดไป แต่มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งานของผู้ใช้, จำนวนผู้ใช้งาน, ขนาดรูปแบบของธุรกิจ หรืออื่น ๆ
พฤติกรรมของผู้ใช้งาน (Customer Behavior) มีผลต่อการกำหนด North Star Metric
ถึงแม้ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้ชื่อแบรนด์เดียวกัน แต่เมื่อธุรกิจมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ค่า North Star Metric ก็ต่างกันได้ (ไม่จำเป็นต้องใช้อันเดียวกันเสมอไป)
สรุปทั้งหมด
North Star Metric ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้เราได้ใส่ใจในการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตในระยะยาวมากกว่าสนใจด้านจำนวนเงินที่ทำให้บริษัทเติบโตได้เพียงในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
นอกจากนั้น North Star Metric ยังถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้ทีมมองเป็นภาพเดียวกันมีจุดหมายปลายทางเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะนำไปสู่การวางแผนและกลยุทธ์การตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหนียวแน่นมากขึ้นเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งบริษัท
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากคุณยังไม่เคยมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของธุรกิจตัวเอง เราก็อยากให้ลองหันกลับไปสังเกตดูสักนิดว่าคุณค่านั้นคืออะไร แล้วสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันมอบคุณค่าที่แท้จริงให้กับลูกค้าแล้วหรือยัง และหลังจากบทความนี้จบ ก็หวังว่าคุณจะสามารถเลือก North Star Metric ได้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจของคุณ
The Growth Master อยากเห็นทุกธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน มาเติบโตไปพร้อม ๆ กันนะคะ :-)